ตอนที่ 2393 ลาก่อน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“หรือว่านายท่านนั้นจะคิดกลัวตาย?”

ซ่างเหิงที่เพิ่งกล่าวยอมรับผิดไปนั้นแสดงสีหน้าดำมืดออกมาอีกครั้ง

การที่เย่หยวนกลัวจะตายไม่กล้าเสี่ยงชีวิตนี้มันย่อมจะทำให้เขานั้นไม่ชอบใจอย่างมาก

เย่หยวนนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “วันหน้าเจ้าจะได้เข้าใจมันเอง”

ซ่างเหิงนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอีกครั้ง “หึ! มีแต่ข้ออ้าง! ใครจะไปรู้เรื่องราววันหน้าได้แน่? ต่อให้จะเป็นท่านเฉียนจี้เองก็ยังไม่อาจจะคาดเดาอนาคตได้แน่นอน ท่านจะไปรู้ได้อย่างไร? แท้จริงแล้วแม้แต่ร่างจริงของท่านก็ยังไม่กล้าจะแสดงมันออกมาต่อหน้าผู้คน!”

เย่หยวนเดินเข้ามาตบบ่าของเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าวันหน้าเจ้าจะได้เข้าใจมันเอง ชะตาของเราทั้งสองนั้นมันไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้หรอก”

พูดจบเย่หยวนก็เดินหันหน้าจากไปทิ้งคนทั้งหลายให้ต้องอ้าปากค้าง

ด้วยมหาค่ายกลสืบทอดนี้วังถามสวรรค์จึงได้กลายเป็นดินแดนบ่มเพาะฝึกฝนไป

ทุกวันนั้นจะมียอดอัจฉริยะมากมายเข้าออกภายในมหาค่ายกลสืบทอด

นี่แห่งนี้มันได้กลายเป็นโรงงานผลิตยอดฝีมือไปทันที

เมื่อเฉียนจี้และหวู่หยุนได้ยินเรื่องราวนั้นพวกเขาทั้งสองต่างก็ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน

ในเวลานี้มันไม่มีใครคิดสงสัยการตัดสินใจของเฉียนจี้อีกต่อไป มันจะมีแต่คำสรรเสริญชื่นชมถึงความหลักแหลมของเขาแทน

ส่วนตัวเย่หยวนนั้นช่วงหลังๆ มานี้เขาเอาแต่เก็บตัวไม่โผล่หน้าให้ใครได้เห็น กลายเป็นตัวตนลึกลับของมิติลับสวรรค์ไป

แต่ไม่นานนักมันก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาในส่วนเบื้องบนของสังหารเทพ

“อ่อก!”

เจียนหรูเฟิงนั้นกระอักเลือดออกมาด้วยสภาพร่างแสนอ่อนแรง

นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้วที่เขากระอักเลือดในรอบวัน

หลังๆ มานี้การกระอักเลือดของเขามันบ่อยขึ้นอย่างมากจนทำให้เกิดความหม่นหมองไปทั่วทั้งสังหารเทพ

“ไหนเจ้าบอกว่ามันยังเหลือเวลาอีกราวพันปีไงเล่า? ทำไม… มันมาถึงเร็วเช่นนี้?” หวู่หยุนนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

เจียนหรูเฟิงนั้นมีใบหน้าขาวซีดแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี “หึๆ สหายข้า มันเป็นเรื่องดีต่างหาก! ด้วยสมองของเจ้ามีหรือที่เจ้าจะไม่เข้าใจถึงต้นเหตุมันจริง?”

หวู่หยุนนั้นขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเบิกตากว้างร้องขึ้นในที่สุด “เจ้าจะบอกว่ามหาค่ายกลสืบทอดที่สหายหนุ่มจี้สร้างขึ้นมานั้นมันทำให้คลื่นพลังในมิติลับสวรรค์หนักหน่วงขึ้นหรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องรับภาระหนักและทำให้วันนี้มาถึงเร็วเช่นนี้?”

เจียนหรูเฟิงพยักหน้ารับ “เจ้าหนุ่มคนนี้มันเป็นยอดอัจฉริยะที่สุดในยุคสมัยนี้ หากมีเขาอยู่ด้วยแล้วมีหรือที่เราจะยังต้องกลัวล้มเหลวใดๆ?”

หวู่หยุนขมวดคิ้วแน่น “แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรือ? หลังๆ มาข้าได้ยินคนเบื้องล่างคุยกันว่าเขานั้นไม่คิดร่วมศึกกับเผ่าเทวา! หรือว่าแท้จริงแล้วเขานั้นจะเป็นคนที่รักตัวกลัวตาย?”

