[ตะลึง! ผลวิจัยล่าสุดของ ILHCRC หักล้างความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน! เครื่องจักรนิรันดร์อาจมีความเป็นไปได้!]

เมื่อลู่โจวเห็นพาดหัวข่าวนี้ เขาก็แทบจะอาเจียนออกมา

สื่อมักจะใช้ข้อความประหลาดๆ ทุกชนิดเพื่อบิดเบือนคำพูดของเขา

ILHCRC หักล้างความสมมูลระหว่างมวล-พลังงานเมื่อไรกันเนี่ย? ทำไมตัวฉันผู้เป็นถึงประธานถึงไม่รู้เรื่องนี้?

มันยากเกินไปสำหรับพวกเขาใช่ไหมที่จะทำความเข้าใจและแค่กล่าวออกมาว่ามี ‘การขยายของมวลที่ผิดปกติในข้อมูลการทดลอง 3 ชุด’ ?

ถึงแม้พื้นฐานฟิสิกส์จะถูกล้มล้าง แต่เครื่องจักรนิรันดร์ก็ยังดูไม่น่ามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้เลย!

อย่างน้อยก็ในจักรวาลนี้!

“คนพวกนี้ไม่ได้คิดก่อนที่จะเผยแพร่บทความพวกนี้ออกไปหรือไงกัน?”

หลังจากอ่านดูไม่กี่บรรทัด ลู่โจวก็โยนหนังสือพิมพ์ลงในถังขยะข้างๆ เขาพร้อมกับทำสีหน้าขยะแขยง การใช้เวลาอ่านบทความนี้มากกว่าหนึ่งวินาทีทำให้เขาเสียเวลา

“อุตสาหกรรมสื่ออยู่ในช่วงตกต่ำ มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต้องดึงดูดผู้อ่านด้วยคลิกเบต…” วิทเทนเห็นลู่โจวโยนหนังสือพิมพ์ลงถังขยะจึงพูดขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้าง มีเบาะแสอะไรไหม?”

“อย่าคิดว่าผมเป็นเทพพยากรณ์ ผมก็รู้เท่าๆ กับคุณนั่นแหละ” ลู่โจวถอนหายใจแล้วจับเมาส์ เขาคลิกที่เบราว์เซอร์และล็อกอินเข้าไปในฟิสิกส์ฟอรั่ม

เหมือนอย่างที่เขาได้คาดไว้ แวดวงฟิสิกส์กำลังเป็นบ้าไปแล้ว

มีโพสต์เกือบ 12 โพสต์บนหน้าแรก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

โพสต์แรกเป็นของศาสตราจารย์จากมหาลัยสแตนฟอร์ด เขากล่าวว่าถ้านี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดจากเครื่องชนอนุภาคบนดวงจันทร์ เขาจะกินกางเกงในบ็อกเซอร์บรีฟให้ดู

ลู่โจวสงสัยเช่นกันว่าเครื่องชนอนุภาคมีปัญหาหรือเครื่องตรวจจับได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตามมันยากที่จะเชื่อว่าทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายในเวลาเดียวกัน

ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดก็ออกมาแสดงความคิดเห็นที่คล้ายกันเช่นกัน แต่เขาไม่ได้สงสัยว่าเกิดปัญหาขึ้นกับเครื่องชนอนุภาค เขาคิดว่าต้นเหตุของความผิดพลาดมาจากสถิติแทน เขาคิดว่า ILHCRC รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่และนักวิจัยได้ทำพลาดครั้งใหญ่ เขาคิดว่า ILHCRC ควรตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาวิเคราะห์ข้อมูล

ในทางกลับกันก็มีศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนหรือ arXiv ที่เริ่มทำการพิจารณาว่าเหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงเกิดขึ้น

ฟิสิกส์เชิงทฤษฎีเป็นสาขาที่ยาก

ไม่ใช่แค่ในแง่ของวิชาการ

แต่ในแง่ของชีวิตจริงด้วย

แม้แต่แวดวงคณิตศาสตร์ก็ได้รับผลกระทบ

ในแมทโอเวอร์โฟลวฟอรั่ม มีผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์มากมายที่กำลังเริ่มถกเถียงกันว่ามีเรื่องไหนที่เป็นจริงบ้างและมันจะนำมาซึ่งการรู้แจ้งทางคณิตศาสตร์ได้บ้างหรือไม่?

ลู่โจวไม่ค่อยเข้าใจว่าเรื่องนี้หมายความว่ายังไง

ถึงแม้จะไม่ได้มีการเก็บมวลพลังงานไว้อีกต่อไป แต่ 1+1=2 ก็ควรจะเป็นจริงเสมอ ไม่ใช่เหรอ…?

ใช่ แน่นอน

“ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่ ILHCRC ผมเคยทำงานที่เซิร์นอยู่ 30 ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้เจอกับเหตุการณ์แบบนี้” วิทเทนกำลังถือแก้วกาแฟอยู่ระหว่างที่เขาเดินมาที่โต๊ะทำงานของลู่โจว เขาครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “จากมุมมองของนักคณิตศาสตร์ คุณคิดว่ามวลที่เพิ่มมาน่าจะมาจากไหน?”

“ผมก็ไม่รู้ คณิตศาสตร์ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ใช้กับฟิสิกส์ แต่ผมรู้ว่ามวลและพลังงานสำคัญจะไม่สามารถปรากฏขึ้นได้ในอากาศ เว้นแต่ว่า…”

วิทเทนพูดว่า “เว้นแต่อะไร?”

“เว้นแต่ว่ามันจะมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของเวลา…” ลู่โจวอ้าปาก แต่เขาก็รีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ เดี๋ยวก่อน นั่นมันเป็นไปไม่ได้… นี่มันน่าขำยิ่งกว่าการเพิ่มขึ้นของมวลพลังงานเสียอีก”

เวลาไม่สามารถจะย้อนคืนกลับมาได้ นี่ก็เป็นพื้นฐานอีกหนึ่งอย่างที่ได้รับการยอมรับเหนือทฤษฎีบทของฟิสิกส์

ความโค้งของกาลอวกาศอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทิศทางที่กำลังเดินทางไปจะต้องคงที่

เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ซับซ้อน

ถ้าใครสักคนต้องการที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ อย่างแรกพวกเขาจะต้องเข้าใจว่า อย่างน้อยสำหรับฟิสิกส์กระแสหลัก เวลานั้นไม่ใช่ ‘สิ่งของ’ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับมิติของจักรวาล ถ้าจะพูดตามตรงก็คือ มันคือ ‘มาตราส่วน’ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับบิ๊กแบง ซึ่งชี้นำไปสู่จุดสิ้นสุดของจักรวาล

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะชี้ชัดลงไปว่าจะมีการค้นพบใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคตซึ่งสามารถให้คำจำกัดความใหม่ในเรื่องแนวคิดของเวลาได้

แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ลู่โจวก็ยังไม่เห็นสัญญาณเหล่านี้จากการค้นพบล่าสุดที่ ILHCRC แทนที่จะคิดว่าความผิดปกตินี้เป็นคอนเซปต์เรื่องเวลาอีกอันหนึ่ง มันน่าจะดีกว่าที่คิดว่านี่เป็นเหตุมาจากวอยด์…

แต่เดี๋ยวก่อน..

ทันใดนั้นลู่โจวก็กะพริบตา

วิทเทนสังเกตอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากสีหน้าของเขา เขารีบถามขึ้นว่า “คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?”

“ความเป็นไปได้… แต่มันอาจจะดูไม่สมจริงไปสักหน่อย”

วิทเทนยิ้มและพูดว่า “น่าขำยิ่งกว่าทฤษฎีสตริงอีกเหรอ?”

“เป็นไปได้…” ลู่โจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้านอกจาก n สตริงที่สร้างจักรวาลขึ้นมา ก็มี n+1 สตริง ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล และมันก็วิ่งผ่านจักรวาล มันเหมือนกับ… การวางกระจกสองบานเข้าหากัน หรือการสะท้อนภาพของทะเลสาบในทะเลสาบ”

ลู่โจวได้ยินเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาจากผู้สังเกตการณ์

หลังจากที่วิทเทนได้ยินคำพูดของลู่โจว เขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “แม้แต่คุณเองก็พูดอะไรแปลกออกมาได้เหมือนกันนะบางที”

“มีใครพูดอะไรแปลกๆ แบบนี้อีกบ้างล่ะ?”

“แนช… คุณน่าจะรู้จักเขาในฐานะอัจฉริยะที่ถูกทรมานด้วยปัญหาทางจิต ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผมชอบที่จะถกเถียงปัญหาคณิตศาสตร์กับเขา”

“น่าเสียดายที่เขาจากไปเสียแล้ว”

“เกี่ยวกับเรื่องที่คุณพูด… ผมไม่สามารถจะชี้ขาดถึงความเป็นไปได้ แต่เพราะเรายังไม่สามารถพิสูจน์มันได้ จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถกเถียงกันในเรื่องเช่นนี้”

หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง วิทเทนก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะมาถกเถียงเรื่องพวกนี้ที่เกิดก่อนบิ๊กแบง มันอาจจะเป็นแค่การคาดเดา นี่คือจุดเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์ เว้นแต่ว่าวันหนึ่งเราจะสามารถก้าวออกจากกล่องของจักรวาล หรือไม่เช่นนั้น พวกเราซึ่งติดอยู่ในกล่อง อาจจะไม่มีโอกาสได้ก้าวออกไปข้างนอก…”

ลู่โจวพยายามที่จะอธิบายคอนเซปต์นี้ เขามองมาที่วิทเทนและพูดว่า “วอยด์ ผมวางแผนไว้ว่าจะเรียกมันแบบนั้น”

“วอยด์งั้นเหรอ? นั่นเป็นชื่อที่น่าสนใจ” วิทเทนยักไหล่แล้วพูดว่า “แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันไม่มีเหตุผลเลย”

มันไม่มีเหตุผลจริงๆ น่ะเหรอ?

ลู่โจวใช้เวลาทั้งช่วงเช้าครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหานี้

นี่ไม่ใช่สัญชาตญาณทางวิทยาศาสตร์ของเขาอีกต่อไป

ชื่อของภารกิจบอกใบ้เขาเป็นนัยๆ แล้วว่าปัญหานั้นมาจากไหน ความขัดแย้งทั้งหมดชี้นำไปสู่การมีอยู่ของมิติพิเศษซึ่งอยู่เหนือมิติ n ที่ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่าบิ๊กแบง

อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเขียนแนวคิดเหล่านี้ลงในบทความวิจัย ผู้คนจะต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเห็นใจไอน์สไตน์

เห็นได้ชัดว่า ชีวิตของไอน์สไตน์ในช่วงหลังนั้นค่อนข้าง ‘เป็นทุกข์’ ความทุกข์ยากนี้ไม่ใช่เพียงเพราะมาจากความระแวงสงสัยทางการเมืองและการถูกกีดกัน แต่ยังมีสาเหตุมาจากความจริงที่ว่าฟิสิกส์อันเป็นที่รักของเขาทอดทิ้งเขาไป

ผู้คนเคารพเขา แต่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาในตัวเขาอีกต่อไป ชื่อเสียงจากอำนาจทั้งมวลที่เขาได้รับมาในตอนวัยหนุ่มนั้นค่อยๆ จางหายไป ไม่มีใครจะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เขาได้คำนวณไว้บนกระดานดำก่อนที่เขาจะเสียชีวิตและผู้คนก็หยุดที่จะพยายามดำดิ่งลงไปศึกษาผลงานช่วงหลังของเขาอย่างลึกซึ้ง พวกเขาเลิกสนใจเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ชายแก่ผู้วุ่นวายต้องการจะกล่าวออกมา

โลกได้ให้การยอมรับทฤษฎีฟิสิกส์ขั้นสูง แต่ถ้าทฤษฎีนั้นอยู่ในขอบเขตของหลักปรัชญา ก็คงไม่มีใครเชื่อทฤษฎีนั้น

บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะสามารถอ้างได้ว่าเขา ‘รู้ทุกอย่างมาตลอด’

เขาเป็นคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของเขาได้…

ลู่โจวรีบกินอาหารเที่ยง

แล้วเขาก็กลับมาที่โต๊ะทำงานของเขาแล้วเปิดคอมพิวเตอร์

ทันใดนั้น กล่องข้อความก็เด้งขึ้นมา

เสี่ยวไอ: [เจ้านาย คุณได้รับอีเมล (๑•̀ᄇ•́)و✧]

อีเมลใหม่?

ลู่โจวล็อกอินเข้าไปในอีเมลของเขาและเปิดอีเมลที่ยังไม่ได้อ่าน

เมื่อเขาเห็นชื่อคนส่ง เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง

ซาโตชิ นากาโมโตะ?

ลู่โจวทำสีหน้าแปลกๆ และเขาก็อ่านอีเมลต่อไป

อีเมลทั้งฉบับมีอยู่แค่เพียงหนึ่งประโยค

[ผมอยากคุยกับคุณ]

นี่คือวิธีการทักทายฉันใช่ไหม?

ลู่โจวยิ้มพลางส่ายหัว เขาพิมพ์ตอบไปว่า

[ขอโทษด้วยครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลา ไว้เรามาคุยเรื่องนี้กันตอนที่ผมจัดการธุระในมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว]

หลังจากลู่โจวคลิกปุ่ม ‘ส่ง’ เขาก็ปิดแท็บนั้นและมุ่งความสนใจไปที่แผ่นกระดาษร่างบนโต๊ะ

เขาจะไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้ ถ้าเขาปล่อยให้ความสนใจของเขาแตกแยกออกไป

ถ้าเขาต้องการจะหาร่องรอยใดๆ เขาต้องทำการคำนวณอย่างเคร่งครัด

แม้ว่าเขาจะไม่บรรลุผล…

เขาก็ต้องเตรียมตัวเท่าที่เขาจะสามารถทำได้สำหรับการทดลองครั้งต่อไป…

……………