นี่เป็นการหยอกล้อ!

ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าชื่อหลิงเซียวจงใจยั่วแหย่หลินสวินตั้งแต่แรก เจตนาไม่ถึงกับโหดเหี้ยม แต่ชั่วร้ายอย่างแน่นอน

“จะต่อกรกับสวะอย่างเจ้า ทำไมต้องพักด้วย”

สายตาหลินสวินเย็นยะเยือก

สวะ!

เพียงคำเดียวทำให้ทั้งที่นั้นเงียบกริบ

ในแดนเก้าบนตอนนี้ ใครจะกล้าใช้คำแบบนี้มาบรรยายบุคคลที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้ากัน

นี่ก็เท่ากับกำลังเหยียดหยามชื่อหลิงเซียวอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิง!

ดังคาด ชั่วพริบตาชื่อหลิงเซียวก็สีหน้าเหี้ยมเกรียม ประกายเทพน่าหวาดหวั่นพลุ่งพล่านในดวงตา เอ่ยว่า “เจ้ากล้าหยามข้าหรือ”

“ผู้เหยียดหยามคนอื่นกลัวการเหยียดหยาม แค่ด่าเจ้าว่าสวะเจ้าก็ไม่พอใจหรือ”

หลินสวินวาจาราบเรียบ แต่ทำให้ทุกคนหวาดผวา

ตอนนี้พวกเขาถึงตระหนักได้ว่า แม้ชื่อหลิงเซียวอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวกร้ายกาจที่ทำตามใจตัวเอง ไม่เกรงกฎเกณฑ์สวรรค์ผู้หนึ่ง

แต่เช่นเดียวกัน เทพมารหลินก็ไม่ใช่พ่อพระ!

ว่ากันด้านความกล้าหาญ ทั้งแดนเก้าบนต่างเป็นที่โจษจัน!

“สหายยุทธ์ชื่อ เมื่อกี้ข้าเพิ่งเตือนเจ้าไปว่าอย่าทำเกินไป เจ้าดูสิ ตอนนี้กรรมตามสนองแล้ว”

หลิ่นเสวี่ยพลันเอ่ยปาก

ประโยคเดียวทำให้ใบหน้าของชื่อหลิงเซียวยิ่งอึมครึมขึ้นมา

“ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าเทพมารหลินมีความสามารถอย่างไรกันแน่ ถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้!”

ตูม!

ครู่ต่อมาชื่อหลิงเซียวกระโจนขึ้นไปในอากาศ ผมสีเพลิงทั้งศีรษะพลิ้วไหวบ้าคลั่ง เบื้องหลังเขาสะท้อนภาพโลกมลายอย่างหกนรกพังทลาย เทพผีจ่อมจมออกมา

นี่เป็นอานุภาพของวิชาหกนรกดับโลกา เป็นวิชาชั้นยอดอันดับต้นๆ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน!

ชั่วพริบตาฟ้าดินแถบนี้ส่งเสียงโครมคราม ขับเน้นให้พลานุภาพของชื่อหลิงเซียวน่ากริ่งเกรง มีอำนาจอหังการราวกับสามารถกลืนกินจักรวาลได้

สวบ!

และเป็นตอนนี้เอง หลินสวินเดินไปตามตำแหน่งดารา ทันทีที่โฉบพุ่งออกไปก็รวบนิ้วมือวาดออกโดยพลัน ดาบหักพุ่งโจมตีออกมา

กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้!

หากเคยเห็นภาพยามหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋ประลองกันก็จะพบอย่างชัดเจนว่า กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้คราวนี้มีอานุภาพเพิ่มพูนขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เกิดการแปรสภาพชัดเจน

ชื่อหลิงเซียวหวาดหวั่นในใจ กำลังจะต้านทานแต่กลับหนาวสะท้านเสียดกระดูกไปทั้งร่าง เหมือนถูกคมดาบจ่อคอหอย

เขาหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของกระบวนเฉือนนี้ ใช้พลังทั้งหมดโดยไม่ลังเล

“ลำนำมรณะหกนรก!”

