บทที่ 634.2 คนหนุ่มที่นั่งลงบนตำแหน่งประธาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในห้องหลักยังมีผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่อารมณ์ไม่ค่อยต่างจากป๋ายซีอยู่อีกหลายคน แต่ละคนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม

และประโยคแรกที่เซี่ยจื้อเปิดปากพูดก็ทำให้ทุกคนกระวนกระวายนั่งไม่ติดที่ได้ทันที

“อาศัยความสามารถหาเงินมาได้คือเรื่องดี แต่หากไม่มีชีวิตเหลืออยู่ให้ใช้เงิน แบบนั้นก็ไม่ดีแล้ว”

ป๋ายซีข่มกลั้นอาการตกตะลึงไม่และความไม่สบอารมณ์ในใจ ถามเสียงหนักว่า “เซียนกระบี่เซี่ย เหตุใดถึงพูดแบบนี้?”

เซี่ยจื้อชำเลืองตามองเขา “ข้ามีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ขุดดินหาอาหารอยู่ล่างภูเขา ชีวิตนี้ทนเห็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้กำไรเป็นเงินก้อนใหญ่ไม่ได้มากที่สุด เหตุผลแค่นี้เพียงพอหรือไม่?”

ป๋ายซีอับจนคำพูดไปอย่างสิ้นเชิง

จวนพักอีกแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลคนหนึ่งของเกราะทองทวีปเข้าประตูมาก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานของห้องหลักเช่นกัน คือสตรีคนหนึ่งที่หลับตาทำสมาธิ สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง

รูปโฉมธรรมดาไม่สำคัญ สำคัญที่กระบี่ยาว ‘ฝูเหยา’ ที่นางสะพายไว้ด้านหลังเล่มนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเกราะทองทวีปและฝูเหยาทวีป และยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวในอดีตและคนในอดีตที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างถึงที่สุด กระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ตั้งชื่อตามทวีปแห่งหนึ่งได้ และเจ้าของกระบี่ดันไม่ใช่ผู้ฝึกตนของทวีปนั้น แล้วจะไม่มีเรื่องเล่าที่แปลกประหลาดเลยได้อย่างไร

เซียนกระบี่หญิงซ่งพิ่น

เคยมีอดีตนักกวีใหญ่คนหนึ่งของฝูเหยาทวีปมองเห็นซ่งพิ่นอยู่ไกลๆ ก็ไม่อาจลืมเลือนนางได้อีกเลยตลอดชีวิต คิดถึงซ่งพิ่นอยู่นานหลายปี ด้วยความรักที่ลุ่มหลงทำให้ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยแต่งภรรยา ลำพังเพียงแค่บทกวีแห่งความคิดถึงคะนึงหาที่แต่งเพื่อนางก็สามารถนำมาทำเป็นรวมเล่มได้แล้ว และหนึ่งในนั้นก็คือประโยค ‘ข้าไม่เคยรู้จักท่านแต่กลับฝันถึง ดวงตาที่มองสบมาใสสว่างดุจแสงเทียน’ ที่สืบทอดไปอย่างแพร่หลายที่สุด ไม่เพียงเท่านี้ ยังมี ‘บทขับร้องและบทกวี’ หลายบทที่จงใจแต่งขึ้นโดยอิงตามลักษณะการพูดจาของซ่งพิ่น ซึ่งอันที่จริงก็สร้างความประทับใจให้ผู้คนได้เป็นอย่างดี ทั้งทำให้คนขำขันและเวทนาเป็นเท่าทวี

ผู้ฝึกตนเฒ่าหลายคนของเรือข้ามฟากที่อยู่ในห้อง แต่ละคนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม เห็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากที่เพิ่งมาใหม่คนนั้นแล้ว สีหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด

พวกเขาไม่ได้มีอารมณ์สุนทรี หรือรู้สึกเศร้าระทมกัดกินใจอย่างนักกวีท่านนั้น รู้สึกเพียงว่าวันนี้มารวมตัวกันที่ภูเขาห้อยหัวอีกครั้ง ประตูเรือนชุนฟานแห่งนี้เข้ามาง่ายแต่คงออกไปได้ยากแล้ว

