บทที่ 632.2 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เรื่องที่สาม ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองคนอย่างเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนต่างก็ไปที่หัวกำแพงเมืองกันหมด กิจธุระในบ้านล้วนมอบหน้าที่ให้ผู้น้อยในตระกูลจัดการ แม้จะบอกว่าไม่ฉลาดเฉลียวเท่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองท่านนี้ แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าคนกลุ่มนี้จะยืนกรานในเรื่องราคาที่แน่นอน รักษากฎเกณฑ์อย่างตายตัว ไม่ยอมตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นทั้งสองฝ่ายก็คงต้องถ่วงเวลากันไป แม้จะบอกว่าไม่ว่าใครก็รู้ดีว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีทางรั้งรอได้นานเท่าเรือข้ามทวีปอย่างแน่นอน แต่ขอแค่อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวสิบวันครึ่งเดือน เงินเทพเซียนก้อนที่มอบให้ภูเขาห้อยหัวนั้นไม่ใช่เงินน้อยๆ ดังนั้นไม่เพียงแต่ถ้ำซานสุ่ยเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วเรือข้ามทวีปทุกลำล้วนหวังว่าจะฝ่าการคุมเชิงที่ชะงักงันนี้ไปได้

ในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาระหว่างศึกใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตระกูลน่าหลันก็ใช่ว่าจะไม่เคยทิ้งคำพูดอำมหิตให้กับพวกเรือข้ามทวีปลำใหญ่ทั้งหลายอย่างเช่นว่า อยากขายก็ขาย ไม่ขายก็ไสหัวไป

และในขณะที่ผู้ดูแลเรือข้ามฟากสิบกว่าลำของหลายทวีปเริ่มเปลี่ยนมาเป็นมดบนกระทะร้อน เตรียมจะก้มหัวยอมอ่อนข้อให้นั้นเอง อยู่ดีๆ ก็เกิดโอกาสพลิกผัน มีคนหนุ่มไร้แซ่ไร้นามคนหนึ่งที่อยู่บนเรือข้ามฟากของฝูเหยาทวีปที่ใช้กลยุทธประสานพร้อมแยกสลาย ถึงขั้นสามารถโน้มน้าวผู้ดูแลทุกคนของเรือข้ามฟากเจ็ดทวีปได้ ยอมเดิมพันว่าอาจจะไม่ได้ผลกำไร บอกให้เรือข้ามทวีปทุกลำพากันถอนสมอเรือออกจากภูเขาห้อยหัวภายในค่ำคืนเดียว ราวกับมาท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำ แล้วไปจอดที่ท่าเรือของเกาะใต้อาณัติสำนักอวี่หลง ทิ้งเพียงประโยคเดียวไว้ให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเราไม่เอาเงินก้อนนี้ก็ได้

และคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็มีชื่อเสียงขึ้นมา สุดท้ายช่วยให้เรือข้ามทวีปทุกลำได้กำไรก้อนใหญ่ผู้นี้ ก็คือบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของถ้ำซานสุ่ย ตอนนั้นเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร แต่กลับสามารถโน้มน้าวพวกจิ้งจอกเฒ่าทุกคนที่ทำการค้ามาจนเคยชินได้ หลังจากนั้นเวลาสั้นๆ เพียงสามปี คนหนุ่มก็มีภูเขาและมีเรือข้ามทวีปเป็นของตัวเอง

ใช่ว่าตระกูลน่าหลันจะไม่เคยคิดหาวิธีมารับมือกับเรือข้ามทวีปสองลำของถ้ำซานสุ่ยในภายหลัง เพียงแต่ว่าทุกครั้งถ้ำซานสุ่ยล้วนรับมือได้อย่างผ่อนคลาย นานวันเข้าจะทำอย่างไรได้ การค้าก็ต้องดำเนินต่อไปเท่านั้น

