บทที่ 1298 ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,298 ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุด

เมื่อรู้สึกว่าถูกยั่วโมโห ยักษ์ใหญ่ก็เร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามา

สะพานหินโบราณสั่นสะเทือน

ทุกตำแหน่งที่เท้าของเจ้ายักษ์สัมผัสลงไป พื้นสะพานหินที่เป็นเกล็ดน้ำแข็งก็จะปรากฏเปลวไฟลุกโชน

“ตายซะเถอะ…”

ยักษ์ใหญ่คำรามลั่นไม่ต่างจากฟ้าผ่า เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากปาก

บรรดาเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่อยู่รอบข้างถูกเปลวไฟเผาไหม้

สะพานหินโบราณปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสว่างเจิดจ้า

คลื่นทะเลไฟม้วนตลบตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน

“เฮ้อ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ “น่าเบื่อจริง ๆ”

นับตั้งแต่ที่เขาปลดผนึกพลังอัคคีเทวะได้สำเร็จ ก็ไม่มีเปลวไฟใดในโลกนี้ที่จะสามารถทำอันตรายหลินเป่ยเฉินได้อีก

เด็กหนุ่มยกมือโบกสะบัด

กระบี่เพลิงโลกันตร์พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา

หลินเป่ยเฉินใช้ออกมาด้วยกระบวนท่ากระบี่ที่หก

ร่างของเขาเคลื่อนไหวทะลุคลื่นทะเลไฟ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้ายักษ์ใหญ่แล้ว

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เบิกตาโต เงาของคมกระบี่สะท้อนประกายอยู่ในดวงตาของเขา

“เพลิงผลาญอสูร!”

ชายร่างยักษ์ระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับปลดปล่อยพลังเปลวไฟออกมา

หลินเป่ยเฉินไม่ได้หลบหลีกเปลวไฟนั้น

วูบ!

ร่างของทั้งสองฝ่ายลอยกระเด็นออกจากกัน

หลินเป่ยเฉินสามารถหมุนตัวตีลังกาทิ้งตัวกลับลงบนพื้นสะพานหินได้อย่างสวยงาม ร่างกายไร้รอยขีดข่วน

ไม่มีแผลไฟไหม้สักจุดเดียว

สะพานหินเกิดการสั่นสะเทือนอีกเล็กน้อย

เจ้ายักษ์ใหญ่เซถอยหลังไปหลายก้าว เปลวไฟร้อนแรงยังคงพุ่งออกมาจากปาก แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้อีก สุดท้ายร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์นั้นก็ล้มตึงกระแทกพื้นสะพานโครมใหญ่

หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว

เขากดปุ่มที่อยู่บนสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขัน

ม่านพลังประตูมิติถูกปลดปล่อยออกมา

หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าสู่ประตูมิติ

ร่างของเขาหายวับไปจากสะพานหินโบราณ

ในขณะที่ร่างของเจ้ายักษ์ค่อย ๆ ละลายหายไปบนสะพานหิน

เกล็ดน้ำแข็งหิมะที่ถูกเปลวไฟหลอมละลายไปเมื่อสักครู่นี้กลับมาปกคลุมทั่วสะพานหินอีกครั้งเช่นเดียวกับบรรดาเถาวัลย์ไม้เลื้อยเขียวครึ้ม

นับตั้งแต่ต้นจนจบ การต่อสู้ของเจี๋ยนเซียวเหยากินเวลาเพียงยี่สิบเอ็ดลมหายใจเท่านั้น

และคู่ต่อสู้ของเขาเป็นถึงนักรบเทวะขั้นห้า ซ้ำยังเป็นคนจากเผ่าเทพอัคคี ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าเจ็ดเทพสงครามอีกด้วย

สถิตินี้นับว่าน่าขนลุกอย่างยิ่ง

“พี่ใหญ่แข็งแกร่งเหลือเกิน”

ดวงตาของเจ้าอ้วนเป็นประกายด้วยความเทิดทูน

หญิงชราผมสีเทากล่าวว่า “เขามีพลังเปลวไฟที่ไม่เหมือนผู้ใด แม้แต่พลังเพลิงผลาญอสูรของเผ่าเทพอัคคีก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ เจ้ายักษ์ผู้นี้น่าเสียดายที่ต้องมาเป็นคู่ต่อสู้กับพี่ใหญ่ของเจ้า… หากรอบต่อไปเจ้าต้องเผชิญหน้ากับเจี๋ยนเซียวเหยา ไม่ทราบว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

“ลูกขอยอมแพ้ได้หรือไม่?”

เจ้าอ้วนกล่าวออกมาจากใจจริง

โป๊ก!

ไม้เท้าในมือมารดาพลันเขกลงบนศีรษะของเขาอย่างแรง

เจ้าอ้วนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกล่าวว่า “ลูกต้องใช้วิชากระบี่ขุนเขาเอาชนะพี่ใหญ่ให้ได้ใช่ไหมขอรับ?”

โป๊ก!

