หลายวันผ่านไป นอกแดนแห่งความตาย จำนวนผู้ฝึกปราณไม่เพียงไม่ลดแต่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปโดยพลการ
ล้วนกำลังรออยู่
เพราะต่างดูออกว่าเมืองนี้ลึกลับอย่างที่สุด บางทีศักดิ์สิทธิ์เหมือนเมืองเทพในตำนาน บางทีราวกับแดนผี สยดสยองน่ากลัว
ในนี้จะไม่มีวาสนาได้อย่างไร
แต่เพราะหลายวันที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เข้าไปในเมืองนี้ล้วนไม่มีใครรอดออกมา ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่ล้อมอยู่นอกเมืองต่างไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
ครืน!
ทันใดนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน ดึงดูดความสนใจของทุกคน
เมืองที่อยู่ห่างออกไป หมอกดำหนาทึบสลายตัว กลิ่นอายประหลาดที่เดิมปกคลุมอยู่ในเมืองก็เริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
“โอกาสมาแล้ว!”
หลายคนตาเป็นประกาย
“บุก!”
พลันมีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยทนไม่ไหว เปิดฉากเคลื่อนไหวพุ่งเข้าไปในเมือง
ทันใดนั้นสถานการณ์สับสนอลม่านขึ้นมา
ท่ามกลางความวุ่นวาย หลินสวินกับนกทมิฬกลับออกจากเมือง ย้อนกลับไปทางเดิมด้วยความรวดเร็ว
“หลายวันมานี้เจ้าไปเจออะไรมากันแน่”
ระหว่างทางนกทมิฬอดถามไม่ได้
พอหลินสวินนึกถึงศิษย์พี่เสวียนคงที่หลุดพ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ในใจก็รู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก กล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงหรอก”
นกทมิฬเห็นอารมณ์หลินสวินดูผิดปกติก็ไม่ถามอีก
เพียงแต่เพิ่งพุ่งไปถึงประตูเมืองก็มีคนร้องด้วยความตกใจ “เอ๊ะ คนกับนกคู่นี้เข้าไปในเมืองตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วนี่ พวกเขากลับยังไม่ตาย!”
ทันใดนั้นหลินสวินกับนกทมิฬพลันสังเกตเห็นว่ามีหลายสายตากวาดมองมาที่ตน แฝงความประหลาดใจเอาไว้
ทั้งสองไม่สนใจ มุ่งหน้าต่อไปยังนอกประตูเมือง
ในสายตาผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ กลับดูผิดปกติพอดู
คนอื่นๆ ต่างรีบร้อนพุ่งเข้าไปในเมือง หมายจะแสวงหาวาสนา แต่เจ้าสองคนนี้กลับทำตรงข้าม อยากจะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
“สหาย ในเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรงั้นหรือ อยู่เล่าให้พวกเราฟังก่อนดีหรือไม่”
ชายร่างผอมแห้งคนหนึ่งสายตาเป็นประกาย ขวางอยู่หน้าประตูเมือง
ปัง!
เสียงทึบหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ชายร่างผอมแห้งยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเงาร่างของหลินสวินชนอย่างแรงจนปลิวออกไป เลือดไหลออกจากจมูกปาก ร้องโอดครวญไม่หยุด
“รนหาที่ตายเอง!”
นกทมิฬหลุดขำ อารมณ์ของหลินสวินตอนนี้ผิดปกติอย่างมาก เจ้าหมอนี่ยังกล้าล่วงเกิน อยากตายนักหรือไง
“เร็ว ขวางสองคนนั้นเอาไว้ พวกเขาต้องได้ของดีที่ไม่สามารถบอกใครได้จากในเมืองแน่!”
ชายร่างผอมแห้งกัดฟัน คำรามอย่างเคียดแค้น
ความจริงเขาเองก็ไม่กล้ามั่นใจเรื่องนี้ ที่พูดเช่นนี้ก็แค่อยากยืมมือผู้อื่น หาเรื่องให้พวกหลินสวิน
ตามคาด ผู้ฝึกปราณหลายคนหวั่นไหวขึ้นมา
คนอื่นๆ ล้วนกำลังเข้าเมือง สองคนนี้กลับเร่งรีบจากไป ทั้งยังได้ยินคนอื่นบอกว่าสองคนนี้เข้าเมืองไปตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ได้รับผลประโยชน์
นี่ก็เลี่ยงไม่ให้เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานาได้ยากแล้ว!