ภายหลังพอมีตระกูลเยี่ยน เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนอย่างเยี่ยนหมิงค่อนข้างจะพูดง่ายหน่อย ไม่ได้มีนิสัยตรงไปตรงมาของคนทำการค้าอยู่เล็กน้อย แต่กลับมีนิสัยเสียๆ ของผู้ฝึกกระบี่อยู่มากกว่าอย่างตระกูลน่าหลัน เพราะเยี่ยนหมิงเหมือนคนค้าขายอย่างสมชื่อมากกว่า คนผู้นี้ระมัดระวังรอบคอบ พยายามที่จะช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่เสียเงินที่อยุติธรรมน้อยที่สุด แต่ก็ต้องทำให้เรือข้ามฟากของทวีปใหญ่ทั้งหลายได้กำไรไปด้วย ถือว่าต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และหลังจากน่าหลันไฉ่ฮ่วนเข้ามากุมอำนาจของตระกูล ความสัมพันธ์ของนางกับบรรดาเรือข้ามทวีปของทวีปต่างๆ ก็ไม่ถือว่าแย่ และหลังจากที่คนฉลาดสองคนอย่างเยี่ยนหมิงกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนมารับหน้าที่ทำการค้าแล้ว ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายนับว่าธรรมดา น่าจะถือว่าเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ทว่าในทางส่วนตัวก็มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์น้อยใหญ่อยู่เช่นกัน

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของผู้ฝึกตนผู้เฒ่าเดินมาที่หอชมทัศนียภาพแห่งนี้ ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

ก่อกำเนิดผู้เฒ่าจึงยิ้มเอ่ย “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”

คนหนุ่มถาม “อาจารย์ ในอดีตเรือข้ามทวีปของถ้ำซานสุ่ยพวกเราล้วนยอมให้ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชื่อค่าสินค้าไว้ก่อนได้ หลังศึกใหญ่ผ่านไปค่อยคิดบัญชีกันตามดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้ จ่ายเร็วดอกเบี้ยก็น้อย จ่ายช้าดอกเบี้ยก็มาก เหตุใดครั้งนี้ท่านบรรพบุรุษถึงจะให้ถ้ำซานสุ่ยของพวกเราร่วมมือกับเรือข้ามฟากลำอื่นปฏิเสธเรื่องนี้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่เล่า?”

ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “แม้ว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเข้มงวดต่อการส่งข่าว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้หัวกำแพงเมือง แม้แต่คนสนิทคุ้นเคยอย่างข้า ในอดีตยังพักอยู่ในจวนเซียนได้หลายวัน แต่คราวนี้เข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่แต่กลับไปไม่ถึงที่นคร ได้แต่พักอยู่ในเรือนที่ตั้งระหว่างตัวนครกับหอมายา คุยเรื่องการค้ากับคนสองตระกูลนั้น แต่ยิ่งปิดบังเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเผ่าปีศาจบุกเข้ามาอย่างดุดัน สงครามครั้งนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่อเนจอนาถอย่างยิ่ง แล้วเจ้าว่ากำลังทรัพย์ของตระกูลเยี่ยนกับตระกูลน่าหลันเป็นอย่างไร?”

คนหนุ่มยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ทั้งสองอย่างเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนล้วนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ทรัพย์สินที่สะสมมาได้ ไม่ว่าจะเป็นของตระกูลตัวเองหรือว่าส่วนที่ช่วยหามาให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน”

ผู้เฒ่าพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ “ดังนั้นคราวนี้พวกเราจึงสามารถหากำไรก้อนใหญ่ให้ถ้ำซานสุ่ยได้แล้ว ไม่เพียงแต่จะขุดเอารากฐานกำลังทรัพย์ของตระกูลเยี่ยนและตระกูลน่าหลันจนไม่เหลือ ยังจะกวาดเอาของที่หอโอสถสะสมไว้มาจนเกลี้ยงด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าจะไม่ให้เชื่อไว้ก่อนนั้น แน่นอนว่าพวกเราพูดจริง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ในความเป็นจริงแล้วจะไม่ให้พวกเราเอาจริงก็ได้ แต่จะทำอย่างไรพวกเราถึงจะไม่เอาจริง ก็ต้องดูที่ความจริงใจของเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนแล้ว”