เจียนหรูเฟิงได้แต่ส่ายหัวขึ้น “คนรักตัวกลัวตายที่ไหนจะกล้าไปท้าทายวังสวรรค์เฝ้าด้วยตัวคนเดียวเช่นนั้น? สหายข้า เจ้าจัดการให้หน่อย สามวันจากนี้ คนตระกูลเจียนของข้าร้อยคนจะยอมตายเพื่อหน้าที่ปิดบังความลับสวรรค์ของมิติลับสวรรค์เอาไว้”

หวู่หยุนหน้ากระตุกทันที่ได้ยิน ดวงตาของเขานั้นเริ่มมีมวลน้ำเอ่อขึ้นมา “มันต้องลงมือกันเร็วปานนั้น?”

เจียนหรูเฟิงยิ้มตอบกลับไป “ทำให้มันเร็วขึ้นหน่อยจะเป็นไรไป? ทำให้มันช้าลงหน่อยจะต่างอะไร? สิ่งที่มันจะมา สุดท้ายมันก็ต้องมาถึง อ่า จริงด้วย ไปเรียกจี้ฉิงหยุนมาด้วย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”

สามวันต่อมานั้นเหล่าคนนับแสนๆ ก็ได้มารวมตัวกัน

ยอดฝีมือตระกูลเจียนร้อยคนนั้นกำลังยืนอยู่ด้านหลังเจียนหรูเฟิงด้วยความเงียบงัน

ยอดอัจฉริยะมากมายนั้นกำลังจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำเอ่อน้ำตา

ความเงียบงันที่ปกคลุมนี้มันเหมือนเป็นบทเพลงบรรเลงแห่งความสูญเสีย

ทุกผู้คนเข้าใจดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เมื่อเย่หยวนได้เห็นภาพนี้เขาก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งใจเช่นกัน

เขานั้นก็ไม่นึกฝันว่าเพราะมหาค่ายกลสืบทอดของเขานั้นมันกลับจะทำให้เจียนหรูเฟิงตายไว้ขึ้น

จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นเป็นยอดคนของยุคสมัยนี้ แต่พลังของเขาเพียงแค่คนเดียวย่อมจะไม่อาจปกปิดความลับสวรรค์ได้สิ้น

เพราะฉะนั้นยอดคนทั้งหนึ่งร้อยของตระกูลเจียนจึงต้องเสียสละชีวิตช่วยเหลืองานนี้ให้เขาด้วย

ตระกูลเจียนนั้นมันช่างเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่!

เย่หยวนนั้นมองดูไปยังเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเจียนหรูเฟิงและเขาคนนี้เองที่มีหน้าตาดูละม้ายคล้ายกับจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนที่เขารู้จัก

เย่หยวนนั้นตกตะลึงในใจ ไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งจะได้มาเจอจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนปัจจุบันในวัยเด็กเช่นนี้

เจียนหรูเฟิงลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าภาคภูมิก่อนจะหันไปมองเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายอย่างโล่งใจ

ได้เห็นยอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้เติบโตขึ้นมากมาย มันก็ทำให้ตัวเขานั้นยอมพร้อมที่จะสละชีวิต!

เหล่าคนทั้งหลายนี้ต่างหากคืออนาคตที่แท้จริง

“ได้เห็นพวกเจ้าเติบโตรวดเร็วเช่นนี้บรรพกาลผู้นี้ก็โล่งใจ! บรรพกาลผู้นี้ตายไปมันไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตใดๆ แต่ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหลายมาวันนี้มันก็เพื่อจะปลุกเลือดของพวกเจ้าให้ตื่นขึ้นด้วยความตายนี้ การต่อต้านของเรานั้นมันย่อมจะต้องจบลงด้วยความตาย! วันนี้บรรพกาลผู้นี้จะขอไปก่อน วันหน้านั้นพวกเจ้าทั้งหลายก็คงสละชีวิตเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลังเถอะ!”

“พวกเจ้าจำไว้ให้ดี ตายนั้นมันง่าย คนที่อยู่ต่างหากที่ต้องแบกรับภาระและก้าวเดินต่อไป! ภาระบนบ่าของพวกเจ้านั้นมันหนักหนากว่าที่บรรพกาลผู้นี้แบกรับไว้มาก! ข้าหวังว่าจากวันนี้ไปพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะให้ได้มากกว่าเก่านับร้อยเท่าพันเท่า เพื่ออนาคตอันสดใสของหลากเผ่าพันธุ์เรา! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

คำพูดของเจียนหรูเฟิงนั้นมันหนักหน่วงกระแทกจิตใจของคนทั้งหลาย

เหล่ายอดอัจฉริยะนั้นต่างแทบไม่อาจหายใจได้

เจียนหรูเฟิงนั้นใช้คำพูดง่ายๆ นี้ปลุกใจของทุกผู้คน รวมไปถึงตัวเย่หยวน

ในเวลานี้เลือดของเขานั้นมันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม

เขานั้นคิดอยากอยู่กับคนทั้งหลายนี้แค่ไหน อยากช่วยพวกเขาต่อสู้สักเท่าใด!