ซ่งพิ่นลืมตาขึ้น ยื่นสองนิ้วออกมาคีบจอกเหล้าที่วางไว้ข้างมือ กระดกดื่มจนหมดในรวดเดียว “มากันครบแล้วรึ? คนไม่น้อยเลย ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอวางอำนาจเลี้ยงเหล้าทุกท่านก่อน แล้วค่อยมาคุยธุระกัน”

เซียนกระบี่เลี้ยงเหล้าด้วยตัวเอง ทั้งยังดื่มสุราคารวะก่อน

แต่ดื่มสุราคารวะไปแล้วจะตามมาด้วยสุราลงทัณฑ์หรือไม่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้

ผูเหอเซียนกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือผู้เฒ่าผอมสูงใบหน้าแห้งตอบคนหนึ่ง เขาไม่ได้นั่งอยู่ในห้อง แต่กำลังชมหิมะอยู่หน้าประตู ผู้ฝึกตนเฒ่าหลายคนของเรือข้ามฟากจึงได้แต่มายืนอยู่ในระเบียง มองดูหิมะใหญ่เท่าขนห่านตามเขาไปด้วย

ผูเหอเคยเป็นเซียนกระบี่ที่มีนิสัยชั่วร้ายที่สุดของหลิวเสียทวีป ฆ่าคนอาศัยแค่อารมณ์ชื่นชอบหรือโกรธเคืองเท่านั้น ว่ากันว่าเพราะถามกระบี่ล้มเหลวอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงได้เก็บซ่อนตัวตนฝึกตนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่อ

ผูเหอรอให้ทุกคนมากันครบแล้วก็เอ่ยว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นคนทำการค้า ชอบขายไปขายมา ถ้าอย่างนั้นในเมื่อต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกันก็ขายหน้าให้ข้าสักหน่อย เป็นอย่างไร? ขายหรือไม่?” (ขายหน้าตา เป็นการแปลตรงตัว อีกความหมายหนึ่งก็คือการไว้หน้ากัน ให้เกียรติกัน)

ทุกคนหันมามองหน้ากันเอง

มีคนผู้หนึ่งปลุกความกล้า กุมหมัดเปิดปากถาม “ขอถามเซียนกระบี่ผูว่าท่านใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถามคำถามนี้แก่พวกผู้น้อย หรือใช้สถานะของเซียนกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปมาพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับพวกผู้น้อย?”

ผูเหอชำเลืองตามองผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ ‘ไม่ขายหน้าให้’ ผู้นี้แล้วเอ่ยว่า “ไสหัวออกไป นำความไปบอกหลี่สวิ้นบรรพบุรุษของพวกเจ้า วันหน้ารอให้ข้ากลับไปยังหลิวเสียทวีปเมื่อไหร่จะพาเพื่อนสนิทสองสามคนพกกระบี่ไปเป็นแขกที่ศาลบรรพจารย์บ้านเจ้า”

ไม่รอให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นเอ่ยอะไรเพิ่มเติม ผูเหอก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ปลายกระบี่ชี้ไปที่หว่างคิ้วของผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนนี้ ราวกับว่าต้องการกักขังอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย จากนั้นผูเหอก็ยื่นมือมากระชากคอของอีกฝ่ายแล้วโยนไปไว้บนถนนใหญ่นอกเรือนชุนฟานได้อย่างง่ายดาย ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า “เรือข้ามฟากลำนั้นของเจ้าชื่อว่า ‘มี่จุ้ย’ กระมัง มองดูแล้วไม่ค่อยแข็งแรงแน่นหนาสักเท่าไร ไม่สู้ข้าช่วยเปลี่ยนลำใหม่ให้เจ้าดีไหม? หลิงหรานผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ คนเดียวจะปกป้องได้หรือ?”

