บทที่ 627.3 อิ่นกวานคนใหม่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หากก่อนหน้านั้นสตรีอย่างหย่างจื่อนั่นมีความสามารถสักหน่อย ไม่ทำตัวเป็นเศษสวะเช่นนี้ สามารถใช้ภูเขาห้าลูกที่หยั่งรากอย่างมั่นคงเป็นที่พึ่ง ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมสูญเสียมากกว่านี้

คิดไม่ถึงว่าการออกกระบี่ของหลี่ถุ่ยมี่และจั่วโย่วจะทำลายแผนการทั้งหมดให้พังภินท์ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบดขยี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้มากกว่าเดิม กลับกันยังเกือบจะขาดทุนย่อยยับ ยิ่งเป็นเหตุให้ศึกโจมตีเมืองของเขาหวงหลวนในครั้งนี้ได้รับผลกระทบไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหากขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองได้อีกนิด ความเร็วในการตายไปของคนฝ่ายพวกเขาจะต้องเพิ่มมากกว่านี้อีกเยอะ ทว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องเสียหายไปมากยิ่งกว่าเช่นกัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซานจวินห้าขอบเขตบนทั้งห้าท่าน ชีวิตของผู้ฝึกตนสายยันต์หลายพันคน การหลอมขุนเขาใหญ่ จากนั้นก็ให้ฉงกวงย้ายภูเขามาโผล่บนสนามรบ บัญชีแต่ละอย่างทางฝั่งกระโจมแม่ทัพล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน

หากไม่เป็นเพราะการหันคมดาบเข้าหาฝ่ายตัวเองของอิ่นกวานซึ่งถือว่าได้ช่วยพวกเขาอย่างมาก ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้

เพราะถึงอย่างไรการโจมตีเมืองในตอนนี้ก็ไม่ได้หยาบกระด้างเรียบง่ายเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว แต่เริ่มมีการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ กระโจมมากมายขนาดนั้นไม่ใช่ของประดับที่เอามาตั้งวางเฉยๆ ผู้ฝึกตนที่อยู่ในกระโจมที่ต่อให้ขอบเขตจะไม่สูง ถึงขั้นที่ว่ายังมีเด็กที่อายุน้อยอยู่หลายคน แต่ในสายตาของท่านบรรพบุรุษและภูเขาทัวเยว่แล้ว ไม่ว่าคำสั่งใด ขอแค่ออกไปจากกระโจมทัพ แม้แต่บุคคลอย่างเขาหวงหลวน หย่างจื่อและป๋ายอิ๋งก็ยังต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดี

หวงหลวนชูมือขึ้นสูงแล้วโบกไปด้านหน้าเบาๆ

สมบัติของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจล้วนปรากฏออกมาอย่างพร้อมเพรียง

เมื่ออยู่ในม่านราตรีก็ราวกับธารดวงดาวพร่างพราวสายหนึ่งที่จู่ๆ ก็เปล่งวาบขึ้นมา

ต่อให้เป็นบุคคลเก่าแก่ที่มีอายุยืนยาวอย่างปีศาจใหญ่หวงหลวนก็ยังต้องยอมรับว่าภาพตรงหน้านี้คู่ควรกับคำว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกร สดใหม่อย่างยิ่ง ก็แค่ไม่รู้ว่าวันหน้าจะยังมีโอกาสได้เห็นอีกหรือไม่ ขอแค่ไปถึงใต้หล้าไพศาล หากอิงตามการคำนวณและอนุมานก่อนหน้านี้ ก็ดูเหมือนว่าคงยากมากที่จะมีโอกาสเช่นนี้อีก

หวงหลวนร้องเอ๊ะหนึ่งที แล้วเป็นฝ่ายคลายพันธนาการออก หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”