“มีคนตามพวกเราอยู่”
หลังจากออกจากเมืองได้ไม่นาน นกทมิฬก็สังเกตเห็นเหล่าผู้ฝึกปราณซึ่งตามอยู่ในที่มืด เห็นได้ชัดว่าไม่หวังดี
“ไม่ต้องสนใจ เจ้ามานำทาง พวกเราไปหาร่างต้นของกู่ฝอจื่อกัน”
หลินสวินไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาเองก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ
นกทมิฬพยักหน้า
“สหาย ขอให้หยุดเท้าก่อน พวกข้าอยากรู้เรื่องราวในเมืองนั่นจากเจ้า โปรดชี้แนะด้วย”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
น้ำเสียงดูเกรงใจมาก แต่ที่มาพร้อมกับเสียงนั่น กลับเป็นตาข่ายสีแดงราวกับเพลิงลุกโหมร่วงจากฟ้ากะทันหัน จะคุมตัวหลินสวินและนกทมิฬไว้ด้านใน
คนที่ลงมือเป็นชายหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฐานะไม่ธรรมดา พลังต่อสู้ก็ไม่ธรรมดาอย่างมาก อีกทั้งข้างกายยังมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย
หลินสวินไม่ได้หันกลับไปและไม่ได้หนี มีเพียงบนร่างที่ปรากฏแสงมรรคชั้นหนึ่ง ราวกับคมดาบที่ดุดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง ตาข่ายสีแดงนั่นพลันถูกฉีกขาด ละอองแสงบินว่อน
แต่นี่ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มชุดคลุมดำเกรงกลัว กลับทำให้เขาหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาคราหนึ่ง “ดูไม่ออกว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทำลายสมบัติของข้าแล้วคิดจะหนีหรือ หยุดเดี๋ยวนี้!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็พุ่งโจมตีมาจากฟ้าแล้ว ในฝ่ามือกระบี่ยาวสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งฟันออกไป สาดปราณกระบี่ยาวพันจั้งออกมา เจิดจ้าราวกับสุริยันมรกต
หลินสวินหยุดเท้าทันที นัยน์ตาดำเย็นชาจนน่ากลัว
หมุนตัวยื่นมือไปคว้า
ปราณกระบี่เขียวมรกตนั่นราวกับอสรพิษที่โดนตีหัว แตกสลายในฝ่ามือหลินสวินทีละชุ่น เปลี่ยนเป็นละอองแสงสีเขียวสาดกระเซ็น
ชายหนุ่มชุดคลุมดำนัยน์ตาหดรัด หนาวสะท้านไปทั้งตัว เขารู้ความน่ากลัวของกระบี่นี้ของตนดี แต่ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายขยี้แหลกละเอียดอย่างง่ายดาย…
นี่เป็นการยืนยันว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายเหนือกว่าตนมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ถอย!
ชายหนุ่มชุดคลุมดำหันหลังหนีอย่างไม่ลังเลสักนิด
ก็เห็นหลินสวินสีหน้าเย็นเยียบ ดีดนิ้วหนึ่งเบาๆ ร่างของชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ห่างไปหลายพันจั้งระเบิดออกทันใด สลายกลายเป็นละอองเลือดเต็มฟ้า
เพียงดีดนิ้วก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง!
เหล่าผู้ติดตามของชายหนุ่มชุดคลุมดำอึ้งงันอยู่กับที่ ขวัญหนียกใหญ่ เพราะความละโมบเล็กน้อย นี่พวกเขาล่วงเกินบุคคลที่น่ากลัวเพียงใดกัน
“ใครไม่พอใจก็ตามมาได้เลย!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินกวาดมองรอบๆ ในมุมมืดผู้ฝึกปราณหลายคนที่เดิมทีติดตามมาหัวใจพลันแขวนลอยขึ้นมา สันหลังเย็นวาบ
เพิ่งจะสิ้นเสียง หลินสวินก็เดินทางอีกครั้ง
ภาพการสังหารชายหนุ่มชุดคลุมดำราวกับเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้ช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่มีใครกล้าตามมาอีก
ครืนโครม!
