ตอนที่ 1908 ใต้ยอดเขา

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1908 ใต้ยอดเขา 

 

เนื่องจากระยะเวลาการนัดหมายของเอี๋ยนเซียนลู่ใกล้จะมาถึงแล้ว หลิงฮันจึงรีบใช้เวลาที่เหลือ ไปกับการขัดเกลาทักษะปรุงยา

 

ในด้านของศาสตร์วรยทุธนั้น เขาบรรลุระดับสี่นิพพานสูงสุดแล้ว จึงไม่สามารถขัดเกลาพลังต่อได้

 

ธิดาโร๋วตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างมาก เดิมทีแล้วตัวของนางเป็นเพียงผู้สืบทอดของขุมอํานาจสามดาวเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแค่นางจะได้ก้าวเข้ามายังขุมอํานาจห้าดาว แต่นางยังได้เข้าร่วมงานรวมตัวที่ถูกจัดขึ้นโดยเอี๋ยนเซียนลู่ ที่แม้แต่ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั่วไปยังไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมอีกด้วย

 

“เอี๋ยนเซียนลู่จะเป็นอัจฉริยะแบบใดกัน?” หลิงฮันกับจักรพรรดินีสงสัยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามายังอาณาเขตของวิหารอนันต์รุ่งโรจน์ ผู้คนในที่แห่งนี้ก็เอาแต่พูดถึงตํานานของอี๋เซียนลู่ ราวกับว่าอีกฝ่ายคือตัวตนที่จะกลายเป็นราชานิรันดร์หย่งชางคนที่สอง

 

เรื่องที่เอี๋ยนเซียนลู่จะบรรลุระดับราชานิรันดร์ได้นั้นไม่เป็นที่กังขา แต่สิ่งที่ทุกคนต่างคิดไม่ตกก็คือ ในอนาคตเขาจะบรรลุได้ราชานิรันดร์ระดับใดกันแน่

 

ระดับห้า? ระดับเจ็ด? ระดับแปด? หรือ อาจจะระดับเก้า!

 

ที่ด้านล่างตีนเขาของยอดเขาสามตะวัน ผู้คนจํานวนหนึ่งมารวมตัวกัน แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ขึ้นไปยังภูเขา

 

นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้นั่นเอง

 

หลิงฮันลองดูแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจขึ้นไปยังภูเขาได้ เนื่องจากภูเขาลูกนี้มีแรงกดดันอันทรงพลังปกคลุมอยู่ ซึ่งต่อให้เป็นเพลิงเก้าสวรรค์ หรือวารีพลังหยินลี้ลับก็ไม่อาจต้านทานไหว

 

นั่นเพราะแรงกดดันที่ว่าไม่ใช่แรงกดดันทั่วไป แต่เป็นเจตจํานงยุทธของปรมาจารย์ที่ทรงพลัง

 

ขนาดอํานาจแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองก็ยังไร้ประโยชน์ ต่อให้เอี๋ยนเซียนลู่จะเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน หลิงฮันก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถย่างก้าวขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้ได้

 

บางที่ภูเขาลูกนี้อาจจะเป็นเหมือนกับเขตแดนลี้ลับ ที่ใช่ว่าจะผ่านไปได้ตลอด แต่ต้องรอเวลาเปิดออก

 

ซึ่งวันที่ว่าจะเป็นต้องวันนี้ที่ เอี๋ยนเซียนลู่กล่าวว่าเมื่อดวงดาราทั้งสามโคจรมาพบกันแน่นอน

 

ผู้คนเริ่มเดินทางมาถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนเลือกที่จะรออยู่เฉยๆ ในขณะที่บางคน

เลือกที่จะลองก้าวผ่านขึ้นไปยังยอดเขา แต่ก็ร่วงกลับลงมาอย่างหมดท่า

 

ส่วนทางด้านจักรพรรดินีและธิดาโร๋วนั้น พวกนางตกเป็นเป้าสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย

 

หลายคนระงับอารมณ์ของตนเองได้ ส่วนบางคนก็เข้ามาประชิดใกล้พวกนางอย่างไม่อ้อมค้อม

 

หลิงฮันขยับเดินขึ้นหน้ามาขวางคนที่ก้าวเข้ามา

 

“นี่ เจ้ากําลังขวางทางข้าอยู่นะ” คนที่ก้าวเดินเข้ามาคือ รุ่นเยาว์ร่างสูงผมสีฟ้าสีครามที่มีเขาอยู่บนหัวสองข้าง เขาทั้งสองข้างของเขาปลดปล่อยแสงเงาสีฟ้าเป็นระลอก

 

หลิงฮันขมวดคิ้ว “เจ้าจ้องมองพวกนางตาไม่กะพริบเช่นนั้น ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทหรืออย่างไร?”

