บทที่ 1303 นักบวชสาวผู้ทะเยอทะยาน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,303 นักบวชสาวผู้ทะเยอทะยาน

“มีแขกที่ได้รับเชิญทั้งหมดสี่สิบสองคนเจ้าค่ะ”

สาวรับใช้เฟิงหลิงตอบกลับมาด้วยจำนวนแขกที่แม่นยำ

“แขกที่จะได้รับเทียบเชิญต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างหรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

บัดนี้ เขาเห็นพานตั่วชิง เจียงรั่วไป๋และผู้เข้าแข่งขันที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ อยู่ในกลุ่มคนที่อยู่ห่างออกไป

ดูเหมือนผู้ที่จะได้รับเทียบเชิญคงต้องเป็นบรรดาคนที่ทำคะแนนได้ดีในการแข่งขันรอบที่ผ่าน ๆ มาสินะ

เฟิงหลิงตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “เรื่องนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้จัดงาน ไม่มีคุณสมบัติตายตัวหรอกเจ้าค่ะ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างใช้ความคิด

ถ้าอย่างนั้น การที่หลินเป่ยเฉินได้รับเทียบเชิญในครั้งนี้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าภาพผู้จัดงานเลี้ยงคงจับตามองเขามานานแล้วกระมัง?

“ได้ยินว่างานเลี้ยงเช่นนี้มักมีการแจกอาวุธวิเศษด้วยไม่ใช่หรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามเข้าประเด็นสำคัญ

เฟิงหลิงโค้งตัวประสานมือคำนับ ตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ ผู้เป็นเจ้าภาพก็มักจะนำของวิเศษจำนวนมากออกมามอบให้แก่แขกเหรื่อ…” พูดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็หยุดชะงักและยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้าน้อยมั่นใจว่าคืนนี้ นายท่านมีสิทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับของรางวัลเหล่านั้นอย่างแน่นอน”

เห็นได้ชัดว่าเฟิงหลิงถูกฝึกสอนมาเป็นอย่างดี ทุกคำพูดของนางจึงฟังดูจริงใจ ไร้การประจบประแจง

แต่หลินเป่ยเฉินกลับวางจอกสุราลงและกระซิบว่า “ผิดแล้ว”

“นายท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

เฟิงหลิงถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว “ไม่ใช่เพียงมีสิทธิ์เท่านั้น แต่ของรางวัลทุกชิ้นต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

เฟิงหลิงพลันคลี่ยิ้มหวาน กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อเนื่อง “ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง หันมาจ้องมองที่เจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่อยู่ข้างกาย ลูกสมุนทั้งสองของเขาในขณะนี้คิดเพียงอย่างเดียวคืออยากจะกระโดดขึ้นมารับประทานอาหารบนโต๊ะให้หมดเกลี้ยง ไม่สนใจหญิงสาวหน้าตางดงามผู้เป็นคนรับใช้ทั้งสองแม้แต่นิด เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“พวกท่านทั้งสองก็นั่งลงเถอะ ไม่ต้องยืนตลอดเวลาหรอก”

หลินเป่ยเฉินกล่าว

“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ”

เฟิงหลิงและหลิวซูนั่งลงข้างกายหลินเป่ยเฉิน

หลิวซูนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือติดกับเจ้าอ้วน

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน

บรรยากาศเช่นนี้ งานรื่นเริงที่มีหญิงสาวคอยชงสุราให้เช่นนี้… นี่มันไม่ต่างไปจากโลกมนุษย์ใบเก่าของเขาจริง ๆ

และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงโลกของเขาขึ้นมาจับใจ

หากมีตู้คาราโอเกะสักตู้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว

“ท่านพี่หลิวซูพอทราบบ้างหรือไม่ว่าของรางวัลในงานเลี้ยงมีอะไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม

เพราะนี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด

หลิวซูตอบว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ โดยเฉพาะของรางวัลชิ้นใหญ่ที่สุดนั้น ทางเจ้าภาพจะเป็นผู้ประกาศเองเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่พวกเขาสนทนากันอยู่นี้ ร่างของใครบางคนก็ได้มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าโต๊ะอาหาร

หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองและพบเห็นใบหน้าที่งดงามซึ่งเขาคุ้นเคยดี

เป็นนักบวชสาวเซียงเหยียน

คิดไม่ถึงเลยว่านางก็ได้รับเทียบเชิญด้วย

“ขอข้านั่งด้วยคนได้หรือไม่?”