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่คิดว่าจะจากไปอย่างเจ็บแค้นผู้นั้นอึ้งค้างอยู่กับที่

เรือข้ามฟากลำนี้คือรากฐานแห่งชีวิตของสำนัก ขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่และแข็งแรงแน่นหนา ตั้งชื่อว่ามี่จุ้ยก็เพราะว่ามีสมบัติอาคมสะสมไว้เยอะมาก แล้วก็เพราะสาเหตุนี้ ทางสำนักถึงได้ตั้งใจเชื้อเชิญหลิงหรานผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งให้มาเฝ้าพิทักษ์อย่างลับๆ เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากตนแล้ว คนของเรือข้ามฟากบ้านตัวเองก็น่าจะไม่มีใครรู้สิถึงจะถูก เพราะถึงอย่างไรการลงมือที่มีน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ของเซียนกระบี่ผู้นั้นก็ลึกลับอำพรางอย่างถึงที่สุด

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดท่านนี้แข็งใจเดินกลับเข้ามาในประตูเรือนชุนฟานอีกครั้ง คิดว่าจะมาขอขมาผูเหอ

เขาไม่กลัวว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีการกระทำใด เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีคนตายแน่นอน ยิ่งไม่ถึงขั้นตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาโดยเฉพาะ แต่กลัวแค่ว่าผูเหอจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ กลายเป็นว่าเดือดร้อนให้ทั้งเขาและตลอดทั้งสำนักต้องอยู่ไม่สู้ตาย

สี่ผีใหญ่ตอแยยากที่สุดบนภูเขา ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด

ถ้าอย่างนั้นหากเซียนกระบี่คนหนึ่งคิดว่าจะทำตัวน่าไม่อาย ประเด็นสำคัญคือยังเป็นคนทวีปเดียวกัน หากผูกปมแค้นแน่นหนายากจะคลายขึ้นมา อีกฝ่ายจะตอแยด้วยยากแค่ไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ได้แล้ว

หน้าตาแบบนี้ จะขายหรือไม่ขาย?

คนหลายคนของเรือข้ามฝากทักษินาตยทวีปที่อยู่ในเรือนแห่งหนึ่งกำลังพูดคุยกับเซียนกระบี่หยวนชิงสู่คนบ้านเดียวกันที่มีสหายกว้างขวางอย่างชื่นบาน

หยวนชิงสู่ใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากผูเหอ เซี่ยจื้อและซ่งพิ่นอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่นำสุรามาดื่มกับทุกคนอย่างปรองดอง ยังพูดคุยหัวเราะแย้มยิ้มไม่หยุด บอกว่าตอนนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุด เพียงแต่ว่าเรื่องที่พูดถึงในช่วงสุดท้ายได้บอกว่า ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหกคนของเขาสามารถไปแขวนชื่อเป็นผู้ถวายงานอยู่ในถ้ำสถิตตระกูลเซียนของสหายทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ ส่วนธุระสำคัญที่ทำให้ทุกคนมาพบกันในวันนี้ ไม่ต้องรีบร้อน ดื่มเหล้าไปแล้ว จากนั้นไปที่ห้องโถงกลาง ย่อมได้คุยกันเอง

ทางฝั่งของธวัลทวีปคนค่อนข้างเยอะ เป็นรองแค่พ่อค้าเรือข้ามฟากของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเท่านั้น

เซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวา

เซี่ยซงฮวาคือเซียนกระบี่ที่ประหลาดอย่างมาก เกิดและเติบโตที่ธวัลทวีป แต่กลับมาร่ำรวยได้ดิบได้ดี ลุกผงาดขึ้นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แล้วก็ไม่เคยเห็นสถานะผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปเป็นที่ภาคภูมิใจ บอกว่าทวีปใหญ่ที่แม้แต่คำว่า ‘อุตร’ ยังรักษาไว้ไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรกับการที่ให้นางเซี่ยซงฮวาเห็นตัวเองเป็นคนของธวัลทวีป โดยทั่วไปแล้วคนที่นิสัยเจ้าอารมณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ เมื่อต้องมาอยู่ในธวัลทวีปที่การค้าเจริญรุ่งเรืองเป็นหนึ่งในใต้หล้า ก็ต้องถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของธวัลทวีปก็ไม่กลัวพวกผู้แข็งแกร่งที่อยู่เพียงลำพังมีกำลังน้อยเป็นที่สุด แต่มิอาจสกัดขวางเซี่ยซงฮวาที่ยามอยู่ในธวัลทวีปได้มีสหายหลายคนที่นิสัยแย่ๆ เข้ากันได้ดี ยกตัวอย่างเช่นคนหนึ่งในนั้นก็คือสตรีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ชอบไปล่าเผ่าปีศาจทางพื้นที่แถบเหนือที่หนาวเหน็บทุรกันดาร และฝ่ายหลังก็ดันสนิทสนมกับสกุลหลิวของธวัลทวีปพอดี