คนหนุ่มถามอย่างระมัดระวัง “นิสัยของเซียนกระบี่ไม่ใคร่จะดีเท่าไร อย่าได้ทำให้พวกเขากลายเป็นหมาจนตรอกเด็ดขาดเชียว”

ผู้เฒ่าเอ่ยเยาะเย้ย “ตระกูลน่าหลันมีน่าหลันเซาเหว่ยเป็นบรรพบุรุษ คือหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากอยู่ที่ฝูเหยาทวีปของพวกเรา ใครจะกล้าหายใจแรงต่อหน้าเจ้าแก่ผู้นี้ น่าหลันเซาเหว่ยนิสัยดีนักรึ? ไม่ดีมากๆ เลยล่ะ แต่เจอกับพวกเรา ไม่ดีแล้วจะทำอะไรได้? เซียนกระบี่พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ชอบฆ่าคน? เชิญเจ้าฆ่าได้ตามสบาย แต่พวกเขากล้าหรือ? ต่อจากนี้พวกเรายังต้องพูดโน้มน้าวบรรพบุรุษของเรือข้ามฟากลำอื่นๆ ให้ออกหน้าอีก เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเงินเทพเซียนถึงจะเป็นหมัดที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า”

อันที่จริงคำถามที่คนหนุ่มจะถามจริงๆ ก็คือ ทำไมถึงไม่ยอมให้หาเงินได้น้อยกว่าเดิมสักเล็กน้อย หากเอาแต่คิดจะขุดเงินขูดเนื้อจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดแบบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็นสักเท่าไร

คล้ายผู้เฒ่าจะมองความคิดของลูกศิษย์ออก จึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าน่ะ ตบะพอใช้ได้ แต่ทำการค้ากลับโง่เขลาไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย! ทั้งๆ ที่สามารถหาเงินได้ กลับเอาแต่คิดว่าจะหาเงินจากคนอื่นให้น้อยหน่อย แล้วชีวิตนี้เจ้าจะหาเงินก้อนใหญ่ได้จริงงั้นหรือ? ขอแค่เจ้ายังคิดอย่างนี้ ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นบุคคลอย่างท่านบรรพบุรุษของพวกเราเลย แม้แต่คิดก็ทำไม่ได้ เพราะขนาดจะถือรองเท้าให้ท่านบรรพบุรุษก็ยังไม่คู่ควร”

สุดท้ายผู้เฒ่าเอ่ยว่า “เจ้าเลิกสนใจเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเถอะ ใช้ชีวิตให้ดีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว รอให้เจ้ากลายเป็นบุคคลอย่างบรรพจารย์ของถ้ำซานสุ่ยที่สำคัญยิ่งกว่าอาจารย์ ถึงเวลานั้นเจ้าถึงจะมีคุณสมบัติมาพูดเรื่องหาเงินมากน้อย แต่อาจารย์มั่นใจมากเลยว่า หากถึงวันนั้นจริงๆ เจ้ามีแต่จะอยากหาเงินให้ได้มากกว่าอาจารย์ พอย้อนกลับมามองวันนี้ก็จะรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขำ! เพราะอะไร?”

ผู้เฒ่าถามเองตอบเอง “เพราะก้นของเจ้านั่งอยู่บนเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ถ้ำซานสุ่ยแล้ว”

……

ฟู่เค่อ เซียนดินโอสถทองที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักอวี่หลง วันนี้เขาออกจากภูเขาบรรพจารย์อันเป็นเกาะที่ตั้งของสำนักอวี่หลง ไปเยือนเกาะใต้อาณัติแห่งหนึ่งเพื่อพบกับสหายสนิท

สำนักอวี่หลงไม่มีเรือข้ามทวีป เพราะว่าไม่จำเป็น สำนักแห่งหนึ่งมีเกาะใต้อาณัติน้อยใหญ่ยี่สิบกว่าแห่ง แต่ละแห่งล้วนเป็นท่าเรือ ด้านบนล้วนเป็นสำนักตระกูลเซียน ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ลูกศิษย์ฝ่ายนอกบวกกับนักการที่พึ่งพิงสำนักอวี่หลงทั้งสิ้น จำนวนคนมีมากหลายหมื่นคน

เรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปส่วนใหญ่ รวมไปถึงเรือข้ามทวีปส่วนหนึ่งของทักษินาตยทวีปล้วนจำเป็นต้องมาจอดพักกลางทางที่นี่

ฟู่เค่อไม่ได้พาสาวงามไปด้วย เขาขับเรือยันต์ไปเพียงลำพัง ขึ้นเกาะที่มีชื่อว่าเกาะหยกมรกตแห่งนี้ บนเกาะมีต้นไม้ตระกูลเซียน มีหินที่เป็นเนื้อเหมือนหยกมรกต ล้ำค่าอย่างยิ่ง คือของที่เรือข้ามทวีปหลายลำซึ่งมาจอดเทียบท่าจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อ เพราะถึงอย่างไรเมื่อไปถึงภูเขาห้อยหัวก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ค่าใช้จ่ายน้อยนิดแค่นี้จึงไม่นับเป็นอะไรได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อกลับบ้านเกิดไปแล้วก็ต้องได้กำไรอีกเหมือนกัน ไม่ต่างจากการปักบุปผาลงบนผ้าแพร

เกาะหยกมรกตตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสำนักอวี่หลง ดังนั้นในอดีตจึงมักจะได้เห็นมังกรเฒ่าโปรยพิรุณไปกลับระหว่างร่องเจียวหลงกับทักษินาตยทวีปเป็นประจำ หากโชคดียังสามารถมองเห็นมังกรที่เหนื่อยล้าร่วงหล่นลงสู่มหาสมุทรพร้อมลมหายใจที่รวยรินด้วย เพียงแต่ว่าสำนักอวี่หลงถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกับร่องเจียวหลง แต่ไหนแต่ไรมาก็ปฏิบัติต่อเผ่าพันธ์มังกรที่เคลื่อนเมฆโปรยฝนตามสัญชาตญาณพวกนี้อย่างเป็นมิตรอยู่แล้ว หากเจียวหลงที่หมดเรี่ยวแรงลอยตัวอยู่ในมหาสมุทร มิอาจกลับคืนไปยังรังของตัวเองได้ ก็ยังจะมีผู้ฝึกตนใหญ่ที่ช่วยโคจรกระแสน้ำพาให้มันล่องลอยไปยังร่องเจียวหลงโดยเฉพาะอีกด้วย

แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้กลับไม่ค่อยได้เห็นแล้ว เพราะร่องเจียวหลงถูกเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ไม่แยกแยะดีชั่ว สนใจแค่ชื่อเสียงอย่างเดียวซึ่งมีเวทกระบี่สูงอย่างถึงที่สุด นิสัยย่ำแย่อย่างถึงที่สุดออกกระบี่ทำลายรังของพวกมันให้เสียหายไปเกินครึ่ง ผู้เฒ่าของเกาะหยกมรกตที่เห็นคลื่นมรสุมมาจนชินแล้วต่างก็พูดกันว่าเซียนกระบี่ประเภทนี้มีแค่ขอบเขตอย่างเดียว ไม่รู้จักการวางตัวเป็นคน ก็คือพวกคนที่คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่งฐานะอย่างแท้จริง

เกี่ยวกับข่าวลือเรื่องนี้ อันที่จริงฟู่เค่อเป็นคนที่มีคุณสมบัติจะพูดจาบอกกล่าวความเป็นจริงมากที่สุด เพียงแต่เขาไม่อยากจะทำลายความบันเทิงของคนในครอบครัวตัวเองก็เท่านั้น

เรือยันต์ของฟู่เค่อไม่ได้ตรงเข้าไปจอดที่เรือนพักส่วนตัวของสหาย แต่จอดที่หน้าประตูภูเขาริมชายฝั่งของเกาะหยกมรกตตามกฎ จากนั้นเขาก็เดินเนิบช้าไปเบื้องหน้า ระหว่างทางก็เอ่ยทักทายคนที่เจอไปด้วย ได้พูดคุยกับฟู่เค่อ ต่อให้เป็นแค่ถ้อยคำเกรงใจตามมารยาท แต่ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ในใจล้วนรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน รู้สึกเป็นเกียรติกันทั้งนั้น

