บทที่ 627.1 อิ่นกวานคนใหม่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สงครามครั้งนี้ตึงเครียดและจบลงในเวลาอันสั้น เป็นสงครามขนาดเล็กที่คนตายเร็วจนเหมือนกับการพบเจอกันบนทางแคบของทหารลาดตระเวนชายแดน

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ได้เริ่มการโจมตีครั้งถัดไปในทันที

เห็นได้ชัดว่ากระโจมทัพที่สำคัญหลายแห่งน่าจะไม่ได้คาดการณ์ถึงผลลัพธ์นี้ เรื่องไม่คาดคิดมีมากเกินไป จำเป็นต้องปรับรายละเอียดของกลยุทธมากมายภายใต้กรอบใหญ่เสียก่อน

กลับกลายเป็นว่ายอมทิ้งภูเขาที่เหลืออยู่เพียงสามลูกไว้บนสนามรบ ภูเขาใหญ่ลูกที่อยู่ตรงกลางเพราะจั่วโย่วกับหย่างจื่อประมือกันจึงถูกทำลายอย่างย่อยยับ

ส่วนภูเขาอีกลูกหนึ่งก็เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่นสองท่านของธวัลทวีปที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยสองชีวิตทำลายรากภูเขาชะตาน้ำ จากนั้นก็ถูกลู่จือใช้แสงกระบี่ฟันผ่าให้แตกร้าว

ภูเขาที่เหลืออีกแค่สามลูกก็สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ลูกหนึ่งในนั้นก่อนหน้านี้ถูกเซียนกระบี่ลั่วซาน เซียนกระบี่จู๋อานของสายอิ่นกวานทำลายไปมาก คาดว่านี่ก็น่าจะเป็นผลงานทางการสู้รบครั้งสุดท้ายของเซียนกระบี่ทรยศสองท่านนี้แล้ว

ในอนาคตหากยังได้เจอกัน ก็คือต่างฝ่ายต่างต้องถามกระบี่กัน ตัดสินเป็นตายกับสหายร่วมรบและเซียนกระบี่ร่วมรุ่นในอดีต

พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสายยันต์บางส่วนที่โชคดีรอดชีวิตอยู่บนภูเขาทั้งสามลูกได้แต่อยู่เฉยรอความตาย ต่อให้หนีไปได้ไกล แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า ชีวิตของพวกเขาเกี่ยวโยงกับการดำรงอยู่และการดับสูญของขุนเขามานานแล้ว และในบรรดาคนเหล่านี้ก็ไม่ขาดพวกที่นิสัยดุร้ายเหี้ยมหาญตัดสินใจได้อย่างอำมหิตเด็ดขาด เรียกพวกพ้อง บัญชาการณ์ออกคำสั่งให้เปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอีกครั้ง แม้ต้องทุ่มด้วยชีวิตก็จะต้องให้เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกกระบี่เพิ่มขึ้นให้จงได้ แม้จะแค่ครั้งเดียวก็ยังดี

เซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋มาหาเฉิงเฉวียน จับมือกันขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังภูเขาลูกหนึ่ง จ้าวเก้ออี๋จะช่วยคุ้มกันให้เฉิงเฉวียน ให้เขาพยายามหลอมขุนเขามาใช้งานให้ได้มากที่สุด

“มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสออกจากเมืองมาตอนนี้ก็เกือบจะรู้สึกว่าตัวเองคือกบฏคนหนึ่งแล้ว!”

