ตอนที่ 2,620 : โอสถทิพย์ระดับต่ำ โอสถเสริมวิญญาณ
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่มองถามมาด้วยสายตาคาดหวัง หลิ่วเฟิงกู่ได้แต่ส่ายหัวไปมาอีกรอบ
ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที
“แต่นิกายสราญรมย์ของยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่เหลือโลกใบเล็กไว้นั่น…มันเป็นนิกายที่ทรงพลังเหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูงเสียอีก…”
“เนื่องจากยอดฝีมือที่เข้าไปในโลกใบเล็กนั่นเหมือนกับเจ้า สามารถกลับทำให้เจ้ารอดกลับออกมาจาโลกใบเล็กได้ ย่อมเผยให้ทราบว่าพลังฝีมือมิใช่ชั่วแน่นอน! อีกทั้งความเป็นมาของยอดฝีมือผู้นั้นคงหาได้ง่ายดายไม่ อาจมาจากขุมพลังระดับเดียวกันกับนิกายสราญรมย์ก็เป็นได้”
“แน่นอนว่าถึงจะไม่ทัดเทียมกัน แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยกว่ากันมาก…”
หลิ่วเฟิงกู่พูดต่อ
“อย่างไรก็ตาม ข้าเองก็อยู่ในมณฑลจิ่วโยวมานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยได้ยินยอดสมบัติสวรรค์นามว่า ‘ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา’ มาก่อนเลย หากเจ้าอยากทราบว่ามันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ประจำนิกายใดให้ได้ ข้าเกรงว่าเจ้าต้องไปพระราชวังฉินหรือไม่ก็ต้องไปยังเมืองหลวง…”
“สำหรับพระราชวังฉินนั้นข้าไม่กล้ารับประกัน…แต่ถ้าเจ้าไปยังเมืองหลวง ข้ามั่นใจราวๆ 5 ส่วน ว่าเจ้าต้องสามารถค้นหาความเป็นมาของยอดสมบัติสวรรค์นาม ไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกา นั่นได้…”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“เมืองหลวง…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าเมืองหลวงที่หลิ่วเฟิงกู่เอ่ยถึงคือที่ไหน ไม่ใช่อะไรนอกไปจากเมืองหลวงของประเทศระดับกลางแห่งนี้…
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน…”
หลิ่วเฟิงกู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ถึงแม้ว่าวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังที่เจ้ามีจักมิใช่เวทย์พลังระดับสวรรค์ทั้งหมด…แต่วันหน้าเมื่อเจ้าไปถึงเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวแล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจเถอะ…”
“นั่นเพราะแม้แต่วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับปฐพี ก็ล้ำค่ามากพอจะให้ผู้คนเข่นฆ่าแย่งชิงแล้ว…”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวเตือน
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
เขาเองก็เข้าใจอมตะวาจาหนึ่งดี…คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
หลังสนทนากันอีกเล็กน้อยหลิ่วเฟิงกู่ก็ชวนต้วนหลิงเทียนกลับค่ายกองทัพมังกรดำ
ภายในหุบเขา…
“ใต้เท้าเจ้าเมือง”
ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำ เฉินเฉวียนป้า รวมถึงแม่ทัพทั้ง 4 ของกองทัพมังกรดำ ทุกคนได้เดินออกมาจากกระโจมที่พักอีกครั้ง ก่อนจะคารวะทักทายหล่วเฟิงกู่ด้วยเคารพ
“เฉวียนป้า หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงเลือกแม่ทัพคนใหม่มาแทนที่แม่ทัพต้วนหลิงเทียนเสีย…เพราะแม่ทัพต้วนหลิงเทียนจะติดตามข้ากลับไปยังจวนเจ้าเมือง และในอีกครึ่งปีหลังจากนี้เขาจะติดตามทูตพิเศษจากจวนผู้ว่า เพื่อไปยังจวนผู้ว่าการประจำมณฑจิ่วโยวของพวกเรา”
หลิ่วเฟิงกู่บอกเฉินเฉวียนป้าไปตามตรง
“ใต้เท้าเจ้าเมือง…ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่า 1ใน 2 สิทธิ์นั่นถูกสงวนไว้ให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว?”