นักบวชสาวเซียงเหยียนถามอย่างตรงไปตรงมา

“ย่อมได้ขอรับ”

หลินเป่ยเฉินให้ความเคารพต่อนักบวชสาวผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่านางจะไม่ได้มีความงดงามถึงขั้นเป็นยอดหญิงประจำเมือง แต่นักบวชสาวเซียงเหยียนก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้ผู้คนยามได้พบเจอแล้วก็ยากที่จะลืมเลือน

“ทำไมเจ้าถึงเอาแต่นั่งอยู่ที่นี่ตลอดเวลา?”

นักบวชเซียงเหยียนชี้มือไปยังกลุ่มคนที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน “ไม่ไปผูกมิตรกับพวกเขาสักหน่อยหรือ?”

“กลุ่มคนชั้นต่ำเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้ข้าไปสนทนาด้วยหรอกขอรับ”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งตอบกลับไปอย่างมีชั้นเชิง

“ปล่อยวางศักดิ์ศรีในใจเจ้าบ้างเถอะ แล้วเจ้าจะได้รับประโยชน์มากขึ้น”

นักบวชสาวเซียงเหยียนสั่นจอกสุราในมือ ส่งผลให้เครื่องดื่มสีฟ้าอ่อนที่อยู่ด้านในหกกระฉอกออกมาเล็กน้อย “สิ่งสำคัญสำหรับเจ้าในตอนนี้ คือการผูกมิตรกับสหายใหม่ ๆ ให้ได้เยอะที่สุด”

“จริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้ดีว่านักบวชสาวมีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูด จึงอดถามออกไปไม่ได้ว่า “เหตุไฉนข้าจึงสมควรทำเช่นนั้นด้วย?”

“เพราะต่อให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด ก็ยังจำเป็นต้องมีสมาชิกในครอบครัวและผู้ติดตาม”

นักบวชสาวเซียงเหยียนตอบ “หากเจ้าต้องการเรืองอำนาจในเมืองแห่งนี้ เจ้าไม่มีทางพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองได้เพียงอย่างเดียว”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองมองเห็นความทะเยอทะยานในแววตาของนักบวชสาวจากวิหารเทพพงไพรแห่งพื้นที่เขตสามได้อย่างชัดเจน

และนางก็คงคิดว่าเขามีความทะเยอทะยานนั้นเช่นกัน

“ทิวทัศน์บนยอดเขาเซินเหลียนสวยงามใช่หรือไม่?” นักบวชสาวเซียงเหยียนถามต่อ

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบว่า “ย่อมสวยงาม”

“อากาศบนยอดเขาแห่งนี้บริสุทธิ์หรือไม่?”

“ย่อมบริสุทธิ์”

“คลื่นพลังปราณเทวะที่อยู่ภายนอกอุดมสมบูรณ์ใช่หรือไม่?”

“ย่อมอุดมสมบูรณ์”

“ระหว่างทางขึ้นเขา ตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ เจ้ามองเห็นผู้คนกำลังกินดื่มกันอย่างเมามายหรือไม่?”

“ย่อมมองเห็น”

“หากเลือกได้ เจ้าอยากจะยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้และก้มหน้ามองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านล่าง หรือเจ้าอยากจะจมปลักอยู่ในพื้นโคลนที่เชิงเขา และดื่มสุราเมามายใช้ชีวิตไร้แก่นสารเฉกเช่นคนเหล่านั้น?”

“ข้าอยากจะเป็นผู้ที่ปีนขึ้นมายืนอยู่บนยอดเขานี้ได้สำเร็จ และเมื่อข้ามองเห็นผู้คนที่จมปลักอยู่ด้านล่าง ข้าก็จะช่วยเหลือพวกเขาให้ได้มีโอกาสขึ้นมายืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้เช่นกันขอรับ…” หลินเป่ยเฉินตอบออกมาโดยไม่ลังเล

นักบวชสาวเซียงเหยียนดูจะชะงักไปกับคำตอบของเด็กหนุ่มเล็กน้อย แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของนาง “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ถือเป็นผู้คนชนิดเดียวกันแล้ว”

หลินเป่ยเฉินไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ

นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวต่อ “ดังนั้น เจ้าต้องสร้างพันธมิตรให้มากกว่านี้ ข้าจะพาเจ้าไป…”

