ไม่กี่วินาทีก่อนนั้นยูถันจื่อยังแสดงท่าทางได้เหนือล้ำราวกับว่าจะทำลายโลกหล้าลง
แต่ในวินาทีต่อมาร่างกายของเขากลับพุ่งถอยกลับหลัง
หลังจากที่คิดจะพุ่งเข้าโจมตี สุดท้ายร่างกายของเขานั้นกลับลงมาหยุดยืนที่เดิม
ว่านเจิ้นได้แต่ต้องเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อาจเชื่อ
เขานั้นย่อมรู้ว่าเย่หยวนเก่งกาจขึ้นแต่ก็ไม่นึกฝันว่าจะเก่งกาจได้ถึงขั้นนี้!
วินาทีก่อนหน้านี้เย่หยวนใช้เพียงแค่พลังของแนวคิดแห่งห้วงมิติผลักตัวยูถันจื่อให้กลับมายืนที่เดิมโดยไม่ต้องขยับนิ้ว!
“นี่… มันจะเก่งเกินไปหรือไม่?”
“ทำไมกำลังของเขาจึงยิ่งพัฒนาขึ้นหลังจากกลับมาจากกระแสมิติเวลาเล่า?”
“เดิมทีข้านั้นย่อมคิดว่าเขานั้นมีโอกาสรอดเพียงแค่เศษเสี้ยวแต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อกลับมาได้เขากลับทิ้งห่างเราไปไกลลิบ!”
…
ความตื่นตะลึงที่เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดารู้สึกนี้มันเหนือล้ำเกินคำบรรยายไปมาก
เดิมทีแล้วเย่หยวนนั้นยังจะต้องใช้ค่ายกลดาบนิพพานแท้ในการจัดการพวกเขาเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลาย
แต่เวลาสามร้อยปีผ่านไปนี้เย่หยวนกลับไม่ต้องขยับแม้แต่นิ้วมือก็สามารถกดหัวยูถันจื่อลงได้
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเสียยูถันจื่อนั้นก็ได้พัฒนาตัวเองไปอย่างมากล้นแทบไม่เป็นยูถันจื่อคนเดิม
“บ้าน่า! บ้าไปแล้ว! ทำไมแนวคิดแห่งห้วงมิติของเจ้ามันถึงได้พัฒนาไปปานนั้น? เจ้าได้ไปเจอเรื่องอะไรมาในกระแสมิติเวลากันแน่?” ยูถันจื่อนั้นกล่าวร้อง
การปะทะนี้มันทำให้เขาไม่อาจยอมรับ
แม้ว่าตัวเย่หยวนคนก่อนนั้นจะเก่งกาจปานใดมันก็ยังไม่เหนือล้ำความเข้าใจ
แต่เวลานี้เขาไม่อาจจะเข้าใจพลังของเย่หยวนได้แล้ว
เย่หยวนนั้นได้พัฒนาไปถึงจุดที่เขาไม่อาจจะเอื้อมถึง
เย่หยวนถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะตอบ “ชำระล้างวิญญาณ บรรเลงบทเพลงแห่งโศกนาฏกรรม แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายคงไม่เข้าใจมันหรอก”
คนทั้งหลายได้แต่หันมองหน้ากันอย่างไม่มีใครเข้าใจ
เป็นเวลาเดียวกันนั้นเองที่มีคลื่นพลังหลายสายพุ่งลงมาจากท้องฟ้ากว้าง
เมื่อจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้และพวกได้เห็นถึงความผิดปกติของมิติเวลาพวกเขาก็รีบมุ่งหน้ามาดูทันที
เมื่อเฉียนจี้ได้เห็นเย่หยวนอีกครั้งตัวเขาก็ต้องยิ้มกว้างขึ้นมา แต่ไม่นานใบหน้านั้นมันกลับเปลี่ยนสีไป
ข้างๆ ตัวเขานั้นมันก็มีซ่างเหิงที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน!
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าคลื่นพลังของเย่หยวนนี้… มันคล้ายคนผู้นั้นหรือไม่?” เฉียนจี้ร้องกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกแห้งผากไปทั้งลำคอ
คนผู้นั้น เขาย่อมจะไม่อาจลืมเลื่อนได้
เขานั้นไม่เคยจะเห็นถึงใบหน้าของคนผู้นั้นมาก่อนแต่คลื่นพลังนี้เขาย่อมจะไม่อาจลืมเลือน
มันเป็นตัวเขาผู้นั้นและพ่อของเขาที่ถูกเรียกขนานนามคู่กันว่าสองนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำ!