เฉินเฉวียนป้าเอ่ยถาม
เห็นได้ชัดว่าเฉินเฉวียนป้าเองก็ทราบเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามแม่ทัพทั้ง 4 เบื้องหลัง นอกจากฉินอวี่ที่สองตาทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่งโดยที่ไม่มีใครทันเห็น แม่ทัพที่เหลืออีก 3 คนก็ได้แต่หันไปมองเฉินเฉวียนป้าด้วยสายตาว่างเปล่า
แต่อย่างน้อยๆพวกมันก็ยังพอจับใจความได้เรื่องหนึ่ง
นั่นคืออีกครึ่งปีหลังจากนี้ จะมี 2 คนที่ถูกทูตพิเศษพาตัวไปยังจวนผู้ประจำมณฑลเฉวี่ยโยว
‘ลองมีทูตจากจวนผู้ว่าของมณฑลมารับด้วยตัวเองถึงที่…ต้องเป็นเรื่องดีงามมากแน่!’
จ้าวต่งชิ่ง หู่จี๋ และไช่เหวินอวี้ต่างตระหนักได้ถึงเรื่องนี้
“ใช่”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้ารับค่อยเอ่ยต่อว่า “สำหรับอีก 1สิทธิ์ที่เหลือข้าจะคัดเลือกจากคนของกองทัพมังกรดำ กองทัพมังกรเงิน และกององค์รักษ์งูทองในอีก 5เดือนหลังจากนี้ ก่อนที่ทูตพิเศษจากจวนผู้ว่าจะเดินทางมาถึง ข้าจะจัดประลองขึ้นในจวนเจ้าเมือง”
“คนของกองทัพมังกรดำเจ้า กองทัพมังกรเงิน และองครักษ์งูทอง…ผู้ใดก็ตามที่บรรลุด่านพลังจินเซียนและมีอายุไม่ถึงร้อยปี สามารถขึ้นประลองขันแข่งชิงสิทธิ์สุดท้ายเพื่อไปยังจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวได้”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกมารวดเดียวจบ
ทันใดนั้นหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ก็ถึงกับคลี่ยิ้มขื่นขมออกมาทันที
พวกมันล้วนมีอายุเกินร้อยปีไปไกลโข ต่อให้บรรลุจินเซียนแต่คุณสมบัติอื่นของพวกมันก็ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข
แต่เป็นธรรมดาที่พวกมันรู้ตัวดี ว่าต่อให้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องอายุ แต่อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของพวกมัน ก็ยากจะสู้แย่งชิงอะไรได้
เพราะพลังฝีมือของพวกมันทั้งคู่ แม้จะมองแค่ภายในกองทัพมังกรดำ แต่ก็ยังอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปทางล่างเท่านั้น
‘จ้าวต่งชิ่ง กับฉินอวี่…พวกมันเองก็ยังมีอายุไม่ถึง 100 ปี…’
ขณะเดียวกันหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ก็หันไปมองจ้าวต่งชิ่งกับฉินอวี่ด้านข้างอย่างไม่ทันรู้ตัว จึงได้แลเห็นว่าแววตาของจ้าวต่งชิ่งฉายชัดถึงความตื่นเต้นนัก
ส่วนทางฉินอวี่ไม่ว่าจะสีหน้าหรือแววตากลับแลดูสงบ!
“หรือฉินอวี่มันจะรู้ตัวดีว่าไร้ความหวังช่วงชิง…มันจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
หู่จี๋กับไช่เหวินอวี้หันหน้ามามองตาพลางส่งเสียงคุยกัน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปดังกล่าว
“ส่วนต้วนหลิงเทียนนั่น…”
สุดท้ายทั้งคู่ก็หันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว ในแววตายังฉายชัดถึงความอิจฉาอันยากจะปกปิด
เพราะสุดท้ายแล้วทั้งเมืองก็มีเพียงแค่ 2 สิทธิ์เท่านั้น แต่ต้วนหลิงเทียนกลับจองไว้แล้ว 1!