เขาปล่อยหมัดออกไปพร้อมเสียงตะคอกดัง ปรากฏนรกหกขุม สำแดงอานุภาพหกประสาน กำราบจักรวาล ฟาดฟันออกไป

นรกทุกขุมต่างเผยให้เห็นทิวทัศน์ที่ต่างกันไป สำแดงอานุภาพต่างๆ ออกมาและรวมตัวเข้าด้วยกัน ดุจดั่งเบิกมหาทวารแห่งสังสารวัฏหกวิถี!

นี่เป็นวิชาไม้ตายขั้นสุดยอดของชื่อหลิงเซียวอย่างไม่ต้องสงสัย

ชั่วพริบตานี้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ความเย็นเยียบแล่นปราดทั่วร่าง วิชาชั้นนี้มีอานุภาพสะท้านจิตวิญญาณนัก

แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างก็คือ พลังกระบวนเฉือนนี้ของหลินสวินเหมือนทำลายล้างราบคาบทุกสิ่ง ทุกที่ที่กวาดผ่านล้วนทำลายนรกหกขุมนั้นอย่างจัง เกิดเสียงระเบิดสะเทือนจนหูแทบดับ

เสียงฟุ่บดังขึ้นหนึ่งครั้งท่ามกลางละอองแสงปลิวตลบ บนไหล่ของชื่อหลิงเซียวถูกฟันออกเป็นบาดแผลเลือดไหลรินแผลหนึ่ง

เขาเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก ลูบปากแผลเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าถึงกับทำข้าเจ็บได้หรือ”

ในที่นั้นเงียบสงัดหาใดเทียบ

ไม่เพียงแต่ทำให้บาดเจ็บ นี่เพิ่งเป็นการโจมตีเปิดศึกครั้งแรกก็ชิงขู่ขวัญก่อนแล้ว!

ไกลออกไปธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยพลันดวงตาหดเกร็ง สั่นสะท้านในใจ หลินสวินเพิ่งข้ามผ่านเคราะห์สวรรค์ กลิ่นอายทั้งกายยังอ่อนกำลัง

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับทำให้ชื่อหลิงเซียวบาดเจ็บด้วยกระบวนเฉือนเดียว!

เช่นนั้น พลังต่อสู้ของหลินสวินจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหน

“สวะก็คือสวะ ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาท้าทายข้ากัน”

หลินสวินพุ่งกระโจนท่ามกลางเสียงเย็นเยียบราวดาบ เห็นได้ชัดว่าทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยรอยแผล ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดูยับเยินนัก

แต่ยามออกโจมตีกลับแผ่กลิ่นอายกดข่มปะทะหน้า พาให้ผู้อื่นแทบหายใจไม่ออก!

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

ชื่อหลิงเซียวคำรามลั่น ผมชี้ตั้งปลิวสยายด้วยความเดือดดาล แสงมรรคเปลวเพลิงไร้สิ้นสุดตลบอบอวลบนร่างเขา ทำให้เขาดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่ดวงหนึ่ง

“คมดาบหกนรก!”

ก็เห็นนรกหกขุมผุดขึ้นกลางห้วงอากาศ คมดาบเปลวเพลิงราวกระแสธารโฉบออกมา ถึงกับแปรสภาพเป็นกระบวนดาบขนาดใหญ่กระบวนหนึ่ง เกิดปรากฏการณ์มากมายหลากหลาย ความโชติช่วงของคมประกายสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ผู้ฝึกปราณมากมายต่างพากันหลบหนีด้วยความตื่นตะลึง หนังศีรษะชาหนึบ

หลินสวินควบคุมดาบหักเข้าประลองกับเขาด้วยสีหน้าเฉยชา

ตูม!