ระหว่างที่เฉิงเฉวียนขี่กระบี่ออกมาก็พูดอย่างเจ็บปวดและคลั่งแค้น “เจ้าจู๋อานชาติสุนัข นางแพศยาลั่วซาน ก่อนหน้านี้พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ข้ายินดีเรียกว่าสหายเชียวนะ! จ้าวเก้ออี๋ ไหนเจ้าลองบอกมาสิ วันหน้าเจ้าก็จะแทงกระบี่ใส่หลังข้าด้วยอีกคนหรือไม่ หากว่าใช่ก็ลงมือให้รวดเร็วฉับไวหน่อย ไปถึงภูเขาลูกนั้นเมื่อไหร่ก็ขอร้องเจ้าว่าอย่าอิดออดชักช้าเป็นสตรี ให้ข้าตายเร็วหน่อย”

จ้าวเก้ออี๋สบถด่าเสียงดัง “ซ่งไฉ่อวิ๋นจะชอบเศษสวะเช่นเจ้าได้อย่างไร?!”

เฉิงเฉวียนสีหน้าหม่นหมอง

ฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชนะศึกในช่วงที่สองนี้ ทว่าบนหัวกำแพงเมืองกลับไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนใดที่ปลาบปลื้มยินดี

ไม่มีใครคิดว่าใต้เท้าอิ่นกวานจะทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ นำพาเซียนกระบี่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานไปสวามิภักดิ์กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

และก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสนามรบ ใต้เท้าอิ่นกวานก็ยิ่งปล่อยหมัดต่อยให้จั่วโย่วซึ่งแม้จะตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูเพียงลำพังก็ยังเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรให้บาดเจ็บสาหัส!

นอกจากเซียนกระบี่กลุ่มที่จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่างมากพอแล้ว เวลานี้ในใจของผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์ล้วนมีพยับเมฆแผ่ปกคลุม ไม่ว่าจะโบกปัดอย่างไรก็ไม่สลายหายไป

เฉินผิงอันเหน็บพัดพับไว้ตรงเอว บังคับเรือยันต์ให้แล่นไปยังกระท่อมหลังนั้น

ในกระท่อมหลังเล็กที่เดิมทีเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะเป็นผู้พักอาศัยชั่วคราว จั่วโย่วนั่งอยู่ริมเตียง กำลังใช้ปราณกระบี่ชดเชยหน้าท้องที่ถูกหมัดต่อยทะลุจนเป็นรู

ปราณกระบี่มิอาจสร้างเลือดเนื้อและกระดูกให้ก่อกำเนิด เพราะนี่ก็คือความอันตรายของการเข่นฆ่าในครั้งที่สอง ศิษย์พี่จั่วโย่วจำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่มาต้านทานภัยร้ายแฝงที่หมัดนั้นของใต้เท้าอิ่นกวานทิ้งเอาไว้

ไม่อย่างนั้นสำหรับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เดิมทีการหลอมกระบี่ก็คือการหลอมเรือนกายของตัวเองแล้ว ต่อให้อาการบาดเจ็บจะสาหัสแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นทำให้ต่งซานเกิงที่อยู่ด้านข้างอกสั่นขวัญผวา รู้สึกถึงลางร้ายอย่างรุนแรงได้

ต่งซานเกิงที่เฝ้าอยู่หน้ากระท่อมกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เฉินชิงตู นี่มันเรื่องอะไรกัน?! อิ่นกวานผู้นั้นถูกผีบดบังจิตใจแล้วหรือไร?!”

เฉินชิงตูที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงห่างไปไกลไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง เพียงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย สิ่งที่ตาเห็น นั่นแหละคือความจริง”

ต่งซานเกิงยิ่งเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่ออิ่นกวานมาโดยตลอด รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนที่หาได้น้อย

ส่วนหลานชายที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเคยให้ความสำคัญที่สุด ต่งกวานพู่ที่เคยถูกมองว่าจะได้เป็นเซียนกระบี่คนถัดไปที่ได้สลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพง ในอดีตก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อกับอิ่นกวาน

ต่งซานเกิงมองเห็นคนหนุ่มที่พลิ้วกายลงบนพื้นและเก็บเรือยันต์ไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว แต่เขาก็ยังโมโหไม่หาย จึงยังคงพูดเสียงดังลั่นกับเฉินชิงตูต่อ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าก็ควรฆ่านางเสียสิ!”