แต่แน่นอนว่าพวกมันเองก็รู้ดี
ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ต่อให้ไม่ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้ ให้สู้ช่วงชิงเอา แต่ก็ต้องได้สิทธิ์ดังกล่าวมาอยู่ดี
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน…เจ้ายังมีอะไรที่ต้องไปสะสางในกองทัพมังกรดำหรือไม่ หากยังมีข้าจะรอให้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยค่อยกลับไปยังจวนเจ้าเมืองพร้อมๆกัน”
หลิ่วเฟิงกู่หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีสุภาพ
เห็นฉากตรงหน้าแม้เฉินเฉวียนป้ากับคนอื่นๆจะเตรียมใจเอาแล้ว แต่ในใจยังอดสะท้านไปเสียไม่ได้
โดยปกติแล้วเว้นเสียแต่ทางจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจะส่งทูตพิเศษมาเยือน หาไม่แล้วคงยากจะได้เห็นหลิ่วเฟิงกู่เผยท่าทีสุภาพเช่นนี้กับใคร
ต้วนหลิงเทียนนับเป็นคนแรกเลยจริงๆ ที่ไม่ใช่ทูตพิเศษจากทางจวนผู้ว่า แต่กลับทำให้เจ้าเมืองของพวกมันดูให้เกียรติขนาดนี้
“ข้าจะไปลาคนของข้าสักครู่”
ต้วนหลิงเทียนบอกหลิ่วเฟิงกู่เล็กน้อย ค่อยเหินร่างออกจากหุบเขามุ่งหน้าไปยังค่ายที่พักของทหารเขา
“ท่านแม่ทัพ…ท่านต้องจากไปจริงหรือ?”
“ท่านแม่ทัพ…หรือว่าผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน เหมียวไหลหลง นั่น มันมาสร้างปัญหาให้ท่านจนอยู่ไม่ได้?!”
…
เหล่าทหารกองทัพมังกรดำใต้บัญชาการของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหน้าเสีย เมื่อได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปแล้ว ต่างเร่งถามออกมาด้วยความร้อนใจทันที
“ท่านแม่ทัพ! ทุกอย่างเป็นเพราะข้าเอง หากเดือนที่แล้วข้าไม่ไปที่นั่น…ข้าจะไปหาท่านผู้บัญชาการเดี๋ยวนี้!!”
ไป่ฟูฉางใต้บัญชาต้วนหลิงเทียน ถงเจิ้ง คิดเหินร่างไปหาเฉินเฉวียนป้า
“เป็นเพราะข้าด้วย!”
“ข้าไปด้วย!!”
…
เหล่าทหารกองทัพมังกรดำทั้ง 9 ที่ไปเหลาอาหารไหลเฟิ่งวันนั้นก็ก้าวออกมา และคิดไปหาเฉินเฉวียนป้าพร้อมถงเจิ้นเพื่อรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นหยุดทุกคนเอาไว้ทันที
“เรื่องเมื่อเดือนก่อนมันจบไปแล้ว…ที่ข้าไปคราวนี้ เพราะท่านเจ้าเมืองคิดให้ข้าเป็นตัวแทนของเมืองเฉวี่ยโยว เดินทางไปยังจวนผู้ว่าของเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เอ๋? ไปจวนผู้ว่าที่เมืองประจำมณฑลจิ่วโยว?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนทหารทั้งหมดที่ร้อนใจก็อ้าปากค้างทันที เพราพวกมันตระหนักได้ว่าการจากไปครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน…ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี!
เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปยังจวนผู้ว่าได้!
เนื่องจากเป็นเรื่องดี เช่นนั้นถึงแม้ในใจถงเจิ้งและทหารคนอื่นๆยังไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนจากไป แต่พวกมันก็ไม่กล่าวรั้งออกมาอีก ยังกล่าวคำอำลากับต้วนหลิงเทียนทีละคนๆ
“เอาล่ะ หากวันนี้ข้ามีเวลา…ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้า”
หลังพูดประโยคทิ้งท้ายดังกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างกลับไปหาหลิ่วเฟิงกู่ เดินทางออกจากค่ายของกองทัพมังกรดำกลับจวนเจ้าเมืองและไปยังสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมือง ที่เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษตลอดครึ่งปีหลังจากนี้
ขณะเดียวกันหลิ่วเฟิงกู่ยังมอบแหวนพื้นที่วงหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน…ภายในแหวนมีหินอมตะระดับสูงร้อยก้อนและโอสถทิพย์ระดับต่ำอย่างโอสถเสริมวิญญาณ”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“โอสถทิพย์ระดับต่ำ? โอสถเสริมวิญญาณ?”
ได้ยินคำของหลิ่วเฟิงกู่ สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองแหวนพื้นที่ยิ่งมายิ่งแผดแสงแรงกล้า!
โอสถเสริมวิญญาณ แม้จะเป็นแค่โอสถทิพย์ระดับต่ำที่พบเจอได้ง่าย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับมัน
นั่นเพราะสำหรับตัวตนขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์แล้ว โดยไม่ต้องสนใจสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะใดๆ การใช้โอสถดังกล่าวบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง สามารถลดระยะเวลาในการบ่มเพาะเพื่อทะลวงไปยังขั้นต่อไปได้ถึง 1 ใน 10 ส่วน!
เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?
อย่างเช่น
เดิมทีเซียนอมตะสวรรค์จันทร์แสดคนนึงจำต้องใช้เวลา 100 วันเพื่อทะลวงผ่างไปยังขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์เหลือง
ทว่าหากรับประทานโอสถเสริมวิญญาณล่ะก็ ใช้เวลาบ่มเพาะเพียง 90 วันก็ทะลวงด่านได้แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการใช้โอสถเสริมวิญญาณเพื่อช่วยเหลือในการบ่มเพาะ กับการใช้หินอมตะในการบ่มเพาะนั้นมันไม่ขัดแย้งกัน
“ขอบคุณเจ้าเมือง”
ต้วนหลิงเทียนผูกพันธะครองแหวนเร็วไว ก่อนจะเรียกขวดโอสถทิพ์ออกมาโยนชั่งน้ำหนักในมือเบาๆ จากนั้นเขาก็บอกได้ทันที…
มีโอสถเสริมวิญญาณอยู่ในขวดไม่น้อยไปกว่า 10เม็ด!
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ภายในเมืองเฉวี่ยโยวก็ยากจะหาความสงบ
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย!? คนนอย่างผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน เหมียวไหลหลง ผู้นั้นเนี่ยนะ…ถึงกับเอ่ยบอกใต้เท้าเมืองด้วยตัวเองว่าจะไม่ติดใจเอาความเรื่องราวที่เหลาอาหารไหลเฟิ่งเมื่อเดือนที่แล้วอีกต่อไป?”
“มันใช่เหมียวไหลหลงผู้นั้นจริงๆหรือ”
…
ความไม่สงบภายในเมืองเฉวี่ยโยวแรกเริ่มก็เกิดขึ้นเพราะการลงมือของต้วนหลิงเทียน
มาวันนี้ที่เมืองเฉวี่ยโยวฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นผลพวงจากการกระทำของต้วนหลิงเทียน แต่ไม่เชิงเป็นเพราะเรื่องที่เขาทำไว้ในเหลาไหลเฟิ่งอีกต่อไป…
“ต้วนหลิงเทียนติดตามเจ้าเมืองกลับมายังจวนเจ้าเมือง…แถมยังได้รับอนุญาตให้ใช้สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของใต้เท้าเจ้าเมือง?”
“แบบนี้ก็มีด้วยหรือ!? ให้ตายเถอะข้าอยู่เมืองเฉวี่ยโยวมาก็นานแต่ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าท่านเจ้าเมืองเคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าใช้สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวแบบนี้!”
“ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้รับการดูแลจากใต้เท้าเจ้าเมืองดีนักเล่า?”
…
และเมื่อข่าวเรื่องราวดังกล่าวเริ่มแพร่กระจายออกมาจากจวนเจ้าเมือง ก็ทำให้ผู้คนในเมืองเฉวี่ยโยวรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“เฮ้…ต้วนหลิงเทียนคนนั้น คงไม่ใช่บุตรนอกสมรสของใต้เท้าเจ้าเมืองหรอกนะ?”
บางคนถึงกับคิดไปอย่างนั้น
ณ ค่ายกองทัพมังกรเงิน
“อะไรนะ? ใต้เท้าผู้บัญชาการของพวกเรา ไม่ติดใจเอาความเรื่องเมื่อเดือนก่อนแล้ว?”
“หรือ…หยางกงผิงที่เป็นน้องเขยใต้เท้าผู้บัญชาการจะถูกต้วนหลิงเทียนทำร้ายจนพิกาลอย่างเสียเปล่า?”
“ไฉนใต้เท้าผู้บัญชาการถึงทำเช่นนี้เล่า?”
…
เหล่าทหารของกองทัพมักรเงินทั้งหลายไม่มีใครเข้าใจเรื่องราวในครั้งนี้ พวกมันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
และไม่นานข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้เข้าไปใช้สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองก็เริ่มแพร่มาถึงค่ายกองทัพมังกรเงินเช่นกัน
“นี่มัน…ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลังผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอย่างเหมียวไหลหลงได้รับรายงานเรื่องนี้ สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง จากนั้นก็ค่อยๆผ่อนคลายลงราวกับฉุกคิดอะไรได้
“หรือว่า…เจ้าเมืองคิดใช้การทำดีกับต้วนหลิงเทียน เพื่อให้มันยอมถ่ายทอดวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังด้วยบุญคุณ?”