ทั้งสองปะทะกัน ทำให้ฟ้าดินแถบนี้เหมือนถูกตีระเบิด จักรวาลแปรผัน ห้วงอากาศยุ่งเหยิง เกิดกลิ่นอายโกลาหลระส่ำระสายไปทั่ว

บริเวณที่กระแสปั่นป่วนยิ่งใหญ่นั้นม้วนตลบ ภูเขาใหญ่ที่ก่อขึ้นจากกระดูกขาวลูกแล้วลูกเล่าต่างพังทลาย แปรสภาพเป็นฝุ่นละอองปลิวว่อน

นี่ เป็นการประลองไร้เทียมทานของผู้อยู่ในระดับนายเหนือหัวครั้งหนึ่ง

แต่ที่ทำให้ทุกคนต่างหวาดผวาก็คือ เพียงชั่วพริบตาชื่อหลิงเซียวก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ถูกดาบหักฟันจนตัวเขากระเด็นออกไป เลือดกบปากและจมูก

สาเหตุที่ร่างกายสมบูรณ์ไม่สึกหรอ เป็นเพราะเขาสวมเกราะศึกชั้นหนึ่งไว้บนตัว ช่วยเขาสลายอานุภาพของกระบวนเฉือนนี้ไปได้

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้เขาบาดเจ็บภายในดังเดิม

“ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะเจ้าสวะ เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ร้องตะโกนปาวๆ หรือ”

เสียงหลินสวินยิ่งเย็นชาเหี้ยมเกรียม

ตอนข้ามด่านเคราะห์ ที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือถูกการรบกวนจากโลกภายนอก เขากับก็ชื่อหลิงเซียวไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เจ้าหมอนี่กลับกระโดดโลดเต้นรุนแรง มาก่อกวนตนไม่ว่างเว้นเสียได้

นี่ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ อย่างการหาเรื่องหรือท้าทายแล้ว!

ดังนั้นตอนลงมือหลินสวินจึงไม่เกรงใจสักนิด

เมื่อถูกเหยียดหยามว่าเป็นสวะอยู่ทุกคำ ชื่อหลิงเซียวก็โมโหจนแทบกระอักเลือด ตั้งแต่เขาปรากฏตัวในโลก ตลอดเส้นทางนี้ทะยานขึ้นสูงด้วยการเหยียบย่ำลงบนซากศพของเหล่าผู้กล้า กลายเป็นผู้ที่ทำให้ทุกคนพูดถึงแล้วหน้าก็เปลี่ยนสีคนหนึ่ง ไม่เคยถูกใครเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน!

“ฆ่า!”

ชื่อหลิงเซียวคำรามดาลเดือด ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์แล้ว

ปึง!

แต่ไม่นานนักเขาก็ถูกตีพ่ายอีกครั้งหนึ่ง ปากก็ถูกหลินสวินต่อยจนแตกยับ ฟันร่วงลงมาไม่รู้กี่ซี่ บวมแดงไปครึ่งหน้า

ชั่วพริบตานี้ทุกคนต่างนึกถึงประโยคที่หลินสวินพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะดึงลิ้นของชื่อหลิงเซียวแล้วตบปากให้เละ!

ด้านธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีกแล้ว

นางดูออกแล้วว่าด้านพลังต่อสู้ชื่อหลิงเซียวด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้สักนิด

อีกทั้งพอเวลาเคลื่อนคล้อยไป ก็เห็นได้ชัดว่าพลังของหลินสวินก็ฟื้นคืนและเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นไปด้วย

เห็นชัดว่าเขากำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากช่วงเวลาอ่อนแอหลังข้ามด่านเคราะห์ และพลังของเขาไม่อาจเทียบกับตอนมีระดับอมตะเคราะห์ด่านสามได้แล้ว!