เย่หยวนได้แต่คิด

เพียงแค่ว่าเขานั้นรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าความรู้สึกถูกดึงกลับของเขามันรุนแรงมากขึ้นในทุกวี่วัน

เขานั้นเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกอยู่ที่อีกฝั่งอย่างไม่อาจขัดขืน

“ขอรับ!”

เสียงร่ำร้องรับดังกลับมาอย่างหนักแน่น

เจียนหรูเฟิงหันไปมองที่เด็กน้อยข้างกายด้วยดวงตาที่เอ็นดู

“เขานี่มีนามว่าเจียนห่าวหรัน เป็นลูกคนเล็กของบรรพกาลผู้นี้ เขานั้นมีสายเลือกของบรรพกาลผู้นี้และหลังจากข้าตายไป เขานี้จะขึ้นมารับนามของข้าต่อเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้!” เจียนหรูเฟิงกล่าว

“เราขอสาบานจะปกป้องนายน้อยห่าวหรัน!” เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายกล่าวขึ้นแทบพร้อมกัน

แต่เจียนหรูเฟิงนั้นกลับส่ายหัวออกมา “คนตระกูลเจียนนี้ไม่มีคนขี้ขลาด! ห่าวหรัน แม้เจ้าจะยังเด็กแต่พ่อเจ้านี้ก็มีเรื่องราวต้องการให้เจ้าสานต่อ เจ้าจะทำได้หรือไม่?”

แม้ว่าเจียนห่าวหรันนั้นจะยังเด็กแต่ภายใต้การสั่งสอนของเจียนหรูเฟิง เขาจึงได้มีท่าทางเหมือนแม่ทัพใหญ่พร้อมแบกรับภาระ

ด้วยความที่เสียงของเขายังไม่แตกหนุ่มเขาจึงต้องกล่าวรับกลับมาด้วยเสียงของเด็กน้อย “ตระกูลเจียนเรานั้นนำพาชะตาของเผ่าทั้งหลายและย่อมจะต้องเป็นคนที่แบกรับความเจ็บปวดเป็นคนแรกและรับความสุขเป็นคนสุดท้าย! ชีวิตของข้านี้จะขอให้มันเพื่อหน้าที่จนกว่าจะหาไม่!”

เจียนหรูเฟิงหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆ สมเป็นลูกข้าจริงๆ!”

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แต่ตระกูลเจียนกลับยังเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ได้ แน่นอนว่าพวกเขานี้คือผู้กุมชะตาอย่างแท้จริง

แต่เจียนหรูเฟิงนั้นกลับไม่ได้คิดใช้งานมนุษย์อย่างไม่สนใจ พวกเขานั้นกลับกลายเป็นคนที่ช่วยเลี้ยงดูและปกป้องเผ่ามนุษย์แทน แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มันย่อมจะทำให้คนมากมายซึ้งจนน้ำตาไหล

เย่หยวนเองก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ เจียนห่าวหรันนั้นทำเช่นนี้และคนในตระกูลทั้งหมดเองก็ทำเช่นกัน

แม้จะผ่านไปสิบนับล้านๆ ปีเป้าหมายนี้มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

คนตระกูลเจียนนั้นช่างยิ่งใหญ่!

แต่จากนั้นสายตาของเจียนหรูเฟิงก็หันมามองเย่หยวนด้วยสายตาที่สั่นสะเทือน

เขานั้นไม่ได้เจอเย่หยวนมาพักใหญ่ๆ แต่เมื่อได้เห็นเขาอีกคราในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของเย่หยวนมันเปลี่ยนไปอย่างมาก

มันเหมือนกับว่าเย่หยวนที่ยืนอยู่ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่จริง

ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้เป็นคนของโลกนี้!

หรือว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้น… จะเป็นจริง?

แต่มันเกิดเรื่องบ้าบอใดๆ ขึ้นกันแน่?

“จี้ฉิงหยุนเจ้า… เจ้าจะช่วยอยู่ช่วยเหลือพาหลากเผ่าพันธุ์ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้หรือไม่?” เจียนหรูเฟิงถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ

เดิมทีแล้วเขาย่อมจะเชื่อมั่นในเย่หยวนมาก

หากมีเขาอยู่ด้วยแล้วเขาย่อมจะตายได้อย่างสงบ

แต่หากเย่หยวนไม่อยู่จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขานี้จะสำเร็จหรือไม่?

ทุกผู้คนต่างหันไปมองเย่หยวนเพื่อรอฟังคำตอบจากปากของเขา

………….