เฉินชิงตูหัวเราะเสียงหยัน “ต่งกวานพู่สวามิภักดิ์ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรื่องราวถูกเปิดเผย คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรู้กันหมด ข้ารู้หรือไม่? ก่อนที่พวกเจ้าจะสร้างเรื่องใหญ่โต ข้าได้ฆ่าเขาหรือไม่?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ปีนั้นเหล่าเซียนกระบี่มารวมตัวกันอยู่บนหัวกำแพง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสใช้หนึ่งกระบี่สังหารต่งกวานพู่ด้วยมือของตัวเอง นั่นเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันได้เห็นมาเองกับตา

เพียงแต่ว่าในเวลานั้น เฉินผิงอันยังคิดอะไรอย่างตื้นเขิน อีกทั้งตอนนั้นก็ยังไม่ได้เข้าใจกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแท้จริง

และประโยคที่ทำให้เฉินผิงอันสงสัยที่สุดก็คือ หลังจบเรื่องหนิงเหยาบอกว่าท่านปู่เสี่ยวตงเป็นคนดี

ในฐานะเซียนกระบี่ เป็นลูกหลานของตระกูลต่ง ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเรื่องจริง และเป็นคนดี ก็เป็นเรื่องจริงอีกเช่นกัน

บัญชีนี้จะคิดกันอย่างไร?

บางทีสำหรับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว การปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็แค่ปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ให้ได้เท่านั้นจริงๆ

ต่งซานเกิงข่มกลั้นไฟโทสะในใจ พูดกับเฉินผิงอันคำหนึ่งว่าศิษย์พี่ของเจ้าไม่ตายง่ายๆ หรอก แล้วบรรพบุรุษของตระกูลต่งท่านนี้ก็ออกไปจากที่นี่โดยตรง

เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในกระท่อม กลับกันยังหันไปปิดประตูลงเบาๆ

เคยได้เห็นสงครามใหญ่ที่แผ่ขยายลุกลามอันโหดร้าย ซึ่งไม่ว่าเซียนกระบี่หรือปีศาจใหญ่ก็ล้วนตายได้ทั้งสิ้น ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อย

เคยได้เห็นการเลือกในหลายๆ ครั้งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตู เฉินผิงอันก็จะรู้สึกว่าสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนปีนั้น หากต้องกลับไปเดินย้อนรอยเดิมอีกครั้ง ต่อให้จะมีตบะและขอบเขตเท่ากับปีนั้น เขาก็สามารถทำตามใจปรารถนาได้แล้วจริงๆ

เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ที่กระท่อมนานนักก็ไปหาพวกหนิงเหยา

หนิงเหยามองเยี่ยนจั๋วแล้วก็หันมาส่ายหน้าให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันพยักหน้า เป็นการบอกให้รู้ว่าตนเข้าใจ

เยี่ยนจั๋วดวงตาแดงก่ำ สองมือกำเป็นหมัดวางยันไว้บนหัวเข่า

ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูล เซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หลี่ถุ่ยมี่ ตายแล้ว

ผู้เฒ่าคนนี้เคยเป็นคนที่เยี่ยนจั๋วเกลียดชังมากที่สุดเมื่อครั้งเป็นเด็ก เพราะคำพูดทำร้ายจิตใจที่กลายเป็นคำติดปากคนมากมาย ล้วนเคยออกมาจากปากของหลี่ถุ่ยมี่ที่ดูแคลนนายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยนอย่างเขามากที่สุด นั่นถึงได้ทำให้ทุกคนเอาไปพูดกันอย่างแพร่หลาย เป็นเหตุให้เจ้าอ้วนน้อยของตระกูลเยี่ยนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในยามนั้น ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะและรากฐานของตระกูลเยี่ยนบนถนนเสวียนฮู่ ด้วยนิสัยและกลอุบายของเยี่ยนหมิงเจ้าประมุขตระกูลเยี่ยน บิดาของเยี่ยนจั๋ว หากไม่เป็นเพราะคนในครอบครัวตัวเองเป็นคนเริ่ม ใครเล่าจะกล้าเหยียบย่ำเยี่ยนจั๋วที่เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น?