‘คราวนี้ชื่อหลิงเซียวคงต้องรับผลของการกระทำเข้าจริงๆ แล้ว’

ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยรำพึงในใจ

ดังคาด นางเพิ่งคิดขึ้นเช่นนี้ ในที่นั้นชื่อหลิงเซียวก็ส่งเสียงร้องโหยหวนกราดเกรี้ยว

ก็เห็นว่าปากเขามีเลือดสดๆ ไหลริน บวมแดงหาใดเทียบ เห็นได้ชัดว่าถูกหลินสวินถล่มโจมตีอีกครั้ง กระดูกคางระเบิดแหลกยุบตัว ใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิม

นี่ อาจจะเรียกว่าปากพาจนได้แล้ว

ชื่อหลิงเซียวก่อนหน้านี้ โอหังอหังการ เย่อหยิ่งอวดดีปานไหน ตอนหลินสวินข้ามด้านเคราะห์ก็เอ่ยวาจาไม่หวั่นเกรง วิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต

แต่ตอนนี้ ท่าทางน่าอดสูเช่นนั้นของเขาดูแล้วทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกเจ็บเข้าไปถึงเนื้อ ออกจะทนดูไม่ได้แล้ว

จะดีจะชั่วก็เป็นบุคคลระดับนายเหนือหัวที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินเล่นงานรุนแรงจนเป็นแบบนี้ น่าสังเวชเกินไปแล้วจริงๆ

คาดการณ์ได้ว่าเมื่อข่าวการต่อสู้นี้กระจายออกไป ชื่อหลิงเซียวต้องกลายเป็นบุคคลในโศกนาฏกรรมที่เป็นที่รู้จักไปทั่วคนหนึ่งแน่

และความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาก็พาให้ทุกคนสั่นสะท้านไม่หยุด ต่างคิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายว่า หลายวันก่อนที่ไล่ฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋คงไม่ใช่เขาจริงๆ กระมัง

ชิ้ง!

ดาบหักเคลื่อนออกมา เห็นว่ากำลังจะฟันชื่อหลิงเซียวแล้ว ก็ในตอนนี้เองมีเสียงร้องหนึ่งพลันดังขึ้น…

“พี่ใหญ่ช้าก่อน!”

ฮูม!

ฉับพลันทันใด ดาบหักหยุดอยู่ใจกลางหว่างคิ้วชื่อหลิงเซียว คมดาบเปล่งประกายแหลมคมหาใดเทียบนั้นทิ่มแทงผิวหนังตรงหว่างคิ้วของเขา รอยเลือดสีแดงฉานไหลรินออกมา

จินตนาการได้ว่าหากดาบนี้ฟาดลงไป ชื่อหลิงเซียวย่อมถูกฟันขาดเป็นสองท่อนอย่างแน่นอน!

นี่ทำให้ชื่อหลิงเซียวก็ตื่นตระหนกจนขวัญแทบกระเจิง เสื้อผ้าซึมไปด้วยเหงื่อกาฬ รู้สึกเหมือนเดินอยู่หน้าประตูผี

“เจ้าคางคก?”

ตอนนี้หลินสวินหันสายตามองไปยังที่ที่เสียงดังออกมา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเสน่ห์เหลือร้ายกำลังยิ้มกว้างให้ตน ท่าทางเช่นนั้นเจือไปด้วยกลิ่นอายสับปลับเป็นธรรมชาติ

ไม่ใช่เจ้าคางคกแล้วจะเป็นใครได้อีก

สายตาของทุกคนก็มองตามไปเช่นกัน ต้องการดูเสียหน่อยว่าคนที่สามารถพูดคำเดียวก็ขัดขวางไม่ให้หลินสวินลงมืออย่างร้ายกาจได้ เป็นอริยเทพหนใดกันแน่

‘พี่ใหญ่ ปล่อยเขาไปสักครั้งหนึ่งเถอะ เจ้าหมอนี่คบหากับข้ามาตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว ในการเคลื่อนไหวเพื่อเสาะหากู่ฝอจื่อที่แดนเก้าบนคราวนี้ก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อย’

เจ้าคางคกกระโจนมาข้างหน้า สื่อจิตเอ่ยเสียงค่อย

ไม่ได้พบกันสี่ปีกว่าและได้มาเจอกันอีกครั้งตอนนี้ ในใจหลินสวินก็ประหลาดใจและยินดียิ่งนัก

ด้วยเห็นว่าเป็นการร้องขอของเจ้าคางคก หลินสวินเงียบไปเล็กน้อย คร้านจะไปเอาความกับชื่อหลิงเซียวจึงเก็บดาบหักกลับไปเสียงดังชิ้ง

“คราวหน้าจะไม่ละเว้นแล้ว!”

