สายป่านว่าวถูกผูกไว้กับคานของรถม้า รูปภาพจึงโบกสะบัดอยู่บนท้องฟ้า
นักพรตน้อยไม่กล้ามองภาพการสู้รบอันโหดร้ายที่อยู่บริเวณโดยรอบ จึงใช้สองมือปิดหน้าปิดตาแอบดูเป็นบางครั้ง แล้วตกใจจนร่างสั่นน้อยๆ
ม่านในรถถูกเลิกขึ้น ซางสิงโจวนั่งอยู่ข้างรถ เท้าสัมผัสกับพื้น
ถ้าตอนนี้เฉินฉางเซิงอยู่ ก็จะพบว่าเขาแก่ลงกว่าตอนอยู่ลั่วหยางมาก ผมขาวไปทั้งศีรษะ
เขาถือพัดเล่มหนึ่งไว้ในมือ โบกไปมาช้าๆ ผมขาวปลิวขึ้นเล็กน้อย
เขาหลับตา ฟังเสียงการฆ่าฟันในท้องทุ่งรกร้างและเสียงโลหิตสาดกระเซ็น โดยมิได้รู้สึกรังเกียจ แต่ก็มิได้หลงใหล
เขาสงบนิ่งมาก ก่อนจะถึงจุดจบที่แท้จริง ทุกสิ่งที่ทำและผู้คนที่พบ ล้วนคือการเดินทาง
เขาชัดเจนมากว่า เหตุใดเผ่ามารถึงต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสังหารตนเอง
จึงไม่จากไปอย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาต้องการก็คือ ดึงดูดความสนใจของกองทัพหลักเผ่ามาร ขณะเดียวกันก็นำเสนอหลักฐานบางอย่างให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งนั่นคือ ความคลุมเครือที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ
และเขาก็ไม่มีทางส่งข่าวใดๆ ให้กระโจมบัญชาการกลาง…กระโจมบัญชาการกลางยิ่งเงียบเท่าใด เผ่ามารก็ยิ่งคิดสังหารเขาให้ตายเท่านั้น…ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเขาตายด้วยน้ำมือชนเผ่ามาร แม่ทัพนายกองและนักบวชทั้งหลายต้องรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงคือปัญหาใหญ่ กองทัพในแนวหน้าก็อาจแตกแยกกันด้วยเหตุนี้
เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ขนาดแรงกดดันแค่นี้ยังแบกรับไม่ไหว จะมีคุณสมบัติอะไรมาเป็นศิษย์ของเขา
การฆ่าฟันดำเนินไปตั้งแต่เช้าจนเห็นดวงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงกลางท้องฟ้า ในที่สุดกองหน้าพลหมาป่าก็ทะลวงแนวป้องกันอันหนักหน่วงของทหารม้าเกราะดำติดอาวุธหนัก มาถึงด้านหน้าของภูเขาลูกเล็ก
ทว่าพวกหมาป่ายักษ์ที่กระหายโลหิต หอบหายใจไม่หยุดและน้ำลายกำลังไหล กลับไม่สามารถขึ้นไปบนเขาแม้ได้แต่ก้าวเดียว เนื่องจากถูกธนูแสงศักดิ์สิทธิ์นับพันดอกยิงตาย
ภายใต้สถานการณ์ที่ธนูแสงศักดิ์สิทธิ์ร่อยหลอลงเรื่อยๆ เมื่อถูกยิงออกในปริมาณมากขนาดนี้ จึงเป็นภาพที่หาดูได้ยากในสนามรบ
พูดได้เพียงว่า ไม่ว่าจะเป็นเผิงสือไห่ หรือแม่ทัพและเหล่าทหารของกองทัพเส้นตะวันออก ก็ล้วนคำนึงถึงความปลอดภัยของซางสิงโจวมากกว่าแผ่นฟ้า
รอบๆ ภูเขาลูกเล็กเต็มไปด้วยซากศพและผู้บาดเจ็บ
ทหารม้าเผ่ามนุษย์ที่เข้าปิดล้อมภูเขาลูกเล็กได้อีกครั้ง กำลังทำการเก็บกวาดแบบง่ายๆ พอพบพลทหารเผ่ามารที่บาดเจ็บย่อมแถมให้อีกหนึ่งดาบ แต่พอพบเพื่อนทหารที่บาดเจ็บกลับแบกขึ้นเขาไป แล้ววางไว้บนเนินเขาชั่วคราว รอให้ขุนนางเทพของพระราชวังหลี อีกศิษย์และอาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเข้ามารักษาเมื่อการสู้รบซาลง หวังแต่เพียงตอนนั้น เหล่าผู้บาดเจ็บจะยังมีชีวิตอยู่
เหล่าทหารนำผู้บาดเจ็บมาวางเรียงรายไว้บนเนินเขา พูดปลอบโยนไม่กี่คำ แล้วก็ได้แต่จากไป
ก่อนจากไป พวกเขาย่อมไม่ลืมที่จะคุกเข่าโขกศีรษะให้กับรถคันเล็กคันนั้น
นักพรตน้อยกางนิ้วที่ปิดตาออก เผยให้เห็นตากลมสีดำขลับ กำลังมองซางสิงโจว