ต่อให้ในศึกใหญ่หลายๆ ครั้งภายหลัง เยี่ยนจั๋วจะอาศัยการต่อสู้สุดชีวิตถึงได้แลกเปลี่ยนมาด้วยการเป็นคนใหม่ กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง เป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกหนิงเหยาเฉินซานชิว แต่หลี่ถุ่ยมี่ที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลก็ยังไม่เคยยินดีจะมองเขาเยี่ยนจั๋วเต็มๆ ตา เยี่ยนจั๋วยอมทำตัวอ่อนน้อมเข้าหาอีกฝ่าย ขอร้องให้หลี่ถุ่ยมี่สอนเวทกระบี่แก่เขาหลายต่อหลายครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นหลี่ถุ่ยมี่กลับเอ่ยเพียงแค่ว่าตนมีแค่กระดูกแก่ๆ มีแค่ชะตาชีวิตต่ำต้อย ไหนเลยจะกล้าชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่นายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยน นี่จะไม่เป็นการถ่วงรั้งทำร้ายลูกหลานผู้อื่นหรอกหรือ

ไหนเลยเยี่ยนจั๋วจะคิดได้ว่า รอกระทั่งหลี่ถุ่ยมี่ยินดีสอนเวทกระบี่ให้แก่ตน แม้จะตีหน้าเคร่ง แต่ดวงตากลับแฝงรอยยิ้ม ยามที่เขายินดีเอ่ยถ้อยคำที่หากไม่ใช่คำร้ายๆ ก็เป็นคำดีๆ ที่มีความหมายใหญ่เทียมฟ้ากับตน ผู้เฒ่ากลับจะต้องมาตายทั้งอย่างนี้ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนแรกที่รบตายบนสนามรบ

เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเยี่ยนจั๋ว แล้วก็ไม่ได้เอ่ยปลอบใจอะไร ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนข้างกายคือเยี่ยนจั๋ว นั่นก็ยิ่งไม่จำเป็น

ไม่ว่าใครก็ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้

คนสนิทญาติใกล้ชิดต้องตายไป เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับใครกัน? นอกจากหลี่ถุ่ยมี่ที่ตายจากไปแล้ว ยังมีอู๋เฉิงเพ่ย เถาเหวิน โจวเฉิง ฯลฯ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ใครเล่าที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้?!

ขนาดเซียนกระบี่ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น แล้วนับประสาอะไรกับพวกผู้ฝึกกระบี่? รวมไปถึงคนอีกมากมายที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายพวกนั้น?

ประโยคสุดท้ายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ก็โชคดีที่มีเพียงแค่ตนที่ได้ยิน

เพราะความหมายนอกเหนือคำพูดนั้นมีมากเกินไป ใหญ่เกินไป

ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นทั้งๆ ที่ใต้เท้าอิ่นกวานรู้ดีว่าต่งกวานพู่คือกบฏ แต่กลับไม่ยอมลงโทษเขาเสียที

เขาเฉินชิงตูไม่คิดจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่ออยากถ่วงเวลาไว้ก็ถ่วงไป ต่งกวานพู่เด็กที่มีความคิดมากมายผู้นั้น ต่อให้จะมีโทษสมควรตาย แต่ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ให้เขามีชีวิตไป มีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง

หากไม่เป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้าต่งซานเกิงไม่สูงพอ คุณความชอบทางการสู้รบที่สะสมไว้ไม่มากพอ ทั้งไม่สามารถสยบเซียนกระบี่ตระกูลใหญ่ของถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู่ได้ เป็นเหตุให้ฝูงชนพากันเดือดดาล แล้วยังไม่อาจอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบมาปกป้องชีวิตของหลานชายที่เป็นกบฏคนหนึ่งได้ และการที่ต่งซานเกิงไม่อาจรักษาชีวิตของต่งกวานพู่ก็เป็นเหตุให้เซียนกระบี่จับกลุ่มกันไปซักไซ้เอาโทษที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นหากสายอิ่นกวานแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น ไม่ได้ยิน เขาเฉินชิงตูก็ยินดีจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งตามไป ปล่อยให้ตระกูลต่งของเจ้ากักขังตัวต่งกวานพู่หลานชายที่ไร้คุณธรรมกันเอาเอง หรือไม่อย่างมากสุดก็โยนเข้าคุกของเฒ่าหูหนวก แค่นี้เท่านั้น

หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน “เจ้ายังสบายดีใช่ไหม?”

เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “สบายดีมากๆ”

อันที่จริงหนิงเหยามีคำถามมากมาย เพียงแต่เพราะว่ามีมากเกินไป จึงกลับกลายเป็นไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยให้ข้าเป็นคนคิดเองเถิด”

คนทั้งสองมองไกลไปยังทิศใต้ด้วยกัน

เยี่ยนจั๋วพลันถามว่า “เป็นก้างขวางคอพวกเจ้าสองคนหรือไม่?”

เฉินผิงอันคลี่พัดออก ไม่ได้พัดลมเย็นๆ ให้กับตัวเอง แต่พัดให้หนิงเหยา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกคนเป็นตัวของตัวเองกันหน่อย”

ต่งถ่านดำที่เพิ่งเตรียมขยับก้นมานั่งข้างกายหนิงเหยาชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ทั้งไม่ลุกขึ้น แล้วก็ไม่นั่งลง จึงค้างอยู่ในท่าที่ออกจะประหลาดอยู่บ้าง

คิดไม่ถึงว่าเฉินซานชิวจะขยับมานั่งข้างกายเยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อนั่งลงข้างกายต่งฮว่าฝู ส่วนเตี๋ยจ้างนั่งลงข้างเฉินซานชิว

สุดท้ายทุกคนก็มองไปยังทิศไกลด้วยกัน

รอคอยสงครามครั้งต่อไปเงียบๆ

ผังหยวนจี้อึ้งค้างไร้คำพูดอยู่เป็นนาน

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ถูกมองว่าจะต้องได้เป็นอิ่นกวานคนถัดไปของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน เวลานี้จิตแห่งกระบี่หม่นหมอง จิตใจตายด้านเหมือนขี้เถ้ามอด

เกาโย่วชิงตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่อยู่ข้างกายผังหยวนจี้มาโดยตลอดนั่งเหม่ออยู่ข้างเขา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายแล้วนางก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร

เกาเหย่โหวมานั่งลงข้างกายผังหยวนจี้ เอ่ยแค่สองคำว่า “อดทนไว้”

สายตาของผังหยวนจี้เลื่อนลอย

เกาเหย่โหวเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากอยากรู้คำตอบจริงๆ ก็อย่าเงียบเฉยไปทั้งอย่างนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องพยายามถามกระบี่ต่ออิ่นกวานด้วยตัวเองให้ได้ในสักวันหนึ่ง ให้นางบอกคำตอบแก่เจ้าด้วยตัวเอง!”

ผังหยวนจี้พึมพำ “เจ้าไม่ใช่ข้า และข้าก็ไม่ใช่เจ้า ทำไม่ได้หรอก”

เกาเหย่โหวหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป สายของอิ่นกวานก็ถือว่าควันธูปขาดสะบั้นแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าด้านหลังคนทั้งสองจะมีแม่นางน้อยคนหนึ่งแอบมาที่นี่อย่างเงียบเชียบ นางยกสองมือกอดอก “ข้ามารับควันธูปนี้ต่อเอง ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

ผังหยวนจี้คลี่ยิ้มซีดเซียว หันหน้าไปถามว่า “ลวี่ตวน ตอนนั้นทำไมถึงไม่ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่? ทั้งเซียนกระบี่กวอเจี้ยและเฉินผิงอันต่างก็อยากให้เจ้าออกไปจากที่นี่”

ดวงตาของกวอจู๋จิ่วเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ต่อให้จะเคารพเลื่อมใสท่านพ่อและอาจารย์ของข้าแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นความคิดของพวกเขา ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ ไม่ควรจะมีวิธีใช้ชีวิตและวิธีตายเป็นของตัวเองหรอกหรือ?”