ไม้เท้าถูกเขกลงบนหัวเจ้าอ้วนอีกครั้ง

“วิชากระบี่ขุนเขาไม่สามารถเอาชนะเจี๋ยนเซียวเหยาได้”

หญิงชราผมสีเทากล่าว “โอกาสดีที่สุดของเจ้าคือใช้วิชากระบี่ถล่มฟ้า เมื่อโจมตีด้วยหกกระบี่ต่อเนื่อง เจี๋ยนเซียวเหยาก็จะต้องพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวแล้ว”

“นี่หรือคือความแข็งแกร่งของเจ้าปีศาจน้อย?”

คฤหาสน์ตระกูลฮัน

ฮันฉวินถอนหายใจออกมา

“แม้แต่ข้าก็เอาชนะเขาไม่ได้”

อันต้าหวงนึกทบทวนกระบวนท่าการต่อสู้ของเด็กหนุ่มและยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น ถึงแม้อันต้าหวงจะมีฝีมือการต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร แต่เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเจี๋ยนเซียวเหยา แผ่นหลังของนางก็ยังปรากฏเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

ฮันลั่วเซวี่ยค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินตรงไปที่ประตูมิติ

ถึงคราวของนางบ้างแล้ว

“ลั่วเซวี่ย ระวังตัวด้วยนะ”

หญิงชราผู้เป็นมารดากล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “รอดชีวิตกลับมาให้ได้ล่ะ”

“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

ฮันลั่วเซวี่ยหันกลับมาส่งยิ้มให้หญิงชรา

เพียงระยะเวลาไม่นาน อดีตเด็กสาวซอมซ่อผู้เป็นคนรับใช้ประจำโรงเตี๊ยมก็กลายเป็นเด็กสาวผู้มีสง่าราศีไม่ต่างไปจากเทพธิดาแห่งตระกูลผู้สูงศักดิ์

นางจะต้องกลับมา

เพราะว่านางยังไม่ได้มีโอกาสพบหน้าเขาผู้นั้นเลย

ฮันลั่วเซวี่ยแอบบอกกับตนเองอยู่ในใจ

“เฮอะ”

ในวิหารหลักของเผ่าเทพตะวัน พานตั่วชิงหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม

บุรุษหนุ่มผู้เป็นตัวแทนแสนโด่งดังของเผ่าเทพตะวันยังคงมีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยสง่าราศี ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็มักจะเป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ

“ลองให้มันมาเจอกับข้าสิ รับรองเลยว่ามันรับมือข้าได้ไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่าด้วยซ้ำ”

เขาแสดงความคิดเห็นต่อฝีมือของเจี๋ยนเซียวเหยา

บรรดาสมาชิกของเผ่าเทพตะวันที่อยู่โดยรอบพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“คนผู้นี้สังหารนักรบเทวะของพวกเราไปหลายคน ถือเป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด”

“ใช่แล้วขอรับ พวกเราต้องรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนาที่สุด เพื่อที่จะได้ปลดมันออกจากการแข่งขัน”

“มันไม่มีศักดิ์ศรีคู่ควรมาสู้กับคุณชายพานเลยสักนิด”

ใครบางคนหัวเราะออกมา

“นายท่านของพวกเราช่างแข็งแกร่งจริง ๆ”

ตามหอสุราชื่อดังทั่วเมืองเยี่ยเฉิง ต่างก็ฉายภาพการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินอยู่บนหน้าจอถ่ายทอดสด

ในขณะนี้ กวนรั่วเฟย ซือเกินตั๋งและลู่ปิงเหวิน รอบกายของพวกเขาห้อมล้อมด้วยสาวงาม ในมือสับเปลี่ยนจอกสุราตลอดเวลา หน้าตาบ่งบอกถึงความสุขอันล้นปรี่

จังหวะที่ชายร่างยักษ์ล้มลงไปบนพื้นสะพานหิน เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจก็ดังกึกก้องขึ้นมาจากห้องอาหารด้านล่าง

“ประเสริฐ”

“คุณชายเจี๋ยนแข็งแกร่งมากเหลือเกิน”

ลู่ปิงเหวินผู้มีสาวงามอยู่ในอ้อมแขนทั้งสองข้างฉีกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี “คืนนี้ใครก็ตามที่ให้กำลังใจคุณชายเจี๋ยน ถือว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเรา… ข้าจะเลี้ยงสุราพวกเขาเอง”

หญิงวัยกลางคนผู้ดูแลหอสุราซึ่งยืนรอรับคำสั่งอยู่หน้าห้องได้ยินดังนั้นก็ยกมือป้องปากตะโกนออกไปว่า “คืนนี้คุณชายลู่จะเลี้ยงสุราพวกท่านทุกคน”

พลัน เกิดเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังมาจากทุกทิศทาง

“น้องเล็ก วันนี้เจ้าจะเลี้ยงคนทั้งหอสุราจริงหรือ?”

