ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งเจอหลินสวิน หยางเทียนฉีประหลาดใจมาก และดีใจมาก ราวกับศัตรูที่ไม่เจอกันมานานได้พบกันบนทางคับแคบนี้
เขาถึงขั้นตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็ต้องฆ่าหลินสวิน กำจัดหนามในใจนี่ซะ
แต่ตอนที่เห็นความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของเซวียจื้อเสียน กลับประหนึ่งถูกสาดน้ำเย็น ทำให้ความดีใจของเขาดับสลายไป แข็งทื่อไปทั้งตัว ถูกความตะลึงที่ไม่สามารถอธิบายได้แทนที่
ทั้งตัวดูแย่ไปหมดแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้วพลังต่อสู้ของเขาแม้ไม่ด้อยกว่าเซวียจื้อเสียน แต่ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าขนาดไหน
นี่จะสู้อย่างไร
แต่หยางเทียนฉีกลับจำต้องลงมือ เพราะเซวียจื้อเสียนจนตรอกแล้ว
ทว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หยางเทียนฉีตัดสินใจว่า พอช่วยเซวียจื้อเสียนได้ก็จะถอยทันที!
นี่เป็นการตัดสินใจที่น่าอายที่สุดอย่างหนึ่ง
ที่น่าเสียดายคือ หลินสวินไม่คิดจะให้โอกาสเขา
ตูม!
ปราณกระบี่ที่ราวกับห้อทะยานพุ่งเข้ามา ถูกหลินสวินสลายเพียงแค่ยกมือ และตัวเขาก็โฉบพุ่งไปทางหยางเทียนฉีตั้งนานแล้ว
ความเร็วนั้นทำให้หยางเทียนฉีตั้งตัวไม่ติด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน จำต้องต่อต้านอย่างสุดความสามารถ
จากนั้นในที่สุดหยางเทียนฉีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ถูกกำราบอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีที่แข็งแกร่งเพียงใด งัดสมบัติที่ร้ายกาจแค่ไหนออกมา ล้วนถูกหลินสวินสลายไปทั้งหมด กำราบอย่างแข็งกร้าว
ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับแมลงเม่าเขย่าต้นไม้!
ไม่สามารถอธิบายสภาวะจิตของหยางเทียนฉีได้แล้ว เขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นหลินสวินก็ดูถูกและต่อต้านอย่างที่สุดแล้ว
ต่อให้เมื่อครู่รู้ว่าไม่อาจเอาหลินสวินไปเทียบกับก่อนหน้านี้ได้แล้ว เขาก็ยังรักษาความเย่อหยิ่งและย่ามใจของยักษ์ใหญ่อมตะเคราะห์คนหนึ่งไว้ได้
แต่ตอนนี้ การดูถูก ต่อต้าน ความเย่อหยิ่ง ย่ามใจทั้งหมด ล้วนถูกทำลายบดขยี้และเหยียบย่ำอย่างรุนแรง!
สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียว ตื่นตะลึงเดือดดาลดวงตาถลน เผ้าผมยุ่งเหยิง เหมือนสัตว์ร้ายที่จนตรอก ไม่มีที่ถอย
ยังเหลือสภาพของยักษ์ใหญ่อมตะเคราะห์ซะที่ไหน
ตูม!
ปล่อยออกไปอีกหมัด หยางเทียนฉีกระอักเลือด ผมยาวสีเขียวอ่อนยุ่งเหยิง กล้ามเนื้อทั่วตัวล้วนกำลังสั่นระริกและกระตุก
เขาบาดเจ็บสาหัสแล้ว อย่าว่าแต่ช่วยเซวียจื้อเสียน ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด!
ห่างออกไป ทุกคนเงียบกริบ อึ้งงันอยู่กับที่ ในใจตกตะลึง ใครจะกล้าเชื่อว่ายักษ์ใหญ่อมตะเคราะห์สองคนที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์แดนเร้นอริยะ กลับทยอยถูกหลินสวินกำราบอย่างราบคาบ
และดูท่าทีของหลินสวิน นิ่งเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด!
“ขยะอีกคน!”
นกทมิฬวิจารณ์ ยิ่งรู้สึกเย่อหยิ่ง ดูถูกหยางเทียนฉีอย่างมาก เมื่อครู่นี้ยังอวดดีขนาดนั้น แต่ตอนนี้ถูกโจมตีจนแทบจะลุกเข่าลงพื้นแล้ว!
ในเวลาเดียวกันมันก็สังเกตเห็นอย่าฉับไวว่า หลายวันที่ไม่ได้เจอกันเพราะถูกขังอยู่ในแดนแห่งความตาย พลังต่อสู้ของหลินสวินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก
พลังปราณไม่ได้ยกระดับขึ้นแท้ๆ แต่พลังต่อสู้กับแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาช่วงใหญ่!
‘เจ้าหมอนี่ต้องได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยแน่’ นกทมิฬแอบพึมพำ
ปัง!
ไม่นานหยางเทียนฉีก็อาบเลือดทั้งตัว ถูกโจมตีร่วงลงจากชั้นเมฆ ร่างกระแทกลงพื้น หมอบกับพื้นเหมือนคางคกตัว น่าอนาถจนทนมองไม่ได้
บนยานสำเภาสีฟ้าคราม หญิงสาวงดงามคนนั้นอึ้งงัน ใบหน้าซีดเซียว ฟันกระทบกัยดังกึกๆ
หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา คงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเทพมารหลินในตอนนี้น่ากลัวเพียงใด!
นึกถึงเมื่อครู่นี้ พวกเขาขวางทางบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ หมายจะให้อีกฝ่ายมอบวาสนาในตัวแต่โดยดี นางพลันมีความรู้สึกพังทลายขึ้นมา
แต่นางยังไม่ได้พังทลาย เป็นหยางเทียนฉีที่พังทลายไปก่อน
เขาตัวสั่นลุกขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าหวั่นหวาดไม่มั่นคง “หลินสวินเห็นแก่ศิษย์น้องเยวี่ย ปล่อยพวกเราสักครั้งได้หรือไม่”
ร้องขอชีวิตแล้ว!
ห่างออกไปในใจทุกคนต่างหนาวเหน็บ
คำพูดร้องขอของยักษ์ใหญ่อมตะเคราะห์คนหนึ่ง ดูเหลือเชื่อมากมาย แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงยิ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของหลินสวิน
เซวียจื้อเสียนกับหยางเทียนฉีแข็งแกร่งไม่มากพอหรือ
ไม่!
เป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขา และแข็งแกร่งกว่าไม่ใช่เพียงเล็กน้อย!
นี่ถึงจะเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
“จบแล้ว”
หลินสวินนิ่งสงบมาก
เสียงพรูดดังขึ้นคราหนึ่ง ศีรษะของหยางเทียนฉีหลุดออกจากบ่า บุคคลพลิกฟ้าคนหนึ่งหล่นร่วงลงง่ายๆ เช่นนี้
ก่อนตายเขาเบิกตาโพลงราวกับยากจะเชื่อ
ที่น่าเสียดายคือหยางเทียนฉีไม่รู้ว่า หากในตอนแรกเขาเห็นแก่หน้าเยวี่ยไฉ่เวยสักหน่อย จุดจบคงไม่มีทางมาถึงขั้นนี้แน่
ทั้งหมดนี้พูดได้เพียงว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
บนพื้นเซวียจื้อเสียนราวกับได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรง พุ่งตัวขึ้นหนีห่างออกไป
ฟุ่บ!
ดาบหักโฉบออกไป เฉือนศีรษะของเขาลง พบจุดจบแบบเดียวกับหยางเทียนฉี
ในที่นั้นพลันเงียบเชียบอย่างที่สุด มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง
บนยานสำเภาสีฟ้าคราม สาวงามคนนั้นนิ่งอึ้งไปหมดแล้ว สีหน้าซีดเซียวแทบโปร่งใส
“โหดร้ายหรือ”
หลินสวินเงยสายตาขึ้นมอง
สาวงามสั่นไปทั้งตัว เสียงฟันกระทบดังกึกๆ ส่ายหน้าพูดว่า “ปะ… เป็นพวกเขาที่ขวางทางปล้นชิง หาเรื่องใส่ตัว”
หลินสวินเก็บสายตากลับไป และตอนนี้นกทมิฬได้จัดการลานรบเสร็จแล้ว เก็บทรัพย์หลังศึกทั้งหมดจนเกลี้ยงค่อยย้อนกลับไปอย่างปลื้มปริ่ม
“อย่าลืมเก็บศพให้พวกเขา”
หลินสวินพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วไม่มองสาวงามคนนั้นอีกแม้แต่แวบเดียว เดินทางต่อไปกับนกทมิฬ
มองส่งพวกเขาจนลับสายตาไป ผู้แข่งแกร่งที่ดูการต่อสู้อยู่ห่างออกไปต่างรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย ความหนาวสะท้านค่อยๆ หายไปทีละนิด
พอหันมองศพของหยางเทียนฉีและเซวียจื้อเสียนอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเวทนา ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน เหตุใดต้องมาล่วงเกินเทพมารหลินเล่า
นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวแล้วจะเป็นอะไร
ส่วนสาวงามคนนั้นได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตวิญญาณหลุดลอย
……
“นี่ของเจ้า”
ระหว่างทาง นกทมิฬใส่ทรัพย์หลังศึกส่วนหนึ่งเข้าไปในถุงก็บของแล้วโยนให้หลินสวิน
“เจ้าเหมือนไม่ได้ออกแรงกระมัง”
หลินสวินเหลือบสายตามองนกหัวขโมยนั่นแวบหนึ่ง
“ฮี่ๆ ผู้พบเห็นมีส่วนแบ่ง เจ้าไม่เข้าใจหลักการนี้หรือ”
นกทมิฬไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด ท่าทางไร้ยางอายแบบนั้นทำให้หลินสวินยังนับถือ
“หยุดพูดไร้สาระ รีบนำทางเถอะ”
หลินสวินตรวจดูถุงเก็บของ ด้านในมีโอสถเทพสองต้นและวัตถุดิบเทพที่มีค่ามากอีกจำนวนหนึ่ง เห็นได้ว่านกทมิฬไม่ได้ฮุบของน่าเกลียดขนาดนั้น
สามวันหลังจากนั้น
หลินสวินมาถึงพื้นที่ที่แปลกประหลาดอย่างที่สุดแห่งหนึ่งภายใต้การนำทางของนกทมิฬ
ตรงนี้เทือกเขาเรียงราย แต่ยอดเขาทุกลูกล้วนก่อตัวขึ้นจากกระดูกขาว ทอดสายตามองไปเต็มไปด้วยภูเขากระดูกขาวที่ทับซ้อนเป็นคลื่น พาให้หนังหัวชาวาบ
“ที่นี่ก็คือแดนธรรมสถูป”
นกทมิฬยื่นกรงเล็บออกมา ชี้ในจุดที่ห่างออกไป “ตรงกลางแดนธรรมสถูปมีสถูปเจดีย์ที่สร้างขึ้นจากกระดูก สูงสามพันฉื่อ เรียกว่าสถูปเจดีย์สามพัน”
“เมื่อก่อนข้าเคยมาครั้งหนึ่ง สถูปเจดีย์นั่นมหัศจรรย์อย่างมาก กำราบไอดุร้ายของพื้นที่ทั้งแถบอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นแค่กองกระดูกมากมายนั่นก็อาจจะกลายเป็นพื้นที่มหัตภัยแห่งหนึ่ง ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตประหลาดน่ากลัว”
“พูดแบบนี้ การดำรงอยู่ของเจดีย์นี้กลับเป็นเรื่องดีงั้นหรือ”
หลินสวินพูดอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ข้าสงสัยว่าสถูปเจดีย์สามพันนั่นสร้างโดยผู้มากสามารถที่พระธรรมเทียมฟ้าคนหนึ่ง เพื่อกำราบและปิดผนึกพลังของแดนมหัตภัยแห่งนี้”
นกทมิฬพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็หยิบกระทะดำกลางหลังตัวเองมาเขย่าเบาๆ ทีหนึ่ง ร่างแยกของกู่ฝอจื่อก็ถูกโยนลงพื้น
ใบหน้าของเขาฟกช้ำ เห็นได้ชัดว่ายังหมดสติอยู่
“ต่อจากนี้ทำตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ไหม”
นกทมิฬถาม
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า
ทันใดนั้นทั้งสองเดินห่างออกไปเงียบๆ หลินสวินใช้ไอซวนหนีบดบังเงาร่างของพวกเขา
ไม่นานร่างแยกของกู่ฝอจื่อค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้นเขาอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นสะดุ้งโหยง สายตามองไปรอบๆ
สีหน้าของเขาอึมครึมสับสน ครู่ใหญ่จึงกลับคืนสู่ความนิ่งสงบ
‘ลาหัวโล้นนี่นับว่านิ่งสงบนัก’ นกทมิฬแอบสื่อจิตพึมพำ
หลินสวินเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง จำต้องยอมรับว่าจิตใจของกู่ฝอจื่อแข็งแกร่งมั่นคงอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เคยเสียอาการ
“หลินสวิน อาตมารู้จุดประสงค์ของเจ้าแล้ว ไม่พ้นอยากให้อาตมานำทาง พาเจ้าไปพบร่างต้นของอาตมา”
ทันใดนั้นกู่ฝอจื่อก็ส่งเสียง ท่าทางเคร่งขรึม นิ่งสงบอย่างมาก “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากรนหาที่ตาย อาตมาก็จะสนับสนุน”
พูดจบเขาก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาที่รวมตัวจากกองกระดูกขาวซึ่งอยู่ห่างออกไป
เขาท่าทางใจเย็นราวกับเดาออกตั้งนานแล้วว่าหลินสวินหลบอยู่ในที่มืด
ทว่าหลินสวินย่อมไม่มีทางปรากฏตัวอย่างโง่เขลา เขากับนกทมิฬใช้ไอซวนหนีบดบังเงาร่าง ตามไปเงียบๆ
“เห็นหรือยัง นี่ก็คือแดนธรรมสถูป เป็นสถานที่ที่อริยพุทธท่านหนึ่งสร้างขึ้นเองกับมือในช่วงต้นของยุคบรรพกาล ดังคำกล่าวว่าช่วยชีวิตคนครั้งเดียวเท่ากับสร้างสถูปเจดีย์เจ็ดชั้น และอริยพุทธท่านนี้เคยฆ่าศัตรูภายนอกมานับไม่ถ้วน เพื่อต่อต้านการบุกรุกโจมตีจากอิทธิพลแปดดินแดน!”