บวกกับที่แต่ไหนแต่ไรมาเซี่ยซงฮวาก็รังเกียจผู้ฝึกกระบี่ของธวัลทวีปที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับมีสีหน้าดีๆ ยิ้มแย้มให้พวกเด็กรุ่นหลังกลุ่มของเติ้งเหลียงได้เห็นอย่างที่หาได้ยาก

หลังจากรอให้คนเจ็ดแปดคนที่มาในวันนี้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว การเปิดปากพูดของเซี่ยซงฮวาก็มีพลังในการสยบขวัญเป็นอย่างยิ่ง “ข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ทยอยออกกระบี่สองครั้ง ถือว่าสะสมคุณความชอบทางการรบที่เทียบเท่าการสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินไปตนหนึ่ง เมื่อสร้างคุณความชอบสำเร็จก็ถึงเวลาที่ข้าจะถอนตัวแล้ว”

ผู้คนที่นั่งกันเต็มห้องโถงไม่ได้ส่งเสียงฮือฮา

แต่ในใจของทุกคนกลับตะลึงพรึงเพริดสุดขีด

ตอนนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด การส่งข่าวจึงมีขีดจำกัด แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไปสืบเสาะข่าวด้วยตัวเอง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกวันนี้แม้แต่คนเดินถนนของภูเขาห้อยหัวก็ยังรับรู้

นั่นก็คือการออกกระบี่ของเซี่ยซงฮวาได้ทำลายรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คุณความชอบทางการสู้รบนี้เท่ากับว่าได้สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินไปครึ่งตัว

และนี่ยังเป็นคุณความชอบส่วนบุคคลครั้งแรกของศึกโจมตีป้องกันแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครานี้

ว่ากันตามจริงแล้ว พ่อค้าของธวัลทวีป นอกจากความรู้สึกมีเกียรติที่จะมีหรือไม่มีก็ได้แล้ว สิ่งที่สายตาของพวกเขามองเห็นยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เป็นความคิดในใจของพวกเขาอย่างแท้จริงก็คือโอกาสที่จะทำการค้ากับที่นี่

หากใครสามารถเชิญให้เซี่ยซงฮวามาเป็นผู้ถวายงานของสำนักได้ นั่นต้องเป็นการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน!

เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดเชื้อเชิญนาง เซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวานิสัยเป็นอย่างไร ทุกคนล้วนรู้กันดี คำพูดนี้เอ่ยไปมีแต่จะเป็นการหาเรื่องซวยใส่ตัว

แล้วเหตุใดทุกคนถึงต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันถึงเพียงนี้?

นั่นก็เพราะว่าเซียนกระบี่อย่างเซี่ยซงฮวาที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลก รักอิสระเสรีไม่มีที่พำนักที่แน่นอนกลับเป็นฝ่ายปรากฎตัวเพื่อ ‘พูดคุยเรื่องการค้า’ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วจะมีเรื่องดีได้หรือ?

แล้วก็จริงดังคาด

“ข้าติดค้างน้ำใจคนคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นการเดินทางจากเหนือกลับธวัลทวีปครั้งนี้จึงจะเดินทางไปพร้อมพวกเจ้า”