แต่คำพูดของนักบวชสาวเซียงเหยียนยังไม่ทันจบประโยคดี สายลมวูบหนึ่งก็หอบกลิ่นหอมพัดมาปะทะใบหน้าหลินเป่ยเฉิน รู้ตัวอีกที เด็กสาวผู้หนึ่งก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และดวงตาสดใสของนางก็กำลังจ้องมองดวงตาหลังหน้ากากบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินเขม็ง

“พี่ใบ้เจ้าคะ ขนาดใส่หน้ากาก ท่านยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย”

ฮันลั่วเซวี่ยยังคงเป็นเด็กสาวขี้อายอยู่เช่นเดิม แต่บัดนี้ นางพยายามรักษาท่าทีให้เยือกเย็นสุขุม และกล่าวคำพูดที่ฝึกซ้อมหลายร้อยรอบออกมาให้ฟังดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

หลินเป่ยเฉินรีบลุกขึ้นยืน พูดว่า “ยินดีด้วยนะ เสี่ยวเซวี่ย”

บัดนี้ อดีตบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมได้กลายเป็นนักเวทสาวฝีมือฉกาจและผลงานการสังหารคู่ต่อสู้บนสะพานหินโบราณนั้น ก็ทำให้ชื่อเสียงของนางเลื่องลือระบือไกล

เพียงเวลาชั่วข้ามคืน ฮันลั่วเซวี่ยก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองเยี่ยเฉิง

“ข้าให้ท่านอาลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว พี่ใบ้ ท่านยังไม่ได้แต่งงานสักหน่อย”

ฮันลั่วเซวี่ยกล่าวประโยคนี้ออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน

หลินเป่ยเฉินอยากจะยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัวนัก เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วแขกที่ไม่ได้รับเชิญประมาณเจ็ดคนก็เดินมาที่โต๊ะอาหารของเขาพอดี

นำหน้ามาโดยพานตั่วชิง บุรุษหนุ่มร่างกำยำผู้หล่อเหลาจากเผ่าเทพตะวัน

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ตามมาล้วนแต่เป็นแขกที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเต็มใจเป็นลูกสมุนของพานตั่วชิงเรียบร้อยแล้ว

“เจ้าคือเจี๋ยนเซียวเหยาสินะ?”

พานตั่วชิงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยามและรังเกียจเดียดฉันท์ “ผู้คนมากมายเรียกขานเจ้าเป็นปีศาจน้อย ฮ่า ๆๆ แต่เมื่อเจ้าได้มาพบกับข้า เจ้าก็เป็นได้เพียงวิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่งเท่านั้นเอง”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ “หวังว่าฝีมือของเจ้าคงมีดีมากกว่าฝีปากนะ”

น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่ต่างจากพูดคุยกับคนตาย

เพราะพานตั่วชิงผู้นี้มีชื่ออยู่ในบัญชีสังหารของหลินเป่ยเฉินมานานแล้ว

เพียงแต่จะตายช้าตายเร็วเท่านั้นเอง

พานตั่วชิงหัวเราะเยาะ ชำเลืองมองมาที่ฮันลั่วเซวี่ย พยักหน้าเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ข้ารู้จักเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าควรขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาเจ้าถึงเพียงนี้ สาวน้อย เจ้าควรมีสติหน่อยสิ เลิกเสียเวลามายุ่งเกี่ยวกับคนชั้นต่ำเช่นนี้ได้แล้ว เพราะมันคงมีชีวิตอยู่รอดได้อีกไม่นานนักหรอก”

ฮันลั่วเซวี่ยเงยหน้าจ้องมองพานตั่วชิงด้วยแววตาดุร้าย

นี่คือครั้งแรกที่มีผู้คนมาดูหมิ่นพี่ใบ้ต่อหน้านางและนางก็จดจำพานตั่วชิงอยู่ในฐานะของ ‘ศัตรู’ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องของข้า”

เด็กสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน “ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย”

พานตั่วชิงตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ “จะไม่ยุ่งเกี่ยวได้อย่างไร ก็ในเมื่อวันข้างหน้าข้าจะเป็นผู้ครอบครองเมืองเยี่ยเฉิง และข้าขอเลือกเจ้าเป็นนางสนมของข้า นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้หญิงของข้า ข้าหวังว่าเจ้าคงระมัดระวังคำพูดสักหน่อย อย่าได้ทำสิ่งที่เจ้าจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตเลย”