บทที่ 1296 ดื่มเลือดกินกระดูก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,296 ดื่มเลือดกินกระดูก

หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงระฆังเช่นกัน

มีข่าวสารถูกส่งมาผ่านสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของเขา

หลินเป่ยเฉินมีลำดับขึ้นต่อสู้เป็นคู่ที่สามสิบห้า

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อการต่อสู้สามสิบสี่คู่แรกจบลง เขาก็ต้องไปที่สะพานหินข้ามหุบเหวโหยหวนเพื่อเข้าร่วมการประลอง

ก่อนการต่อสู้ เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของตนเองเป็นใคร

นี่คือความยุติธรรม

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงนั่งชมการต่อสู้พร้อมกับเฉียนหลงและชิงเล่ยอยู่ในคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู

เขากดปุ่มบางอย่างที่อยู่บนสายรัดข้อมือ แล้วม่านพลังสีดำก็ถูกฉายออกมา

มันเป็นภาพการประลองคู่แรกบนสะพานหินข้ามหุบเหวโหยหวน

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้เห็นสะพานหินโบราณ

มันเป็นสะพานหินสีขาวเก่าแก่ที่เหมือนกับหลุดออกมาจากสารคดีของช่อง BBC หากใช้มาตราวัดในโลกยุคปัจจุบันก็ต้องอธิบายว่าสะพานหินแห่งนี้มีความกว้างประมาณห้าสิบเมตร มีความยาวร่วมหนึ่งพันเมตร ราวกั้นสะพานสูงสิบเมตร แต่เกินครึ่งได้พังถล่มชำรุดเสียหาย ตามจุดต่าง ๆ ของสะพานปรากฏเถาวัลย์ไม้เลื้อยขึ้นเขียวครึ้ม และยังสามารถมองเห็นร่องรอยของคมกระบี่จากอดีตกาลปรากฏอย่างชัดเจนอีกด้วย…

บุรุษหนุ่มร่างกายกำยำสวมใส่ชุดเกราะทองคำผู้หนึ่งค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากสะพานฝั่งตะวันตก

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง

บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพานตั่วชิง นักรบเทวะระดับสูงของเผ่าเทพตะวัน

ส่วนทางสะพานฝั่งตะวันออก บุรุษหนุ่มร่างสูงที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเห็นหน้ามาก่อนก็ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมา

บุรุษหนุ่มร่างสูงผู้นี้มีลักษณะเหมือนพวกคนเถื่อน ร่างกายกำยำ ผมสั้น สวมใส่ชุดเกราะหนังสัตว์ สวมใส่รองเท้าหนังสัตว์ มือทั้งสองข้างถือขวานคู่ขนาดใหญ่ พลังคุกคามแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่น

“คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ถูกจับตามอง เขามีนามว่าอาเหยียน มาจากลำดับชั้นพลเมือง ข้าน้อยได้ยินมาว่าเขาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ก็เพื่อหาเงินรักษาน้องสาว ผลงานที่ผ่านมาคือสามารถครองตำแหน่งอันดับที่เก้าจากการแข่งขันที่สุสานกระดูกน้ำแข็งเมื่อรอบแรกขอรับ”

เฉียนหลงกล่าวถึงที่มาที่ไปของบุรุษหนุ่มร่างใหญ่ผู้นี้

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าด้วยความประหลาดใจ

เฉียนหลงยิ้มกริ่ม “นายท่านลองเดาดูสิขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย

เฉียนหลงคนนี้ทุกอย่างดีหมด ยกเว้นเรื่องที่ชอบกวนประสาทเขานี่แหละ

“ข้าไม่เดา เจ้าบอกมาเถอะ”

หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด

“ข้าน้อยอยากให้นายท่านลองเดาดูก่อน…” เฉียนหลงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินยกมือขึ้น จึงได้รีบกล่าวละล่ำละลักว่า “กราบเรียนนายท่าน ไม่ใช่แค่เฉพาะข้อมูลของอาเหยียนเท่านั้น ความจริงข้าน้อยศึกษาข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันทุกคนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน ข้าน้อยก็พร้อมป้อนข้อมูลของเขาให้นายท่านได้รับทราบแล้ว”

หลินเป่ยเฉินรับฟังดังนั้นก็ต้องลดมือตนเองลง “ประเสริฐ ถือว่าเจ้ามีความรอบคอบนัก”