ห่างออกไปกู่ฝอจื่อพูดเสียงเรียบ “ภูเขากระดูกที่เจ้าเห็นเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เหลือจากผู้แข็งแกร่งแปดดินแดน สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ กระดูกขาวเหล่านี้ตายไปก็ไม่พอให้เสียดาย”
เขาไม่เคยหันหลัง เดินหน้าต่อไป
ไม่นานปรากฏภูเขากระดูกขาวที่มีเอกลักษณ์ยิ่งลูกหนึ่ง ที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะภูเขานี้สร้างจากโครงกระดูกเดียว!
โครงกระดูกนี้ยิ่งใหญ่อย่างมาก สูงหลายพันจั้ง รูปร่างราวกับยักษ์โบราณ คุกเข่าอยู่ตรงนั้นประหนึ่งภูเขาที่ตั้งตระหง่าน
แม้ผ่านเวลามาเนิ่นนานก็ยังคงให้ความรู้สึกกดดันปะทะหน้าเข้ามา
“นี่คือศพของอริยะแห่งเผ่าเลือดวิญญาณยักษ์ ที่มาจาก ‘ดินแดนโบราณมารโลหิต’ ถูกพลังอันยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานสังหาร”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้ยินคำว่า ‘ดินแดนโบราณมารโลหิต’
ไม่นานเขาก็เจอกับภูเขาประหลาดอีกลูกหนึ่ง เกิดจากการขดตัวของโครงกระดูกที่ใหญ่และหนายาว ราวกับโครงกระดูกมังกรขด
“นี่คือสิ่งที่เหลือจากอริยะเผ่าจู๋หลงแห่ง ‘ดินแดนโบราณยอดหยิน’ ถูกอริยพุทธท่านนั้นใช้โคมเขียวดวงหนึ่งเผาตาย”
ร่างแยกของกู่ฝอจื่อคล้ายรู้ที่มาของสถานที่นี้อย่างละเอียด ราวกับเป็นบ้านตัวเอง
นี่ทำให้หลินสวินและนกทมิฬต่างประหลาดใจอยู่บ้าง
ต้องรู้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แดนมกุฎปรากฏเพียงไม่กี่ครั้ง และก็เป็นยุคปัจจุบันนี้ที่สถานที่ซึ่งถูกปิดผนึกอย่างแดนธรรมสถูปเพิ่งคลายการปิดผนึก ปรากฏตัวต่อโลก
กู่ฝอจื่อล่วงรู้ความลับมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร
“นี่คือกระดูกอริยะกระบี่จาก ‘ดินแดนโบราณต้าหลัว’ เจตกระบี่ของเขาเทียมฟ้า แข็งแกร่งผงาดกร้าว เพื่อสังหารคนผู้นี้ อริยะพุทธคนนั้นทำให้ตนบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่สามารถรักษาได้ สุดท้ายหลังจากสร้างสถูปเจดีย์สามพันเสร็จ อริยพุทธคนนี้ก็มรณภาพ จากไปโดยพลัน”
ร่างแยกของกู่ฝอจื่อยืนตระหง่าน มองไปยังโครงกระดูกมนุษย์ที่ยืนอยู่
กระดูกสันหลังยืดตรงราวกับกระบี่ กระดูกทุกส่วนล้วนประทับประกายเฉียบคมของเจตกระบี่
ผ่านการกัดกร่อนแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุด ก็ไม่เคยทำให้โครงของมันบิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย และไม่สามารถลบล้างปราณกระบี่รุนแรงบนตัวได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะนี่ คือกระดูกของอริยะกระบี่!
——