สำหรับฟู่เค่อแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็ก แต่กลับเป็นเรื่องที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

หนึ่งคือช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายให้กับตัวเอง สองช่วยสร้างหน้าตาให้กับสหายของตน อันที่จริงบนภูเขาก็ไม่ได้ต่างจากล่างภูเขาสักเท่าไร หน้าตาล้วนสามารถแลกเปลี่ยนมาด้วยเงินทอง

เพื่อนของฟู่เค่อ อวี๋ฟู่จิ่ง คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอยู่บ้าง เป็นสหายสนิทที่รู้จักกับฟู่เค่อมานานแล้ว ในอดีตทั้งสองฝ่ายมีชาติกำเนิดและขอบเขตไม่ต่างกันสักเท่าไร คิดไม่ถึงว่าฟู่เค่อบุรุษยากจนที่แทบจะอับจนหนทางแล้ว คิดแค่ว่าชีวิตนี้จะต้องไปเห็นภูเขาห้อยหัวสักครั้งให้จงได้ กลับมีโชควาสนาบนมหามรรคาที่ใหญ่ขนาดนี้หล่นลงใส่หัว ยังไม่ทันได้เห็นภูเขาห้อยหัว กลับมาหยุดอยู่กลางทางที่สำนักอวี่หลงเสียก่อน แล้วก็ยิ่งเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว กลายเป็นลูกเขยของตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่ง เทพธิดาสองคนทยอยกันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

โชควาสนาลึกล้ำ ช่างทำให้คนเห็นอิจฉาได้ดีจริงๆ โชคความรักก็ไม่ตื้นเขิน ยิ่งมากพอจะทำให้คนอื่นอิจฉาจนตายได้

เพียงไม่นานข่าวนี้ก็ถูกผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าที่เดินทางไปกลับนำไปแพร่ทั่วแจกันสมบัติทวีป ฟู่เค่อจึงกลายเป็นคนที่ผู้ฝึกตนอิสระมากมายเลื่อมใส แม้แต่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังอิจฉาตาร้อน

ดังนั้นอวี้ฟู่จิ่งจึงลองมาเสี่ยงดวงดู ก่อนหน้านี้แค่หวังว่าจะได้เงินเทพเซียนมาจากกซอกเล็บของสหายรักอย่างฟู่เค่อบ้าง อย่างเช่นว่าเงินร้อนน้อยสักสี่ห้าเหรียญ เอามาช่วยแก้ความขัดสนให้กับสหาย แค่นี้อวี้ฟู่จิ่งก็พอใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าฟู่เค่อจะมีน้ำใจจริงๆ หลังจากที่อวี้ฟู่จิ่งเสี่ยงอันตรายออกจากเรือข้ามฟากไปเยือนสำนักอวี่หลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาก็ไม่กล้าขึ้นเกาะ ได้แต่บอกกล่าวชื่อแซ่ บอกว่าตนรู้จักกับฟู่เค่อ ตอนนั้นเขายังถึงขั้นไม่มีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนของฟู่เค่อด้วยซ้ำ

ฟู่เค่อไม่เพียงแต่รีบออกมาจากสำนักอวี่หลง เพราะติดที่กฎของสำนักจึงมิอาจพาอวี้ฟู่จิ่งขึ้นเกาะได้ เขาจึงพาอวี้ฟู่จิ่งมาพักที่เกาะหยกมรกตแห่งนี้ ฟู่เค่อบอกว่าจงพักอย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป หลังจากฟู่เค่อจากไปแล้ว อวี้ฟู่จิ่งก็ทั้งดีใจ ทั้งเสียดาย เพราะฟู่เค่อไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจนอะไร คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่วันเดียว ผู้ฝึกตนที่เป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์เกาะหยกมรกตจะมาเยือนด้วยตัวเอง สอบถามเขาว่ายินดีจะเป็นผู้ฝึกตนฝ่ายในของเกาะหยกมรกตหรือไม่ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ แต่แค่นี้ก็ทำให้อวี้ฟู่จิ่งซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลได้แล้ว ต้องรู้ว่าแม้เกาะหยกมรกตจะเป็นหนึ่งในเกาะใต้อาณัติของสำนักอวี่หลง แต่กลับมีเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์! หากไปอยู่ในแจกันสมบัติทวีป นั่นคือจวนตระกูลเซียนที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่ายแค่ไหน?