 

“ฮ่าๆๆ!” รุ่นเยาว์ผมสีครามหัวเราะและหรี่ตามองหลิงฮัน “เจ้าตัวอัปลักษณ์ เจ้าไม่เคยได้ยินคําพูดที่ว่า สาวงามย่อมคู่ควรกับวีรบุรุษรีไง?”

 

“โอ้ งั้นเจ้าก็เป็นวีรบุรุษงั้นสิ?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส

“แน่นอน ข้า จู้เสี่ยเกอผู้นี้คืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!” รุ่นเยาว์ผมสีคราวยกนิ้วโป้งขี้นมาชี้ใส่หน้าอกของตนเองอย่างภาคภูมิใจ

 

“เหอะ ช่างปากกล้านัก!” ยังไม่ทันที่หลิงฮันจะได้ตอบโต้อะไร เสียงอันเย็นชาของใครบางคนก็เอ่ยแทรกเข้ามา

 

เหล่าคนที่ถูกเชิญชวนมาที่นี่ ใครบ้างไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะ ที่มีศักยภาพระดับราชาในหมู่ราชา หรืออาจจะถึงขั้นจักรพรรดิ?

 

“เจ้าเป็นใคร?” จู้เสี่ยเกอหันหน้าไปเอ่ยถามรุ่นเยาว์ที่เอ่ยแทรก ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

 

“หลิวเฟยซาน!” รุ่นเยาว์ที่เข้ามาแทรกกล่าวอย่างหยิ่งทะนง

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” จู้เสี่ยเกอเค้นเสียง

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้และจดจําไปชั่วชีวิต เพราะข้าจะเป็นคนที่ทุบตีเจ้าจนหมดสภาพ!” หลิวเฟยซานคํารามเสียงดังและผลักมือขวาออกไปด้านหน้า มือของเขาแปรสภาพกลายเป็นกรงเล็บทองคําขนาดใหญ่ พร้อมกับจู่โจมเข้าใส่จู้เสี่ยเกอ

 

“ฮ่าๆ เจ้าแส่หาความอัปยศให้ตัวเองแล้ว!” จู้เสี่ยเกอไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาสะบัดมือทั้งปลดปล่อยคลื่นมหาสมุทรขนาดยักษ์ออกมา

 

ตูม!

 

สุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสองเข้าปะทะกัน พวกเขาคือตัวตนระดับโลกียนิพพานชั้นแนวหน้า ต่อให้พลังบ่มเพาะจะยังไม่บรรลุเป็นห้านิพพาน แต่พลังต่อสู้ของทั้งสองก็น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

 

หลิงฮันตกตะลึง… มีคนมาแย่งหน้าที่ของเขาไปได้อย่างไร?

 

เขาจับคางครุ่นคิด หรือว่าเขาจะเป็นตัวนําพาหายนะจริงๆ? ไม่เช่นนั้นเพียงแค่เขาพูดออกไปไม่กี่คํา จะทําให้คนสองคนทําการปะทะกันอย่างรุนแรงได้อย่างไร?

 

หลิงฮันอยากเข้าร่วมปะทะด้วย ในหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ปรุงยา ทําให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากต่อสู้เป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รังเกียจที่ตนเองจะต้องร่วมมือกับคนอื่นเพื่อปะทะกับใครสักคน

 

หลิวเฟยซานกับจู้เสี่ยเกอเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด สุดยอดอัจฉริยะทั้งสองปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาตอบโต้อย่างเฉิดฉาย ดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า

 

จักรพรรดินีมองดูการต่อสู้ด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อยอยู่สักพักก่อนจะกล่าวออกมา “สองคน นั้นแข็งแกร่งมาก! หากข้าไม่ใช้ไฟลับที่มีอย่างมากก็คงเสมอกับพวกเขาเท่านั้น”

 

หลิงฮันพยักหน้า สองคนนี้แข็งแกร่งกว่าจ้าวชิงเฟิงมากพอสมควร สิ่งที่จักรพรรดินีกล่าวออกไปไม่ใช่การยกยอพวกเขา หรือดูหมิ่นตนเองแต่เป็นความจริง

 

จริงอยู่ที่จักรพรรดินีมีไพ่ลับอยู่ในมือ แต่คิดรึว่าทั้งสองจะไม่มี?

 

“แต่เจ้าน่าจะเอาชนะพวกเขาได้” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น