คือหย่างจื่อที่ชุดคลุมอาคมสมบัติเซียนเสียหายไปเกินครึ่งคนนั้น ในศึกใหญ่ ชุดคลุมที่เสียหายย่อยยับถูกสตรีที่เห็นแก่ความผูกพันผู้นี้เก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนมาได้เป็นส่วนใหญ่ แต่หากคิดจะซ่อมแซมจริงๆ ก็ไม่เพียงแต่เป็นปัญหา ยังไม่คุ้มค่าอีกด้วย ไม่สู้ไปช่วงชิงเอาชุดใหม่มาจากใต้หล้าไพศาล

วันนี้หย่างจื่อที่เผยโฉมด้วยรูปลักษณ์ของสตรีโตเต็มวัยสวมชุดผ้าป่านปักปิ่นไม้นั่งลงบนราวรั้วด้านข้าง สีหน้ากลัดกลุ้ม

หวงหลวนยิ้มกล่าว “ทำไม คิดจะมาแย่งคุณความชอบไปจากข้ารึ?”

หย่างจื่อเอ่ย “เพียงแค่มาช่วยเหลือเจ้า ช่วงชิงความชอบเล็กๆ น้อยๆ มาเท่านั้น แม้ว่าท่านบรรพบุรุษใหญ่จะไม่ได้พูดจารุนแรงอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว หลังศึกนี้จบลง ก็ถือว่าเป็นการแสดงท่าทีต่อท่านบรรพบุรุษแล้ว หลังจากนั้นข้าต้องกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพื่อไปดักสังหารพวกเซียนกระบี่ที่วิ่งวุ่นก่อความวุ่นวายไปทั่ว”

หวงหลวนมองไปยังมุมหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย บอกตามตรง เรื่องที่อิ่นกวานทรยศต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้แต่เขาก็ยังถูกปิดหูปิดตา ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

หย่างจื่อถาม “นครทางทิศเหนือ และยังมีที่ภูเขาห้อยหัว เมื่อไหร่หมากของพวกเราจะลงมือ?”

หวงหลวนกล่าว “ข้าจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”

แน่นอนว่ากองทัพใหญ่ใต้ฝ่าเท้าไม่มีทางยืนเฉยไม่ขยับ วัตถุแห่งชะตาชีวิตหลากหลายชนิดถูกร่ายใช้แต่ไกลๆ ตลอดทั้งค่ายกลใหญ่ขยับบุกรุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง

กระแสของปราณกระบี่ที่เชี่ยวกรากพุ่งชนกับแม่น้ำสมบัติอาคม แสงสว่างพร่างพราวเกินคำบรรยาย ประหนึ่งสะเก็ดไฟนับหมื่นดวงที่สาดกระเซ็นออกมาอย่างต่อเนื่องจากเทพบรรพกาลที่หลอมกระบี่ แล้วพากันร่วงกราวลงมายังโลกมนุษย์ดุจสายฝน สาดสะท้อนให้กำแพงเมืองปราณกระบี่และนครบนฟ้าของหวงหลวนสว่างไสวโชติช่วง

นอกจากนี้แล้วยังมีพวกมดตัวน้อยที่เหมือนกับศึกเปิดฉากคราแรกที่เป็นปีกสองข้างของกองทัพใหญ่บุกตะลุยไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง นี่ก็ไม่ใช่แค่การทำพอเป็นพิธีอะไร แต่คือการเอาชีวิตไปเติมเต็มสนามรบที่แท้จริง และนี่ก็คือคำกล่าวที่ว่า ‘มาช่วย’ ของหย่างจื่อ เพราะมดพวกนี้ล้วนเป็นกองกำลังใต้อาณัติ เป็นกองกำลังจากกลุ่มคนใกล้ชิดของหย่างจื่อ การทำคุณความชอบเล็กๆ ชดใช้ความผิดมหันต์ของปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขาตนหนึ่ง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แค่มานั่งชมทัศนียภาพอยู่ข้างกายหวงหลวน หรือลงมือต่อกระแสคลื่นปราณกระบี่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น มดตัวน้อยจะตายไปเยอะมาก เท่ากับว่าอดีตกองกำลังใหญ่หลายกองที่ถูกปลูกฝังบ่มเพาะมาอย่างยากลำบากจะถูกทำลายไปสิ้น