ซางสิงโจวไม่ได้ลืมตาขณะพูด “ถ้ารักษาไม่ได้ ก็อย่ามากวนข้า”
นักพรตน้อยส่งเสียงอืมด้วยความดีใจ หยิบเชือกปอสองเส้นออกจากแขนเสื้อ ผูกแขนเสื้อนักพรตกว้างๆ ไว้กับข้อมืออย่างแน่นหนา แล้ววิ่งไปที่เนินเขา
บนเนินเขามีแต่ทหารบาดเจ็บ ย่อมไม่มีใครขวางทางเขา
เพียงแต่เขาไม่ได้นำกล่องยามา ไม่รู้ว่าจะเตรียมรักษาอย่างไร
และแล้ว นักพรตน้อยก็ปลดเข็มทองออกจากนิ้ว เริ่มฝังเข็มห้ามเลือดให้ทหารบาดเจ็บเหล่านั้น ใบหน้าน้อยๆ จริงจังสุดจะเปรียบ
จากทหารบาดเจ็บคนหนึ่งย้ายไปอยู่ตรงหน้าทหารบาดเจ็บอีกคนหนึ่ง ใบหน้าเล็กๆ แดงเพราะความร้อน หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
มีทหารบาดเจ็บนายหนึ่งสวมหมวกสักหลาดปิดใบหน้าส่วนใหญ่ไว้ ซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็นในสนามรบ เผยให้เห็นใบหน้าบางส่วนที่คลับคล้ายมีสีเขียวอยู่
นักพรตน้อยมองทหารบาดเจ็บนายนี้ พลางเกาศีรษะ “ถูกพิษหรือ ข้ารักษาไม่เป็นนะ”
พูดจบ เขาก็ได้แต่ผละออกจากทหารบาดเจ็บนายนี้ชั่วคราว ไปห้ามเลือดให้ทหารบาดเจ็บคนอื่นๆ ก่อน
พอทำเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย เขาก็กลับมาที่หน้ารถ จ้องมองซางสิงโจว ยิ้มหวาน แล้วจึงตะโกนเสียงใส “อาจารย์ปู่ ข้ากลับมาแล้ว!”
จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตน้อยก็เปลี่ยนเป็นมีท่าทีเหมือนจะร้องไห้ เห็นชัดว่าเครียดจนถึงขีดสุด พูดงึมงำออกมาไม่กี่คำ
ไม่รู้ว่าซางสิงโจวลืมตาตั้งแต่เมื่อใด
เขาพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง
แล้วนักพรตน้อยก็ขยับตัว มุดเข้าไปในรถ แอบอยู่ด้านหลังของเขาเรียบร้อย
ซางสิงโจวหันมองเหล่าทหารบาดเจ็บบนเนินเขา แล้วจึงหันมองตามนิ้วของนักพรตน้อยที่อยู่บนไหล่ของเขา จนมาหยุดอยู่ที่ร่างของทหารบาดเจ็บผู้หนึ่ง
ซึ่งก็คือทหารบาดเจ็บผู้สวมหมวกสักหลาดและหน้าเขียวบางส่วนผู้นั้น
ซางสิงโจวจ้องมองทหารบาดเจ็บผู้นี้อย่างสงบนิ่ง
รอยย่นตื้นๆ ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นที่หางตาของเขา แต่เมื่อถูกลมพัดเบาๆ ก็กลายเป็นลึกลงเรื่อยๆ
ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างจ้าในดวงตาของเขา
ห่างออกไปหลายสิบจั้ง เกิดรอยแตกกลางอากาศนอกลำคอของทหารบาดเจ็บผู้นั้นอย่างไร้สุ้มเสียง
รอยแตกกลางอากาศ คือการดำรงอยู่อย่างชัดเจนที่สุดของฟ้าดิน สามารถไปยังปรโลกได้โดยตรง
เม็ดโลหิตปรากฏขึ้นบนผิวหนังสีเขียว จากนั้นก็ค่อยๆ ตัดลงไป
ทหารบาดเจ็บผู้นั้นพลันลืมตา ร่างคล้ายตุ๊กตาน้ำตาลปั้นที่ตกลงไปในน้ำ จมลงไปในพื้นดิน
รอยแตกกลางอากาศตามลงไปในพื้นดิน
ร่างของทหารบาดเจ็บผู้นั้นกลายเป็นหมอกควันสายหนึ่ง ลอยออกจากพื้นดิน กระจายไปทั่วเนินเขา
ซางสิงโจวพลันหลับตาลง
รูปภาพขนาดใหญ่ที่ผูกติดกับว่าวแขวนไว้บนฟ้า คือรูปไฟไหม้วัดมหายาน
พริบตานั้น ปรากฏนักพรตน้อยคนหนึ่งในซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียม
นักพรตน้อยคนนั้นหน้าตาหมดจดงดงาม ซึ่งก็คือซางสิงโจวในวัยเด็ก
เขาหันมองไปรอบๆ ท้องทุ่งรกร้าง สายตาคมกริบสุดๆ คล้ายสามารถมองเห็นภูตผีทั้งหมด
ในรูปภาพ ดวงตาใสกระจ่างของนักพรตน้อย เกิดแสงสว่างมากกว่าสิบดวง
ในรถ ใบหน้าของซางสิงโจวเกิดรอยย่นเป็นร่องลึกเพิ่มขึ้นสิบกว่ารอย
เปรี๊ยะๆๆ!