คำพูดประโยคถัดมาของเซี่ยซงฮวาทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่อกสั่นขวัญกระเจิง กลัดกลุ้มสุดขีด “เขาบอกแล้วว่า ทำการค้าก็ไม่มีใครที่ไม่อยากกอบโกยกำไร นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้ เขาไม่ถือสา กลับกลายเป็นว่ายังสามารถให้อภัยทุกท่านได้ ใต้หล้านี้ไม่มีการค้าใดที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจแล้วจะได้กำไรกันไปทั้งสองฝ่าย จะโทษพวกเจ้าไม่ได้ ต้องโทษเขาถึงจะถูก ดังนั้นพวกเจ้าไม่เพียงแต่สามารถวางใจได้ ยังจะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีด้วย รอให้ไปพูดคุยธุระที่ห้องโถงกลางเสร็จเรียบร้อย ในบรรดาพวกเจ้า บ้านใครมีเงินน้อย ใครที่ยากจนที่สุด ใครต้องการทุ่มสุดชีวิตไม่กลัวตาย แต่ก็ต้องกอบโกยกำไรไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้จงได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นทางผ่าน อีกทั้งยังเป็นการชดใช้น้ำใจคืนให้แก่คนผู้นั้น ออกจากภูเขาห้อยหัวไป ข้าจะคุ้มกันเรือข้ามฟากลำนี้กลับไปยังธวัลทวีปด้วยตัวเอง”

เซี่ยซงฮวาที่ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่ไม้ไผ่กวาดตามองทุกคน พูดเสียงเย็นว่า “หากการคุ้มกันเกิดปัญหาขึ้น ก็ถือว่าข้าเซี่ยซงฮวามีความสามารถไม่มากพอ”

หลังจากพวกผู้ดูแลเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปทุกคนมารวมตัวกันครบแล้ว ก็มองเห็นลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา

ทุกคนพากันลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะอย่างเคร่งขรึม

ไม่ใช่ว่าเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแล้วจะคู่ควรแก่การปฏิบัติอย่างมีมารยาทที่ออกมาจากใจจริงเช่นนี้ แต่เป็นเพราะลี่ไฉ่กล้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แค่นี้เท่านั้น

ลี่ไฉ่ไม่ได้นั่งลง หลังจากคารวะกลับคืนแล้วก็หยิบกาเหล้าใบหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วขึ้นมา ประโยคแรกก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที “หานไหวจื่อไม่มีทางกลับไปแล้ว ข้าเองก็น่าจะเหมือนกัน พูดจบแล้ว ทุกคนดื่มเหล้าเถิด”

เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมฟ้าได้พบกับผู้ดูแลเรือข้ามฟากสองลำของนครมังกรเฒ่าก็ไม่พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน เพียงถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของแจกันสมบัติทวีป สุดท้ายเอ่ยประโยคปิดท้ายว่า “รอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน หากไม่ตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อนาคตจะต้องไปเยือนอุตรกุรุทวีปเพื่อถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสืออีกครั้งอย่างแน่นอน”

ผู้ฝึกตนเฒ่าสองคนที่เดิมทีก็สำรวมระมัดระวังตน เวลานี้ยิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่

บุรพแจกันสมบัติทวีปคือทวีปห่างไกลที่อาณาเขตเล็กที่สุด และเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป

ใครจะกล้าไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง?

ขอแค่เว่ยจิ้นฝ่าทะลุขอบเขตกลายเป็นเซียนเหริน ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพที่เดิมทีเป็นผู้นำของผู้ฝึกตนตระกูลเซียนทั้งทวีป และยังมีสำนักเจินจิ้งที่เปลี่ยนจากมังกรข้ามแม่น้ำมาเป็นงูเจ้าถิ่น ก็น่าจะกลับมาชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้งแล้วกระมัง?

อันที่จริงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เรือข้ามทวีปของนครมังกรเฒ่าที่ด้านการข่าวติดขัดไม่ราบรื่นที่สุดในบรรดาเก้าทวีปก็ยังได้ข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่น่าเชื่อถือมาว่า เว่ยจิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบได้ไปถึงคอขวดแล้ว

และเว่ยจิ้นในคืนนี้ก็ยิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้า เป็นเหตุให้ผู้ดูแลสองคนของนครมังกรเฒ่าที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม

เซียนกระบี่ใหญ่เว่ย ไม่ได้เป็นญาติไม่ได้เป็นสหาย ทั้งยังไม่เคยมีความแค้นต่อกัน เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับผู้ดูแลเล็กๆ อย่างพวกเราสองคนเพื่ออะไรกันเล่า?