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีที่สุด

ภายใต้กำปั้น ยอมรับชะตากรรมเชื่อฟังแต่โดยดี

ไม่ยินดีพาตัวไปตาย ถ้าอย่างนั้นก็ตายก่อน

แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่แค่พาตัวไปตายเท่านั้น กระโจมทัพหลายแห่งจะยังบันทึกคุณความชอบและความเสียหายของสนามรบทุกแห่งไว้อย่างละเอียด ตายไปก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบมากนัก หากไม่ตายก็ได้กำไรเป็นเท่าตัว ใต้หล้าไพศาลกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ไปเก็บเกี่ยวมาได้ตามสบาย ขอแค่ผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้ ทุกวันก็สามารถไปหาเงินได้จากทุกที่ วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วน กองกำลังตระกูลเซียนที่รอให้สังหารได้ตามใจชอบ เงินเทพเซียนกอบใหญ่กองโต ล้วนกำลังรอคอยให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกวาดเข้ามาไว้ในกระเป๋า

หวงหลวนพลันคลี่ยิ้มมีเลศนัย “เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกกระบี่ต้องเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

บุรุษหล่อเหลาที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นอายของเซียนยื่นมือมาตบราวรั้วเบาๆ แล้วก็ร้องโอดครวญว่า “แย่แล้ว หากเป็นอย่างนี้ ความเสียหายของอีกฝ่ายต้องต่ำกว่าที่กระโจมทัพคาดการณ์ไว้แน่นอน หย่างจื่อ เป็นเพราะว่ากลิ่นอายอัปมงคลของเจ้าเข้มข้นเกินไปก็เลยพาข้าเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่? เจ้าดูสิ พวกคนอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่ และยังมีเซียนกระบี่อีกมากที่เดิมทีว่ากันว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก เวลานี้กลับออกกระบี่อย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงเพียงนี้ พวกเซียนกระบี่ที่พยศยากจะกำราบล้อมสังหารกันในขอบเขตเล็กๆ แล้วร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทว่าภาพเหตุการ์อย่างในคืนนี้สามารถทำให้เซียนกระบี่แทบทุกคนร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตทับซ้อนกันถึงขีดสูงที่สุดได้แล้ว นี่ทั้งทำให้คนตาลุกวาว แล้วก็ทั้งทำให้เจ้าและข้ารู้สึกย่ำแย่ใช่หรือไม่?”

หย่างจื่อสีหน้ามืดทะมึน หัวเราะเสียงหยันเย็นชา “รู้ดีว่าต้องตาย แต่กลับยังต่อต้านอย่างดื้อด้าน”

หวงหลวนมองสนามรบอยู่อีกครู่หนึ่งก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เก็บเส้นแนวรบ ผู้ฝึกกระบี่ถอนกระบี่กลับมาสามลี้? นี่ยังใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ข้ารู้จักอีกหรือไม่?”

หย่างจื่อกล่าวอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อยุ่งยากแบบนี้ เจ้ายังจะดูอีกทำไม?”

หวงหลวนยิ้มกล่าว “ให้เจ้าพวกคนหนุ่มสาวในกระโจมทัพเหล่านั้นได้ฝึกปรือฝีมือกันบ้าง เดิมทีก็แสดงให้คนด้านหลังดูอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่คิดว่าสงครามตรงจุดนี้จะแพ้อนาถเกินไปนัก วันหน้าหากต้องคุมเชิงกับใต้หล้าไพศาลจริงๆ จะพึ่งแค่พวกเราไม่กี่คนให้คอยออกแรงก็คงไม่ได้กระมัง”

หยางจื่อหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง ในจุดที่ห่างไปไกลแสนไกล มีขบวนรบที่ใหญ่ยิ่งกว่าซึ่งยังไม่เคลื่อนมาถึงสนามรบ

ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!