รอบๆ ภูเขาลูกเล็กเกิดเสียงตัดอย่างคมกริบหลายครั้ง
รอยแตกกลางอากาศค่อยๆ พังทลายลง
คนชุดดำปรากฏตัวขึ้น
เสื้อผ้าทหารม้าเผ่ามนุษย์กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สลายไปตามลมตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าเสื้อผ้าชุดดำที่ปกป้องเขามาพันปีก็ปรากฏรอยขาดมากมายเช่นกัน
โลหิตสีแดงสดไหลออกจากบาดแผลหลายแห่ง
ตำนานเล่าขานคือเรื่องจริง คนชุดดำที่แท้เป็นมนุษย์
……
……
“นึกไม่ถึงว่า ข้าจะถูกเจ้าลอบจู่โจมสำเร็จ”
คนชุดดำพูดพลางมองซางสิงโจวที่อยู่ในรถ
เสียงของเขาทะลุผ่านหมวกติดชุด อู้อี้และชั่วร้ายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีความหวั่นไหวเพิ่มเข้ามา
เช่นเดียวกับที่พูด วันนี้เขาเสี่ยงอันตรายยิ่ง ที่ปลอมตัวเป็นทหารม้าเผ่ามนุษย์ มาถึงข้างกายซางสิงโจว เพื่อลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม
แต่ใครจะคิดเล่าว่า ซางสิงโจวกลับเห็นการพรางตัวของเขาล่วงหน้า จึงเสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารกลับ
“เมื่อก่อนศิษย์เจ้าใช้วิธีนี้สังหารศิษย์ข้า ตอนนี้เจ้าก็ใช้วิธีนี้อีก ทำซ้ำแบบนี้ น่าผิดหวังจริงๆ”
เสียงของซางสิงโจวไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ เย็นชาราวกับฝ่ายตรงข้ามมิใช่กุนซือเผ่ามาร และมิใช่ศัตรู
เรื่องที่เขาพูดย่อมเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ราชามารในวัยเยาว์ปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่บาดเจ็บสาหัส ทำให้อันหวาและเฉินโฉวจากจวนทหารเขาซงซานแบกไปยังสันเขาหิมะ ตามหาเจ้าของยาจูซา
คนชุดดำจึงว่า “ผู้ที่ฝ่าบาทคิดสังหารในตอนนั้นคือจักรพรรดิองค์ก่อน ไม่เกี่ยวกับเฉินฉางเซิง”
ซางสิงโจวโต้ “ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นวิธีการที่เก่าแก่อยู่ดี มิเช่นนั้นทำไมกระทั่งศิษย์ข้าคนนี้ เจ้าก็ยังปกปิดไม่อยู่”
นักพรตน้อยตั้งใจฟังอยู่ด้านหลังของเขา โดยไม่รู้สักนิดว่า สำหรับตนเองแล้ว นี่เป็นคำพูดที่สำคัญเพียงใด
สองปีมานี้ หลายคนล้วนรู้ว่า อารามฉางชุนในลั่วหยางมีนักพรตน้อยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ปรนนิบัติดูแลซางสิงโจวอยู่ข้างกาย
ทว่าซางสิงโจวไม่เคยอธิบายให้ฟังว่า นักพรตน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหน
จวบจนวันนี้ เขาถึงได้พูดคำนี้ต่อหน้าคนชุดดำ
แล้วการเป็นศิษย์ของซางสิงโจว มีอะไรดี
ท่านต้องรู้ว่า ศิษย์สองคนก่อนหน้านี้ของเขา คนหนึ่งได้เป็นจักรพรรดิ อีกคนได้เป็นสังฆราช เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
คนชุดดำถึงกับอดไม่ได้ ต้องเหลือบตามองนักพรตน้อย
แผนของเขาในวันนี้แม้ไม่แปลกใหม่ แต่ในความเป็นจริง มีความเป็นไปได้ที่ทำสำเร็จมากจริงๆ ใครจะคิดเล่าว่า เด็กคนหนึ่งจะดูออก
บุญญาธิการอย่างที่ว่า ก็คงหมายความตามนี้