เขาชำเลืองมองชื่อหลิงเซียวครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ แต่ในใจลอบถอนหายใจโล่งอกไปนานแล้ว ยามมองหลินสวินอีกครั้ง สายตาของชื่อหลิงเซียวก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้น

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนจะแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้ แม้แต่ช่องว่างให้มีโอกาสชนะหรือจู่โจมกลับสักนิดยังไม่มี!

ได้ประมือกับหลินสวินจริงๆ ถึงล่วงรู้ความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของอีกฝ่าย

“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูเจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ ข้าพูดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าผู้ที่ทำให้ข้าจินตู๋อียอมรับเป็นพี่ใหญ่ได้ จะธรรมดาทั่วๆ ไปได้หรือ”

ระหว่างที่มองดูชื่อหลิงเซียวที่ปากบวมแดงเลือดหลั่งริน ยับเยินหาใดเทียบ เจ้าคางคกก็กุมท้องหัวเราะลั่นน้ำตาแทบเล็ด

ในสมัยบรรพกาล สาเหตุที่เขาผูกมิตรกับชื่อหลิงเซียวได้ ด้านหนึ่งก็เพราะฐานะพอๆ กัน แต่สาเหตุสำคัญกลับเป็นเพราะศีลเสมอกัน

ชื่อหลิงเซียวบ้าระห่ำ ยโสโอหัง ไม่สนใจกฎเกณฑ์สวรรค์ สิ่งนี้ต้องกับรสนิยมของเจ้าคางคกนัก เพราะเขาก็เป็นคนหยิ่งทระนง อวดดี ไม่เห็นผู้อื่นในสายตาคนหนึ่งเช่นกัน

การผูกมิตรของทั้งสองจึงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน เสียดายที่พบกันช้าไปอยู่มาก

หลังจากเก็บตัวเงียบมาเนิ่นนาน สหายอย่างพวกเขาคู่นี้ก็เพิ่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีก่อน

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมเจ้าคางคกถึงขัดขวางไม่ให้หลินสวินสังหารชื่อหลิงเซียว

“หึ! เล่นงานพี่ใหญ่เจ้าไม่ได้ แต่เล่นงานเจ้ากลับไม่เปลืองแรงเท่าไร จะลองดูไหมล่ะ”

ชื่อหลิงเซียวหน้าเห่อร้อน ถูกเจ้าคางคกหัวเราะเยาะเช่นนี้ตัวเขาก็อึดอัดไปครู่หนึ่ง

“ไป ไปคุยกันในสถูปเจดีย์”

หลินสวินกวาดสายตามองไปรอบด้านครั้งหนึ่งก็หันกายไปยังสถูปเจดีย์

เจ้าคางคกกำลังจะตามไปก็เห็นชื่อหลิงเซียวยืนอยู่ตรงนั้นท่าทางดิ้นรนหาใดเทียบ จึงพุ่งไปข้างหน้าโอบไหล่เขาไว้ แล้วเคลื่อนตัวไปยังสถูปเจดีย์ทันที

“พี่ใหญ่ข้าก็เป็นพี่ใหญ่เจ้าด้วย ถูกเขาอัดก็ไม่น่าขายหน้าหรอก มาเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำพวกเจ้าให้รู้จักกันดีๆ เสียหน่อย”

เจ้าคางคกกระตือรือร้นนัก ส่วนชื่อหลิงเซียวเงียบเชียบไม่ส่งเสียง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

“สหายยุทธ์หลิน ข้าขอพูดคุยกับพวกเจ้าด้วยได้ไหม”

ทันใดนั้นธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็เอ่ยปาก เสียงกังวานรื่นหูดุจเสียงสวรรค์ นางยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่องงดงามเกินคนทั่วไป ท่วงท่าสง่างามไร้ผู้ใดเทียบเทียม

——