ต่อให้ชีวิตของผู้ฝึกกระบี่จะล้ำค่ามากแค่ไหน แต่จะแค่เลี้ยงไว้เป็นเครื่องประดับอย่างเดียวก็คงไม่ได้

สามารถถามกระบี่ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นหินลับมีด ใช้สิ่งนี้มาชำระล้างกระบี่ จากนั้นใครที่มีชีวิตรอดมาได้ก็จะถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง

……

ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภูเขาลูกเล็กแปลกประหลาดที่สร้างขึ้นมากะทันหันมีคนอยู่สิบกว่าคน ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นคนต่างถิ่น

ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานกลุ่มใหม่ล่าสุดมารวมตัวกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สายอิ่นกวานรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น

ส่วนหน้าที่ตรวจตราสถานการณ์การสู้รบ บันทึกรายละเอียดการสู้รบ ยังคงมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเก่าและลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทำหน้าที่ต่อไป เพียงแต่ฝ่ายแรกจะสูญเสียสถานะคนของสายอิ่นกวานไปแล้ว

หลังจากรับผิดชอบเอาคนเหล่านี้มารวมตัวกัน ลู่จือก็จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงม้วนภาพวาดสองม้วนที่อริยะลัทธิเต๋านำมามอบให้

ม้วนภาพที่ใหญ่มากทั้งสองม้วนถูกลู่จือคลี่กางลงบนทางเดินม้า บนม้วนภาพม้วนหนึ่งคือภาพการปะทะกันระหว่างกระแสปราณกระบี่กับแม่น้ำสมบัติ

ส่วนอีกภาพหนึ่งคืออยู่ไปทางทิศใต้ยิ่งกว่าสนามรบในเวลานี้ การกระจายตัวกันของกองทัพเผ่าปีศาจเส้นแนวหน้าเส้นแรกของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภาพนั้นค่อนข้างพร่าเลือน แต่ยิ่งขยับมาทางทิศเหนือกลับยิ่งชัดเจน ราวกับว่ามีเส้นแบ่งที่ช่วยแบ่งฟ้าอำนวยดินอวยพรไว้ให้

ลู่จือบอกแค่ว่าทุกคนยังไม่ต้องออกกระบี่สังหารศัตรู ทุกคนล้วนถือว่าเป็นสายของอิ่นกวาน นอกจากนี้สตรีเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีผลงานการรบเลิศล้ำท่านนี้ก็ไม่เอ่ยอะไรมากอีกแม้แต่ครึ่งคำ

ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่หันมามองหน้ากันเองตาปริบๆ

หนึ่งเพราะหลายคนต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน สองเพราะยังมึนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรกันแน่

หมี่อวี้คือคนที่กระอักกระอ่วนที่สุด เพราะว่ามีเพียงเขาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน

จะเอาแต่ตาใหญ่จ้องตาเล็กกันอยู่แบบนี้คงไม่ได้ หมี่อวี้ที่ขอบเขตสูงที่สุดจึงเอ่ยว่า “ทุกคนแนะนำตัวเองกันก่อนเถอะ ข้าชื่อหมี่อวี้ ขอบเขตหยกดิบ”

เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลินจวินปี้แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร”

แล้วก็มีคนทยอยเปิดปากอย่างต่อเนื่อง

“เติ้งเหลียงแห่งธวัลทวีป ขอบเขตก่อกำเนิด”

“ซ่งเกาหยวนแห่งฝูเหยาทวีป ขอบเขตโอสถทอง”

“เฉากุ่นแห่งหลิวเสียทวีป ขอบเขตประตูมังกร”

“เสวียนเซินแห่งเกราะทองทวีป ขอบเขตโอสถทอง”

นอกจากนี้แล้วทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีผังหยวนจี้ ต่งปู้เต๋อ ซือถูเหว่ยหรัน กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว

และเฉินผิงอัน

คนที่ดีใจที่สุดก็คือกวอจู๋จิ่ว เพราะว่าอาจารย์ของนางก็อยู่ด้วย

นางนั่งยองอยู่ข้างกายอาจารย์ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กสาวต่างเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน

ส่วนคนที่อกสั่นขวัญผวาที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นกู้เจี้ยนหลง

เมื่ออาจารย์ของนางบอกชื่อแซ่และขอบเขตแล้ว กวอจู๋จิ่วก็ปรบมืออย่างแรง

“เฉินผิงอัน ห้าขอบเขตล่าง”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวกับลูกศิษย์ของตัวเองว่า “สุขุมหน่อย”

กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง

หลินจวินปี้เอ่ย “ต่อให้ตอนนี้กลุ่มของพวกสัตว์เดรัจฉานจะถอยร่นออกไปแล้ว แต่ก็ยังต้องมีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่มาถามกระบี่กับพวกเราแน่นอน คาดว่านี่ก็คือเหตุผลที่พวกเรามารวมตัวกัน พยายามคิดถึงความเป็นไปได้ของอีกฝ่ายให้มาก รวมถึงแผนการรับมือของฝ่ายพวกเราเอง สถานการณ์ทางการสู้รบน่าจะตึงเครียดมาก นอกจากเซียนกระบี่หมี่แล้ว ขอบเขตของพวกเราต่างก็ไม่ถือว่าสูง ดังนั้นหน้าที่ของพวกเรา แท้จริงแล้วก็คือคอยชดเชยช่องโหว่ การช่วยเหลือในเรื่องใหญ่ๆ นั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องทำไม่ได้แน่ แต่หากพวกเราระดมความคิดกัน ช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะพอทำได้บ้าง”

ในระหว่างที่หลินจวินปี้พูด เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ริมขอบของม้วนภาพ ในมือถือพัดพับเคาะฝ่ามือของตัวเองเบาๆ จ้องนิ่งไปยังสนามรบบนม้วนภาพ

หลินจวินปี้มองไปทางหมี่อวี้ เซียนกระบี่ที่แท้จริงแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดผู้นี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

หมี่อวี้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองพอๆ กับกู้เจี้ยนหลงนั่นแหละ

จากนั้นหลินจวินปี้ก็หันไปมองเถ้าแก่รอง

เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้า เขายิ้มเอ่ยว่า “คนมีความสามารถย่อมต้องเหนื่อยกว่าผู้อื่น จวินปี้เชิญสั่งมาได้เลย”

หลินจวินปี้เองก็รู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง

เพียงแต่ว่าก็ไม่ได้พิพักพิพ่วนสักเท่าไร การแบ่งหนักเบาช้าเร็วของเรื่องราว หลินจวินปี้ในเวลานี้เหมือนขยับตัวมานั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อม คุมเชิงอยู่กับตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สามารถช่วงชิงโอกาสชนะเสี้ยวหนึ่งมาให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ก็เท่ากับว่าช่วงชิงชัยชนะนับไม่ถ้วนมาให้ตัวเองและราชวงศ์เส้าหยวน!

ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หลินจวินปี้ก็เริ่มแบ่งงานให้ทุกคนอย่างไม่ลังเล

บอกให้ผังหยวนจี้และต่งปู้เต๋อรับผิดชอบรวบรวมและแยกประเภทกระบี่บินและวิชาอภินิหารทั้งหมดของเซียนกระบี่ฝ่ายตรงข้าม ซือถูเหว่ยหรันกับเติ้งเหลียงรับหน้าที่บันทึกอาวุธกึ่งเซียนและสมบัติอาคมที่สำคัญของผู้ฝึกตนฝ่ายตรงข้าม ให้เสวียนเซินและซ่งเกาหยวนคอยบันทึกการเผาผลาญของกระบี่บินและสมบัติอาคมทั้งฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูอยู่ตลอดเวลา เฉากุ่น หวังซินสุ่ยรับหน้าที่สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงขบวนรบของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ หากยังสามารถแบ่งสมาธิมาได้ก็คอยตามหาผู้ฝึกตนใหญ่ที่อำพรางตบะของฝั่งศัตรูด้วย…

เฉินผิงอันมองกู้เจี้ยนหลงแล้วกวักมือเรียก “พี่กู้ บังเอิญขนาดนี้เชียว ชีวิตคนมีที่ใดที่ไม่อาจพบเจอกัน”

กู้เจี้ยนหลงวิ่งตุปัดตุเป๋มานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ล้อเล่นอะไรแบบนั้น ไหนเลยจะกล้าให้เถ้าแก่รองเรียกข้าว่าพี่กู้ เรียกข้าว่าน้องกู้เถอะ!”

สุดท้ายบนทางเดินม้าของหัวกำแพงแถบนี้ก็มีโต๊ะตัวเตี้ยหลายตัวถูกนำมาจัดวาง แต่ละคนนั่งขัดสมาธิ หมี่อวี้จำเป็นต้องคัดลอกเอกสารการสรุปข้อมูลรวมของเขา แล้วค่อยมอบให้กวอจู๋จิ่วนำไปแจกจ่าย เพื่อสะดวกให้ทุกคนได้อ่านและทราบข้อมูลทั่วกัน

ส่วนรายงานสำคัญบางอย่าง ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันไม่ไกล สามารถเปิดปากพูดออกมาได้โดยตรง

มีเพียงเฉินผิงอันที่ไม่ได้มีภาระงานอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก

เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะหลังจากที่ลู่จือสั่งให้คนเอาโต๊ะ พู่กัน หมึกและกระดาษมาให้ที่นี่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า

“นับจากนี้ไป เฉินผิงอันก็คือใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”

หมี่อวี้รู้สึกจนใจอยู่ไม่น้อย

ส่วนผังหยวนจี้รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ขอแค่ไม่ให้ตนรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานต่อ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งเป็นเถ้าแก่รองก็ยิ่งดีที่สุด

สีหน้าซับซ้อนปรากฎบนใบหน้าของหลินจวินปี้วูบหนึ่งก็จางหายไป ยิ่งแน่ใจกับการคาดเดาในใจมากขึ้น ตอนนี้การออกกระบี่ของเซียนกระบี่มีการปรับเปลี่ยนไปหลากหลาย นี่ต้องเป็นข้อเสนอแนะของคนผู้นี้แน่นอน

ส่วนกู้เจี้ยนหลงกลับยิ้มบางๆ อย่างฝืนมโนธรรมในใจ

กวอจู๋จิ่วตบมืออยู่คนเดียว ทว่าเสียงปรบมือนั้นกลับดังราวสายฟ้าฟาด

ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยที่สุด ขอบเขตต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น ลุกขึ้นเดินไปรับแผ่นหยกเก่าแก่ที่เป็นตัวแทนของสถานะอิ่นกวานมาแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อ แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ผูกป้ายหยกไว้ตรงเอว หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเคียงข้างน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ บนโต๊ะเล็ก นอกจากพู่กันและหมึกแล้วยังมีสมุดเปล่าที่ยังไม่ผ่านการจรดพู่กันวางกองกันอีกเป็นปึก รวมไปถึงพัดพับไผ่หยกที่หุบเข้าหากัน

เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วเข้าด้วยกัน มองการจัดวางบนโต๊ะที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดแล้วก็ยิ้มบางๆ รู้สึกดีมาก ราวกับว่าต่อให้ไม่ได้เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็ได้นั่งบัญชาการณ์ฟ้าดินขนาดเล็กแล้ว

ใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่อะไรกัน

ก็แค่เปลี่ยนจากร้านผ้าห่อบุญที่ไม่หลอกลวงเด็กสตรีและคนชรามาเป็นนักบัญชีที่ตนถนัดยิ่งกว่าก็เท่านั้น