มันเป็นเขาคนนี้ที่สร้างยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองขึ้นมา!
ซ่างเหิงได้แต่อ้าปากค้างจ้องมอง “นี่มัน… มันเป็นไปไม่ได้! มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เขา… เขา…”
หากพูดถึงเวลาที่คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาแล้วมันย่อมจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของช่วงเวลาต่อสู้อันยาวนาน
แต่แค่ชั่วเสี้ยวนั้นมันกลับสร้างยุคสมัยใหม่ขึ้นมา!
ภาพของเย่หยวนนั้นมันดูเหมือนกับภาพซ้อนทับของคนผู้นั้นที่ราวก้าวผ่านห้วงมิติเวลามา
พวกเขาทั้งสองนี้… กลับเป็นคนเดียวกัน!
เวลานั้นเขาไม่อาจจะเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้ชัดเจน
แต่เวลานี้เขาย่อมจะเห็นมันได้แจ่มชัด
“เดี๋ยวนะ! นี่มัน… มันต้องเป็นภาพลวง! มีหรือที่เรื่องราวเช่นนั้นมันจะเกิดขึ้นได้จริง?” ซ่างเหิงกล่าวขึ้นมา
คนอื่นๆ นั้นไม่อาจจะเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมยอดคนทั้งสองผู้อยู่เหนือล้ำทุกสิ่งอย่างกลับกล่าวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แม้ว่าการกลับมาของเย่หยวนมันจะเป็นราวปาฏิหาริย์แต่มันก็คงไม่ถึงขั้นทำให้ท่านทั้งสองกลายเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
แม้แต่เต๋าบรรพกาลสายฟ้าเองก็ได้แต่ยืนงง
เขานั้นย่อมจะไม่เข้าใจว่ายอดคนอย่างซ่างเหิงนี้กำลังคิดถึงเรื่องอะไรจึงได้มีสีหน้าท่าทางเช่นนี้
มันเกิดอะไรขึ้นกันเย่หยวนกัน?
“ผู้อาวุโสซ่าง ท่านเป็นอะไรไป? เขาก็แค่เย่หยวนมิใช่หรือ?” เต๋าบรรพกาลสายฟ้าถามขึ้น
ซ่างเหิงสั่นสะท้านขึ้นมาเหมือนคนสะดุ้งตื่นจากฝัน “ใช่ๆ! เขาก็แค่เย่หยวนมิใช่หรือ? เข้าใจผิดแล้ว! ฮ่าๆๆ มันต้องเข้าใจผิดกันแล้ว! ใช่ไหมเล่าเจ้าหนูเฉียนจี้?”
เขานั้นหันไปมองที่เฉียนจี้ก่อนจะพบว่าสีหน้าของฝ่ายเฉียนจี้นั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
นั่นทำให้ตัวซ่างเหิงก็คิดหนักอีกครั้ง
เฉียนจี้หลับตาลงเหมือนพยายามนึกย้อนความทรงจำในวัยเด็ก
หลังจากผ่านไปได้นานสองนานเขาก็เปิดตาออกอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจยาว “ผู้อาวุโสซ่าง ข้าว่า… ข้าเข้าใจแล้ว!”
ซ่างเหิงตอบกลับมาด้วยใบหน้าเหยเก “เจ้าเข้าใจอะไร?”
เฉียนจี้ตอบกลับมา “คนผู้นั้นมาอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างฉับพลัน… มันเป็นอะไรที่ไม่อาจเข้าใจได้! เหมือนราวกับว่าเขานั้นปรากฏขึ้นมาจากอากาศและลอยหายไปกับอากาศ! ท่านยังจำที่เขาว่าได้หรือไม่? มันมิใช่ว่าไม่อยาก… แต่ไม่ได้! ทำไมถึงร่วมศึกไม่ได้เล่า? มันเพราะว่า… เขานั้นมิใช่คนของยุคสมัยนั้น! ท่านยังจำคำพูดก่อนตายของพ่อข้าได้หรือไม่? ความลับสวรรค์ที่เขาได้เห็นก่อนตายมันต้องเป็นเรื่องนี้แน่แล้ว! แล้วก็… ท่านยังจำคำพูดสุดท้ายที่เขาบอกกับท่านได้หรือไม่?”
ซ่างเหิงสั่นสะท้านไปทั้งกายดวงตาของเขาเบิกกว้างจ้องมองดูเย่หยวน
“ข้าหวังว่าเมื่อเราได้พบกันอีกเจ้าจะไม่ตื่นตกใจจนเกินไป!”