ไม่นานแดนแห่งความตายนั่น เมืองเก่าแก่ที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุดก็พลันพังทลาย หายไปกลางห้วงอากาศ
ทำให้เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจไม่รู้เท่าไหร่ในชั่วขณะเดียว
เดิมทีคิดว่าเป็นแดนแห่งวาสนาแห่งหนึ่ง ใครจะคิดว่ายังไม่รอพวกเขาได้สำรวจก็หายวับไปเสียแล้ว
หลินสวินไม่ได้หันกลับไป ในใจกลับยิ่งหดหู่ เขารู้ว่าชาตินี้เกรงว่าคงไม่ได้เจอศิษย์พี่เสวียนคงอีกแล้ว…
วู้ม!
ตอนนี้เองยานสำเภาสีฟ้าครามที่แปลกพิสดารลำหนึ่งราวกับเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ มาปรากฏตรงทางเบื้องหน้าหลินสวินกับนกทมิฬกะทันหัน
“ใช่พวกเขาหรือไม่”
บนยานสำเภาชายหนุ่มชุดคลุมเงินคนหนึ่งยืนตระหง่าน สีหน้าเรียบเฉยมองหลินสวินกับนกทมิฬ
ประกายศักดิ์สิทธิ์สีเงินโอบล้อมตัวเขา คิ้วกระบี่เนตรดารา ท่าทางโดดเด่น
ข้างๆ ชายชุดเทาเหงื่อท่วมตัวคนหนึ่งพูดอย่างติดๆ ขัดๆ “ใช่ พวกเขานั่นแหละ หลายวันก่อนข้าเห็นกับตาว่าพวกเขาเข้าไปในเมืองลึกลับนั่น”
ปัง!
ชายหนุ่มชุดคลุมเงินสะบัดแขนเสื้อ พลันขับไล่ชายชุดเทากระเด็นออกไปราวกับไล่แมลงวันตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เห็นดังนี้หลินสวินกับนกทมิฬต่างเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่พ้นมาขวางทางเพื่อช่วงชิงศุภโชค
นกทมิฬโกรธจนปวดช่องท้องไปหมด ตั้งแต่เข้าไปในเมือง นอกจากไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานจำนวนหนึ่งมันก็ไม่ได้วาสนาอะไรเลย!
แต่ตอนนี้กลับถูกหมายหัว มองว่าเป็นแกะอ้วน จะไม่ให้มันโกรธได้อย่างไร
“เจ้าหนู นี่เจ้าจะขวางทางดักปล้นหรือ”
นกทมิฬพูดอย่างเย็นเยียบ
“ปล้นหรือ ผิดแล้ว ไม่น่าฟังเกินไป ข้าแค่อยากให้ทั้งสองท่านมอบศุภโชคที่ได้มาจากในเมืองก็เท่านั้น ”
ชายหนุ่มชุดคลุมเงินสีหน้าเรียบเฉย รูปร่างผอมแห้ง ไม่ได้สูงใหญ่นัก แต่กลับมีความอาจหาญชวนกดดัน ไม่ใส่ใจพวกหลินสวินสักนิด
“ให้เจ้างั้นหรือ” นกทมิฬเดือดจัดจนกลายเป็นยิ้มแล้ว “เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน กล้ามาวางมาดต่อหน้านายท่านนกอย่างข้า”
“คุณชายของข้าคือเซวียจื้อเสียนผู้สืบทอดลัทธิไร้สวรรค์ เตือนพวกเจ้าว่าอย่าได้กำเริบเสิบสาน ระวังภัยจะออกมาจากปาก!”
บนยานสำเภาสีฟ้าคราม สาวงามในชุดหรูพูดเสียงเย็น สีหน้าเย่อหยิ่ง
คุณชายของพวกเขามีร่างแห่งวิญญาณการต่อสู้แต่กำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น ตอนนี้เป็นถึงราชันมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่แล้ว เพียงหนึ่งกระบี่ ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำลาย สังหารคนรุ่นเดียวกันมาไม่รู้เท่าไหร่
ตอนนี้เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในแดนเก้าบนแล้ว ผลการต่อสู้เจิดจรัส เบียดเข้าไปอยู่ในอันดับที่สามสิบเก้าของกระดานทองคำผู้กล้า!
กระดานทองคำผู้กล้า ใช่ว่าทุกคนจะสามารถฝากชื่อลงไปได้
โดยเฉพาะแดนเก้าบนในตอนนี้ คนที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยของกระดานทองคำผู้กล้า ก็มีพลังต่อสู้ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว!
พูดได้ว่า คุณชายของพวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มยักษ์ใหญ่อมตะเคราะห์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเก้าบนอย่างแน่นอน!