ส่วนผู้ฝึกตนที่เป็นผู้คุมกฎคนนั้นก็เป็นเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้อวี้ฟู่จิ่งผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างแม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝันว่าเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งจะพูดคุยกับตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พูดจาอย่างเกรงใจกัน

หลังจากนั้นมาอวี้ฟู่จิ่งก็ใช้สถานะของผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลเกาะหยกมรกตมาเริ่มฝึกตนอย่างสงบสุขมั่นคง ได้คาถาตระกูลเซียนมาฝึกตน แต่เป็นเพราะพรสวรรค์ของอวี้ฟู่จิ่งธรรมดาเกินไป พัฒนาการของเขาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้แต่ขอบเขตถ้ำสถิตที่ไม่ถือว่ามีหน้ามีตาอะไรบนเกาะหยกมรกตก็ยังมีความหวังไม่มาก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ฝึกตนในศาลบรรพจารย์ก็ยังชื่นชอบเขาอยู่ดี

ครั้งนี้ฟู่เค่อขึ้นมาบนเกาะหยกมรกต เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อเยี่ยมเยียนอวี้ฟู่จิ่ง

อวี้ฟู่จิ่งที่ได้ข่าวจากทางสำนักมาตั้งแต่แรกแล้วรีบร้อนออกจากห้อง ยังจะต้องฝึกหลอมลมปราณกะผายลมอะไรอีก เว้นเสียจากว่ามีโชควาสนาเพิ่มเติม หรือไม่ก็มีเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ทุ่มลงไป อาศัยแค่เขาอวี้ฟู่จิ่งนั่งเฉยๆ อยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากรอความตายเลย

เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ อวี้ฟู่จิ่งก็หยุดเดินตรงหน้าประตูใหญ่ เขาอิดออดอยู่นานกว่าจะเปิดประตู รออยู่ครู่หนึ่งก็มองเห็นฟู่เค่อที่กำลังเอ่ยลากับบรรพจารย์ของเกาะหยกมรกต

อวี้ฟู่จิ่งรีบเพิ่มความเร็วฝีเท้า คิดว่าจะดีจะชั่วก็ขอให้ได้พูดคุยกับเทพเซียนก่อกำเนิดท่านนี้สักคำสองคำ และก่อกำเนิดผู้เฒ่าเจ้าเกาะท่านนั้นก็หยุดเท้าลงจริงๆ

หลังจากที่อวี้ฟู่จิ่งเดินปรี่ไปถึงก็ตบบ่าฟู่เค่อแรงๆ ด่าขำๆ ว่าเจ้าคนมีเมียแล้วลืมพี่น้อง ฟู่เค่อเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

อวี้ฟู่จิ่งรีบทำความเคารพบรรพจารย์ของสำนักอย่างนอบน้อมทันที

ก่อกำเนิดผู้เฒ่าพูดคุยกับอวี้ฟู่จิ่งตามมารยาทด้วยสีหน้าแย้มยิ้มสองสามคำ ก็หนีไม่พ้นคำพูดทำนองว่าให้มานะฝึกตน มีความหวังบนมหามรรคา อวี้ฟู่จิ่งทำสมาธิตั้งใจรับฟัง หลังจากที่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าจากไปด้วยรอยยิ้ม อวี้ฟู่จิ่งก็ลากฟู่เค่อเข้าไปในเรือนส่วนตัว ขนาดไม่ใหญ่ แต่จะดีจะชั่วก็เป็นเรือนส่วนตัว ระดับขั้นของเกาะหยกมรกตนั้นเข้มงวดมาก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่มีจวนส่วนตัวเป็นของตัวเอง นอกจากผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ที่จะกลายเป็นเสาคานของศาลบรรพจารย์ในอนาคตแล้ว ก็มีแค่อวี้ฟู่จิ่งคนเดียว