“เจ้ากับข้านั้นยังมีชะตาต้องกันในวันหน้า! ชะตาที่ผ่านห้วงมิติเวลา!”
แม้จะผ่านไปยาวนานสักแค่ไหนตัวซ่างเหิงก็ยังจำคำพูดของเขาคนนั้นได้ดี
เพราะเขาคนนั้นคือผู้ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไป!
“เจ้า… ท่านคือนักบุญฟ้าคราม?” ซ่างเหิงพยายามใช้กำลังที่เหลือถามเย่หยวนออกมา
ได้ยินคำว่านักบุญฟ้าครามนั้นตัวเต๋าบรรพกาลสายฟ้าก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่างมองดูเย่หยวนอย่างแปลกประหลาดพร้อมด้วยคลื่นสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ!
นามนี้มันถูกลืมเลือนหายไปในยุคสมัยนี้แล้ว
แต่ในยุคก่อนนั้นมันเป็นหนึ่งในนามของคนทั้งสองที่ทุกเผ่าพันธุ์ต่างเชิดชูบูชา!
เมื่อเขาเข้าไปในมิติลับสวรรค์นั้นตัวนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำนั้นต่างจากไปนานแสนนานแล้ว
แม้จะเป็นเช่นนั้นนามของพวกเขาก็ยังคงถูกผู้คนพูดถึงราวกับเป็นเทพเจ้า!
มันเป็นนักบุญมายาล้ำที่สามารถยื้อเวลาให้แก่หลากเผ่าพันธุ์ด้วยการปิดความลับสวรรค์
มันเป็นนักบุญฟ้าครามที่สร้างสิบแปดมหาค่ายกลสืบทอดขึ้นมาสร้างสุดยอดมหาบรรพกาลทั้งสิบแปด!
หากไม่มีคนทั้งหลายนั้นแล้วมันก็คงจะไม่มีมหาพิภพถงเทียนในวันนี้
หากไม่มีคนทั้งสองนี้มันก็คงไม่มีเต๋าบรรพกาลสายฟ้าอย่างเขา!
แต่มีหรือที่นามที่เจิดจ้าดั่งดวงตะวันนั้นมันจะกลับมาเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาได้?
เย่หยวนเงียบไปพักใหญ่ๆ เหมือนตัดสินใจอะไรอยู่ก่อนจะยิ้มกว้างตอบรับ “ซ่างเหิง ไม่ได้เจอกันเสียนาน! เจ้าทำได้ดีมากแล้ว!”
ตุบ!
ซ่างเหิงนั้นรู้สึกซาบซึ้งล้นใจจนน้ำตาเริ่มไหลริน สุดท้ายต้องคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนอย่างไม่อาจห้ามตัว
“ซ่างเหิงไร้ความสามารถไม่อาจจัดการเผ่าเทวาลงได้! ข้าทำให้นายท่านต้องผิดหวังแล้ว!” ยอดคนที่เป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าในจิตใจของผู้คนกลับร้องไห้ออกมาราวกับเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
เต๋าบรรพกาลสายฟ้า ว่านเจิ้น ยูถันจื่อ ผางเจิ้นและยอดฝีมือทั้งหลายที่ตามมานั้นต่างอ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจเรื่องราว
พวกเขาทั้งหลายนั้นได้รู้ถึงตัวตนของชายแก่คนนี้มาก่อนแล้วว่าเขานั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์!
คนผู้นี้คือคนที่เข้าไปสู้ในศึกตัดสินกับยอดฝีมือของเผ่าเทวาอย่างเทียนชิง!
เขานั้นสมควรได้รับยกย่องเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งเผ่าพันธุ์อย่างแท้จริง
แต่เขาคนนี้กลับคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนอย่างไม่ลังเล!
แม้ว่ามันจะมีคำอธิบายอย่างไรพวกเขาทั้งหลายก็ไม่อาจเข้าใจ
เพราะภาพตรงหน้านี้มันเกินกว่าที่จะรับ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเฉียนจี้กระตุกขึ้นมาแต่สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจคุกเข่าลงข้างๆ กายซ่างเหิง
“เจียนห่าวหรันขอคารวะท่านนักบุญฟ้าคราม!” จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กล่าว
ไม่ว่าเรื่องมันจะซับซ้อนสักเท่าใดแต่สุดท้ายตำแหน่งนักบุญฟ้าครามของเย่หยวนนั้นมันก็แน่นอนแล้ว!
นักบุญฟ้าครามนั้นคือตัวตนที่อยู่เคียงระดับของพ่อเขา!
เมื่อเขาได้เห็นนักบุญฟ้าคราม เขาย่อมต้องคุกเข่า!
…………….