“ลัทธิไร้สวรรค์?”
หลินสวินขมวดคิ้ว นึกขึ้นได้ว่าเยวี่ยไฉ่เวยที่มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างดี ก็มาจากลัทธิไร้สวรรค์แห่งเขาวิญญาณมากเร้น
“กลัวตอนนี้ก็ยังไม่สายไป ขอเตือนพวกเจ้าให้รีบส่งวาสนามา บางทีคุณชายของข้าอาจจะเมตตา ให้อภัยพวกเจ้าสักครั้ง”
สาวงามคนนั้นพูดอย่างแฝงความย่ามใจและดูถูก
“น่าขัน ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าพวกเรากลัวเขา ยังบอกจะมาให้อภัยพวกเราอีก ปากดีจริงๆ ถือโอกาสตอนที่พวกเรายังไม่โกรธ รีบไสหัวไปซะ!”
สีหน้าของนกทมิฬแย่มาก
“พวกเจ้าคงรู้จักเยวี่ยไฉ่เวยสินะ ข้าเป็นสหายนาง เห็นแก่หน้านาง ข้าจะไม่ถือสาพวกเจ้า ถอยไปเดี๋ยวนี้!”
หลินสวินเดิมก็อารมณ์ดิ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกขวางและข่มขู่เช่นนี้ในใจจึงไม่พอใจอย่างมากแล้ว
หากไม่ใช่เพราะนึกถึงสหายเก่าอย่างเยวี่ยไฉ่เวย เขาคงลงมือไปตั้งนานแล้ว
“หืม? เจ้าบอกว่าเจ้ารู้จักเยวี่ยไฉ่เวยหรือ”
ทันใดนั้นเสียงต่ำลึกหนึ่งดังขึ้นในยานสำเภานั่น จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็เดินออกมา
คนผู้นี้บุคลิกโดดเด่น องอาจห้าวหาญ มีผมยาวสีเขียวอ่อน ในดวงตาทั้งคู่ปรากฏเปลวเพลิงเป็นกลุ่มๆ ลุกโชน น่ากลัวอย่างที่สุด
ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ ก็มีประกายเฉียบคมไม่เกรงกลัวใคร!
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ปรากฏตัว สาวงามคนนั้นรีบถอยไปอยู่ข้างๆ คำนับพูด “ศิษย์พี่หยาง ไม่เจตนาจะรบกวนท่านเลย”
แต่ศิษย์พี่หยางคนนี้กลับไม่ได้สนใจนาง ทันทีที่ปรากฏตัวสายตาก็มองไปทางหลินสวิน สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“เป็นเจ้า!” สีหน้าของเขาแฝงความเย็นเยียบ
ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็เลิกคิ้ว จำอีกฝ่ายได้ พลันพูดเสียงเรียบ “ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่อีก”
คนผู้นี้ก็คือหยางเทียนฉี!
ปีนั้นยามหลินสวินกับเยวี่ยไฉ่เวยข้ามแม่น้ำพรมแดนด้วยกัน เมื่อไปถึงเมืองเพลิงมรกตแห่งแดนชัยบูรพา เคยมีโอกาสได้เจอหยางเทียนฉีคนนี้ครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นหยางเทียนฉีปรากฏตัวพร้อมกับเฒ่าชรานามว่าคูจิ้ง มาเมืองเพลิงมรกตเพื่อจะรับเยวี่ยไฉ่เวยกลับสำนัก
ทว่าความประทับใจที่หลินสวินมีต่อคนผู้นี้ไม่ดีอย่างมาก
เขายังไม่ลืมว่าตอนนั้นคนผู้นี้เพียงเห็นว่าตนขัดหูขัดตาจึงลงมือกะทันหัน บอกว่าจะทดสอบความสามารถของตน แต่ความจริงกลับลงมือเหี้ยมโหด
ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะตาเฒ่าคูจิ้งนั่นขวางไว้ หลินสวินย่อมไม่ถือสาที่จะให้บทเรียนอันยากจะลืมไปทั้งชีวิตกับอีกฝ่าย!
ที่น่าขันคือ ตอนจะจากไปหยางเทียนฉียังเคยสื่อจิตเตือนเขา
คำพูดประโยคนั้น แฝงการข่มขู่อย่างไม่ปกปิดเลยสักนิด จนตอนนี้หลินสวินก็ยังจำได้
………….