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นี้ การต่อสู้ในม่านพลังก็เริ่มต้นขึ้น

การต่อสู้ดำเนินไปได้ไม่นาน

บุรุษหนุ่มผู้มีนามว่าอาเหยียนย่อมไม่ใช่คู่ต่อกรของพานตั่วชิง เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น แขนของเขาก็หัก ขวานใหญ่หลุดออกจากมือ ตัวคนนอนจมอยู่ในกองเลือด

“อาเหมย อาเหมย อาเหมย…”

บุรุษหนุ่มร่างใหญ่ได้แต่ร่ำร้องชื่อนั้นออกมา ก่อนที่ศีรษะจะถูกพานตั่วชิงระเบิดกระจาย

ไม่มีทางฟื้นคืนชีวิตได้อีก

ไม่มีผู้ใดจะกลับไปดูแลอาเหมย ซึ่งเจ็บป่วยอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กอีกแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของชิงเล่ยก็มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า

ด้วยประสบการณ์ใช้ชีวิตอยู่กับบุตรสาวเพียงลำพังมาหลายปี ชิงเล่ยจึงนึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กสาวผู้มีนามว่าอาเหมยคนนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร

หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะของชิงเล่ยอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “หากท่านเป็นห่วงนาง พวกเราหาเวลาไปพบนางและช่วยรักษาโรคให้แก่นางดีหรือไม่?”

“ดีเลยเจ้าค่ะ”

ชิงเล่ยพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น

“พลังของพานตั่วชิงแข็งแกร่งมากเกินไป”

เฉียนหลงพูดเสียงเครียด “เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งประจำการแข่งขันครั้งนี้ ว่ากันว่าเขาเป็นลูกศิษย์สุดที่รักของเผ่าเทพตะวัน ข้าน้อยได้ยินข่าวมาว่าชาวเผ่าเทพตะวันพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พานตั่วชิงเป็นผู้ชนะการแข่งขันขอรับ”

“สามารถปล่อยข่าวลือเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “เป็นเช่นนี้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็กดดันกันหมดสิ หรือว่าเผ่าเทพตะวันมีเจตนาเล่นสกปรก?”

“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ แต่นายท่านคงต้องระมัดระวังตัวแล้วล่ะขอรับ”

เฉียนหลงตอบ

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว “พานตั่วชิงต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องระมัดระวังตัว ไม่ว่าเขาจะได้รับการหนุนหลังนอกกติกาจากเผ่าเทพตะวันจริงหรือไม่ แต่เขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับข้าอย่างแน่นอน”

“นายท่านช่างมีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่งขอรับ”

เฉียนหลงรีบกล่าวชมเชยออกมาทันที

หลังจากนั้น การต่อสู้คู่ที่สองก็เริ่มขึ้น

“อุ๊ย? นั่นมันท่านนักบวชเซียงเหยียนนี่นา”

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นภาพบนหน้าจอม่านพลัง เขาก็จดจำได้ทันทีว่าเจ้าของร่างระหงที่เดินออกมาจากสะพานฝั่งตะวันตกอย่างสง่างามนั้น คือนักบวชสาวเซียงเหยียนนั่นเอง

และคู่ต่อสู้ของนางก็คือชายฉกรรจ์ผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวเข้ม

“คนผู้นี้มีนามว่าหลี่หงอิง เป็นนักเวทจากเผ่าเทพเจ้าแห่งยาพิษ ว่ากันว่าเขาสามารถใช้ยาพิษได้ถึงหนึ่งพันสามหกสิบชนิด และหลี่หงอิงผู้นี้ก็เป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตอย่างยิ่ง ผลการแข่งขันที่น่าสนใจในรอบที่สองก็คือ เขาสามารถจบการแข่งขันเป็นอันดับที่สิบสามจากสนามแข่งขันภูเขาดาวมรณะขอรับ”

เฉียนหลงบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม

ส่วนนักบวชสาวเซียงเหยียนจบการแข่งขันรอบสองด้วยอันดับที่สามร้อยยี่สิบเจ็ดจากทะเลทรายทองคำ

ไม่ใช่เพราะนางแข็งแกร่งไม่มากพอ แต่เป็นเพราะหลินเป่ยเฉินทำลายสมดุลการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากมีคะแนนสูงส่งมากเกินไป นักบวชสาวเซียงเหยียนที่สมควรมีคะแนนติดหนึ่งในห้าอันดับแรกจึงต้องตกลงไปอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย

บนสะพานโบราณ

“โฮะ ๆๆๆ นักบวชสาวคนงามเช่นนี้กำลังจะต้องตายด้วยยาพิษของข้า… จงลิ้มรสความเจ็บปวดจากยาพิษเขี้ยวทมิฬเสียดี ๆ”

หลี่หงอิงระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้าย ก่อนจะโบกสะบัดมือวูบ

แล้วขวดหยกเขียวใบหนึ่งก็ถูกขว้างออกมาตกกระแทกพื้นแตกกระจาย ควันพิษสีเขียวตลบฟุ้ง ก่อนที่พวกมันจะรวมตัวกันกลายเป็นรูปทรงของงูตัวหนึ่งพุ่งเข้าหานักบวชสาวเซียงเหยียนด้วยความรวดเร็ว

“เผชิญคู่ต่อสู้ที่เป็นนักเวทใช้ยาพิษเช่นนี้ นับว่าน่าหนักใจแล้ว”

เฉียนหลงแสดงความคิดเห็น

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะเขากำลังนึกเป็นห่วงนักบวชเซียงเหยียนอยู่จริงๆ

นางเป็นคนดี

แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าหลินเป่ยเฉินวิตกกังวลมากเกินไปเอง

เพราะเสื้อคลุมสีดำทมิฬบนร่างของนักบวชสาวเซียงเหยียนระเบิดรัศมีสีแดงเข้มออกมา รัศมีสีแดงเหล่านั้นกลายเป็นเกราะกำบังควันพิษที่อีกฝ่ายใช้เล่นงาน และในเวลาเดียวกันนี้ นักบวชสาวเซียงเหยียนก็อัญเชิญหอกพิฆาตมารมาถือในมือและใช้หอกเล่มนั้นปักตรึงหลี่หงอิงติดกับสะพานหิน

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินได้พบเห็นสิ่งที่ตนเองมองข้ามมาโดยตลอด

เมื่อร่างของหลี่หงอิงล้มลงบนพื้นหิน ตัวของเขาก็ละลายหายไปบนสะพานหินนั้นทันที

ไม่ว่าเป็นผิวหนัง กระดูกหรืออวัยวะภายใน…

ต่างก็ถูกละลายไปหมดสิ้น

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็นึกขึ้นมาได้ว่าศพของบุรุษหนุ่มที่ชื่ออาเหยียนก็ดูเหมือนจะละลายหายไปเช่นกัน

หัวคิ้วของหลินเป่ยเฉินขมวดมุ่นด้วยความมึนงงสงสัย

เมื่อเฉียนหลงเห็นสีหน้าของนายท่าน เขาก็เลิกคิ้วสูงคล้ายกับต้องการจะบอกว่า ‘เรื่องแค่นี้ท่านไม่รู้ได้อย่างไร’ ก่อนรับหน้าที่อธิบายว่า “นี่คือเรื่องปกติขอรับ สะพานหินแห่งนี้เป็นสิ่งมีชีวิต มันคอยสะกดวิญญาณร้ายในหุบเหวมานานปี มันกินศพคนตายเป็นอาหาร ใช่แล้วขอรับ ที่มันต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการทำความสะอาดสนามประลองให้แก่พวกเรานั่นเอง”

สะพานโบราณเป็นสิ่งมีชีวิต?

เหลวไหลสิ้นดี

แต่ว่า… ยังจะมีอะไรเป็นไปไม่ได้ในดินแดนทวยเทพอีกหรือ?

การต่อสู้ดำเนินต่อไป

คู่ต่อสู้คู่ใหม่กำลังจะเริ่มเปิดฉากห้ำหั่นกันแล้ว

ผู้ที่เดินออกมาจากสะพานฝั่งตะวันตกเป็นบุรุษหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากสีดำ สวมเสื้อคลุมขนนกสีดำ ลักษณะชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผู้ที่เดินออกมาจากสะพานฝั่งตะวันออกมีร่างกายอวบอัดเย้ายวน สวมใส่ชุดประจำเผ่าจันทราขาว นางมีร่างกายไม่สูง ผิวสีน้ำตาลเข้มแสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ต้องกรำแดดกรำฝนมาตั้งแต่เด็ก ๆ และในมือของนางก็ถือไม้เท้ากระดูกขาวอยู่ด้ามหนึ่ง…

หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง

“เป็นนางไปได้อย่างไร?”

เขาอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