ซือเกินตั๋งอดถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้

พวกเขาทั้งสามคนเคยแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายในทะเลทรายทองคำ แต่บัดนี้ พวกเขาต่างก็มีหลินเป่ยเฉินเป็นที่พึ่งพิง เพราะฉะนั้น ความขัดแย้งในอดีตจึงสลายหายไป สามบุรุษหนุ่มต้องหันมาพึ่งพากันและกันมากขึ้น และเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยที่ในกลุ่มของพวกเขานั้น ซือเกินตั๋งจะเป็นพี่ใหญ่ กวนรั่วเฟยเป็นพี่รอง ส่วนลู่ปิงเหวินเป็นน้องเล็ก

“ฮ่า ๆๆ คุณชายเจี๋ยนมอบหมายให้ข้าตามเก็บหนี้ให้เขาไม่ใช่หรือ? วันนี้ข้าเก็บหนี้มาได้มากมายทีเดียว เพียงพอที่จะเลี้ยงสุราให้คนทั้งหอแล้ว”

ลู่ปิงเหวินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แล้ว… คุณชายเจี๋ยนจะไม่คาดโทษเจ้าเอาหรือ?”

กวนรั่วเฟยถามออกมาด้วยความลังเล

“ฮ่า ๆๆ ท่านไม่เข้าใจเสียแล้ว ข้าจะเลี้ยงทุกคน ก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่คุณชายเจี๋ยนต่างหาก”

ลู่ปิงเหวินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความมั่นใจ “อีกอย่างนะ คุณชายเจี๋ยนเป็นยอดอัจฉริยะฝีมือดีมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แล้วเขาจะมาสนใจเงินทองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”

กวนรั่วเฟยกับซือเกินตั๋งขมวดคิ้วขบคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็คล้อยตามไปกับคำพูดของลู่ปิงเหวิน

จริงด้วยสินะ เงินทองเป็นของนอกกาย คุณชายเจี๋ยนจะมาสนใจได้อย่างไร?

ดังนั้น พวกเขาทั้งสามคนจึงร่ำสุรากันต่อไปด้วยความสนุกสนาน

ทันใดนั้น…

แว่วเสียงครางแปลกประหลาดดังออกมาจากห้องรับรองแขกระดับสูงที่อยู่ติดกัน

“ไหนบอกมาสิว่าใครแข็งแกร่งที่สุด?”

“โอ้วววววววววว”

“ฮ่า ๆๆ เป็นไงล่ะ เจอรสชาติแท่งเนื้อแห่งความยุติธรรมของข้าเข้าไป”

“อ๊าาาา ช้าก่อนเจ้าค่ะ นายท่าน… ช้าก่อน… ไม่มีใครสามารถสู้นายท่านได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ แม้แต่เจี๋ยนเซียวเหยาก็สู้ไม่ได้…”

เสียงร้องครางนั้นดังออกมาได้ยินชัดเจน

เพล้ง!

ลู่ปิงเหวินพลันเขวี้ยงจอกสุราในมือทิ้งด้วยความหัวเสีย “ใครอยู่ในห้องอาหารนั้น?”

หญิงวัยกลางคนผู้ดูแลหอสุรากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เป็น… เป็นคุณชายใหญ่จากตระกูลเผ่าเทพไม้เขียวเจ้าค่ะ”

“บังอาจนัก เผ่าเทพไม้เขียวมีดีอันใด? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยาของข้า?”

ลู่ปิงเหวินพูดด้วยความฉุนเฉียว “วันนี้ล่ะ ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้มันเอง อย่าว่าแต่สู้กับคุณชายเจี๋ยนเลย ต่อให้สู้กับสุนัขรับใช้ของคุณชายเจี๋ยนอย่างพวกเรา มันก็ยังเอาชนะไม่ได้… พวกเราไปกันเถอะ อิงเอ๋อร์ เราสองคนร่วมมือกัน เจ้าต้องส่งเสียงร้องให้ดังกว่านางผู้นั้น”

พูดจบ ลู่ปิงเหวินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉุดดึงหญิงสาวในอ้อมแขนผู้หนึ่งไปด้วย

คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู

ประตูมิติเปิดออกกว้าง

หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้นที่หน้าคฤหาสน์

“นายท่านช่างแข็งแกร่งสมกับที่เป็นนายท่านขอรับ ข้าน้อยเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”

เฉียนหลงรีบวิ่งออกมาเสนอหน้าประจบประแจงเป็นคนแรก

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองและกล่าวว่า “เจ้าเล่นใหญ่เกินไปแล้ว”

หัวใจเฉียนหลงพลันกระตุกวูบ เขารู้ทันทีว่าตนเองตั้งใจประจบประแจงเจี๋ยนเซียวเหยาอย่างชัดเจนมากเกินไป หลังจากนี้ คงต้องปรับระดับความประจบของตนเองให้เหมาะสมสักหน่อยแล้ว

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและกล่าวต่อ “ข้อเสียของเจ้าก็คือชอบพูดความจริงมากเกินไป”

หลังจากนั้น เขาก็ตบไหล่เฉียนหลง

“บุหรี่ของข้าอยู่ที่ใด?”

หลินเป่ยเฉินหันไปสบสายตาชิงเล่ย

หญิงสาวยิ้มหวาน ยื่นส่งบุหรี่ที่จุดแล้วสู่ปากของหลินเป่ยเฉิน “นี่คือบุหรี่ของท่านเจ้าค่ะ”