ผังหยวนจี้ได้แต่ยิ้มขมขื่น

เหตุผลล้วนเข้าใจ แต่แล้วอย่างไรเล่า

เกาเหย่โหวยกนิ้วโป้งให้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ลวี่ตวน ประโยคนี้พูดได้ดีมาก!”

กวอจู๋จิ่วมองเกาเหย่โหวแล้วเอ่ยอย่างระอาใจ “มาชมข้าทำไม เจ้าต้องชมอาจารย์ข้าที่สั่งสอนลูกศิษย์ได้ดี เรียกว่าชมทีหนึ่งชมถึงสองคน เจ้านี่ไม่ค่อยรู้ความเอาเสียเลย”

เกาเหย่โหวอึ้งไร้คำตอบโต้ไปชั่วขณะ

พูดคุยกับแม่หนูลวี่ตวนผู้นี้ คนที่ได้เปรียบ คาดว่าคงมีแค่หนิงเหยากับต่งปู้เต๋อเท่านั้น

เกาโย่วชิงอดไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา

กวอจู๋จิ่วชำเลืองตามองแม่นางน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเวทนาว่า “เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ สมองเจ้าคงพังแล้วกระมัง ที่แท้ก็เป็นเจ้าโง่น้อยนี่เอง”

เกาโย่วชิงกระตุกชายแขนเสื้อของเกาเหย่โหว เกาเหย่โหวจึงพูดอย่างฉุนๆ ปนขันว่า “ทีนี้รู้จักมาหาพี่แล้วหรือไร?”

กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบอาจารย์ตัวเอง แล้วก็เดินจากมาพร้อมพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าโง่น้อยเอ๋ยเจ้าโง่น้อย แม่นางน้อยไม่รู้จักโต น้ำที่สาดไม่ออก กลุ้มจริงหนอ”

เกาโย่วชิงหน้าแดงก่ำ

เกาเหย่โหวรู้สึกว่าต้องมาเจอกับน้องสาวที่เห็นคนอื่นดีกว่า ตนก็กลุ้มเหมือนกัน

ผังหยวนจี้ยิ้มอย่างฝืดฝืน หันไปมองทางทิศใต้ต่อ ทิศใต้ที่ห่างไปไกลยิ่งกว่านั้น ราวกับยังหวังว่าจะมองเห็นอาจารย์อีกสักครั้ง

บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปทุกคนที่สนิทคุ้นเคยกับเซียนกระบี่จางเซาและเซียนกระบี่หลี่ติ้งต่างก็เสียใจอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

เซียนกระบี่สองท่านที่เป็นสหายสนิทกันนี้ ยามอยู่ที่บ้านเกิดอย่างธวัลทวีป พวกเขาคือเซียนกระบี่ที่รักอิสระเสรีเป็นที่สุด ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร ผลกลับต้องมาตายอยู่บนสนามรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งอย่างนี้

ธวัลทวีปให้ความสำคัญกับการค้าที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือมีคนทำการค้าเยอะ อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเขาสามสิบสองคนนี้ ขอบเขตมีทั้งสูงและต่ำ ต่างก็ถือว่าเป็นพวกประหลาดของธวัลทวีปแล้ว

ทั้งสองท่านที่ขอบเขตสูงที่สุดก็คือจางเซากับหลี่ติ้งที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ทั้งสองล้วนเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ

คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมองผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปที่มีจำนวนน้อยที่สุดอย่างพวกเขาด้วยสายตาที่แปลกแยก แต่ส่วนลึกในใจของพวกเขาก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี