วันรุ่งขึ้น ชื่อหลิงเซียวกับธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยบอกลาแล้วจากไป
หลินสวินเริ่มทำสมาธิฝึกตน เมื่อวานเขาข้ามอมตะเคราะห์ด่านที่สี่ ‘เคราะห์เจ็ดอารมณ์’ ได้อย่างราบรื่น เมื่อเลื่อนระดับสูงขึ้น พลังทั่วร่างแปรสภาพใหม่ทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงและจัดระเบียบ
เจ้าคางคกกับนกทมิฬกำลังพินิจพิเคราะห์ภาพโบราณที่สลักบนผนังแต่ละภาพ ภายในสามพันสถูปเจดีย์ด้วยกัน
ตอนนั้นคำที่อวิ๋นชิ่งไป๋พูดไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวง ในแดนธรรมสถูปแห่งนี้แม้อันตรายเหลือจะคาดเดา แต่ก็มีศุภโชคเย้ยฟ้าผนึกไว้เช่นกัน
สามพันสถูปเจดีย์เป็นที่ที่อริยพุทธช่วงต้นบรรพกาลสร้างไว้ ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก
ร่างต้นของกู่ฝอจื่อเคยวนเวียนศึกษาอยู่ที่นี่ และไม่รู้ว่าได้วาสนาไปหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ประสบเคราะห์ไปแล้ว
อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เคยฝึกปราณที่นี่ และเคยพูดว่าวาสนาในสถูปเจดีย์แห่งนี้ซ่อนอยู่ในภาพหินสลักสิบแปดภาพที่อยู่ในชั้นสิบแปดแห่งนี้
ไม่ว่าจริงหรือหลอก ต่างสามารถพิสูจน์ได้ว่าภายในสถูปเจดีย์มีความลับใหญ่ซ่อนอยู่!
……
ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป ในแดนเก้าบนข่าวที่เกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ข่าวหนึ่งเริ่มถูกพูดถึงตามไปด้วย ทุกคนที่รู้ข่าวนี้ไม่มีใครฉงนใจไม่หยุด
“ตอนเทพมารหลินเพิ่งเกิด พลังพรสวรรค์บนตัวเขาถูกคนชิงไปอย่างนองเลือด และคนร้ายก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋!”
หินก้อนเดียวก่อให้เกิดคลื่นพันระลอก ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา ก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไร
ความสำเร็จที่อวิ๋นชิ่งมีในวันนี้ ดันเกี่ยวข้องกับพลังพรสวรรค์ที่ชิงมาจากเทพมารหลินในตอนนั้นเสียได้ ใครจะไปคิดได้กัน
“มิน่าถึงมีคนพูดตั้งนานแล้วว่า พลังมหามรรคน่ากลัวบางอย่างที่เทพมารหลินครอบครอง คล้ายคลึงกับอวิ๋นชิ่งไป๋ถึงที่สุด ที่แท้ยังมีเงื่อนงำเช่นนี้ด้วย!”
ผู้แข็งแกร่งบางคนตื่นตระหนก
พลังพรสวรรค์ชนิดหนึ่งทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ ไม่มีใครต้านทานได้ในมรรคา ราวกับกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานที่โดดเด่นเพียงผู้เดียวในแดนเก้าบนไปแล้ว เช่นนั้น…
พลังพรสวรรค์นี้จะน่ากลัวได้ปานไหน
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดที่เจิดจรัสคนหนึ่ง วิธีการกับจิตใจจะต่ำทรามเช่นนี้ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาก็น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
บางคนแค้นเคืองกับความไม่เป็นธรรม
“เหลวไหล! นี่เป็นการสร้างมลทินให้อวิ๋นชิ่งไป๋ เจตนาชั่วร้าย จงใจใส่ร้ายกัน!”
แต่ที่มากยิ่งกว่าก็คือการปฏิเสธและไม่เชื่ออย่างรุนแรง
อวิ๋นชิ่งไป๋มีชื่อมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนแดนมกุฎมาเยือนก็ถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของดินแดนรกร้างโบราณ อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน กิตติศัพท์ของเขาเข้าไปอยู่ในใจคนอย่างลึกซึ้งนานแล้ว ใต้หล้าต่างรู้ดี
แต่ตอนนี้กลับมีข่าวเช่นนี้ออกมา นี่จะให้ผู้แข็งแกร่งที่เคารพเทิดทูนเหล่านั้นกล้าเชื่อได้อย่างไร
นี่ก็คือการสาดโคลน!
“ต่ำช้าเกินไปแล้ว ข่าวนี้ใครแพร่งพรายออกมากัน เพื่อยกตำแหน่งและชื่อเสียงของหลินสวินให้สูงขึ้น กลับเหยียบอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นไป หน้าด้านขนาดไหนกัน”
“คุณชายอวิ๋นประหนึ่งเทพ จะเป็นคนต่ำทรามเช่นนั้นได้หรือ นี่ต้องเป็นเรื่องเท็จแน่!”
หญิงสาวที่ชื่นชอบอวิ๋นชิ่งไป๋หาใดเทียบบางคนยิ่งฉุนเฉียว คิดว่านี่เป็นการลบหลู่อวิ๋นชิ่งไป๋ ไม่อาจทนได้อย่างเด็ดขาด
“น่าขัน ถ้าพลังพรสวรรค์ถูกชิงไป เขาหลินสวินจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ทั้งจะมีศักยภาพอย่างวันนี้ได้อย่างไร คนตาดีต่างดูออกว่าข่าวนี้มันน่าตลกขบขันขนาดไหน!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงฮือฮาดังไม่ขาดหูในแดนเก้าบน
ข่าวนี้ปลุกเร้าเกินไปแล้วจริงๆ เกี่ยวโยงถึงยักษ์ใหญ่ผู้พลิกเมฆคว่ำฝนได้สองคน คนหนึ่งเป็นนายเหนือหัวอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้า อีกคนเป็นเทพมารหลินที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ทุกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวกับหนึ่งในสองคนนี้ล้วนสามารถดึงดูดความสนใจของคนทั้งโลกได้ นับประสาอะไรกับที่ข่าวนี้ยังเกี่ยวกับทั้งสองคนด้วย
แต่โดยสรุปแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ!
บนโลกนี้มีข่าวโคมลอยมากมายเกินไป และสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเชื่อได้ยาก ก็คือผู้โดดเด่นตระการตาอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋จะทำเรื่องโหดร้ายต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่พร้อมกับที่ข่าวกระจายออกไป ข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้บางอย่างก็แพร่ออกมาด้วย
“ข่าวว่าหลินสวินพูดเอง และชื่อหลิงเซียวกับธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็เป็นพยาน!”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกคนไล่ฆ่า และคนที่ไล่ฆ่าเขาก็คือหลินสวิน!”
“กู่ฝอจื่อประสบเคราะห์ตายไป พลังพรสวรรค์ของเขาก็ถูกชิงไปเหมือนหลินสวินในตอนนั้น และคนร้ายก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋!”
เมื่อข่าวที่ยืนยันได้กระจายออกมา ทั้งแดนเก้าบนก็อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นชื่อหลิงเซียวหรือธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย ต่างเป็นถึงบุคคลทรงอิทธิพลระดับนายเหนือหัวที่เป็นผู้ปรีชาสามารถในรุ่นเดียวกัน อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า
มีทั้งสองคนเป็นพยานเอง ใครยังจะนิ่งเฉยอยู่ได้
“หรือว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง”
ผู้แข็งแกร่งที่เดิมไม่เชื่อบางคน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ต่างออกจะหวั่นไหวอย่างอดไม่ได้เสียแล้ว
“ช่วงชิงพลังพรสวรรค์แล้วนำมาใช้เอง มาคิดดูศัตรูที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยปลิดชีพ เหมือนจะมีส่วนหนึ่งที่เคยพบจุดจบเช่นนี้จริง”
“อย่าลืมสิ พลังมหามรรคลึกลับที่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครองนั้นมีอานุภาพดูดกลืนช่วงชิงที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด อาจจะทำได้ถึงขั้นนี้จริงๆ ก็ได้!”
ชั่วขณะเดียวภาพจำของอวิ๋นชิ่งไป๋ในใจของเหล่าผู้แข็งแกร่ง แม้ยังทรงพลังถึงขนาดไม่อาจล่วงเกิน ทำได้เพียงเคารพบูชา แต่กลับไม่มีเกียรติเช่นนั้นอีก
อีกทั้งหลายคนหนาวสะท้านในใจ เริ่มหวาดกลัวอวิ๋นชิ่งไป๋!
ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงคนสองประเภทที่ไม่เชื่อข่าวเหล่านี้
ประเภทแรกคือผู้สนับสนุนที่เทิดทูนอวิ๋นชิ่งไป๋ถึงที่สุด เชื่ออย่างหน้ามืดตามัวว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่มีทางทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ได้
ประเภทที่สองคือผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เรื่องนี้ก็อธิบายง่ายนัก ถึงอย่างไรอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ทั้งยังเป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ ด้วยมีฐานะเป็นคนร่วมสำนัก จะเชื่อข่าวเหล่านี้ได้อย่างไร
“นี่เป็นการใส่ร้าย!”
“เทพมารหลินที่ไร้ยางอาย ต่ำช้าและร้ายกาจ ถึงกับพูดจามั่วซั่วสาดโคลนใส่ศิษย์พี่อวิ๋น สมควรฆ่าทิ้งนัก!”
“หลินสวิน สำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้ากับเจ้าอยู่ร่วมกันไม่ได้!”
พวกเขาโต้แย้งอย่างเต็มที่ ทั้งเอ่ยวาจาบ้าระห่ำว่าจะคิดบัญชีกับหลินสวิน สังหารคนไร้ยางอายที่ปล่อยข่าวลือผู้นี้
…โดยสรุปแล้ว แดนเก้าบนเดือดพล่านโดยสมบูรณ์ ลมเมฆเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
ทุกคนต่างสังหรณ์ว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ ตั้งแต่นี้ไปหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋ต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตคู่หนึ่งแน่!
“รอเอาเถอะ ไม่ช้าก็เร็วการต่อสู้เป็นตายระหว่างสองคนนี้ต้องปะทุขึ้นแน่!”
มีคนคาดการณ์ ทั้งยังได้รับการยอมรับจากคนหมู่มาก
……
แดนธรรมสถูป
หน้าสามพันสถูปเจดีย์แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับแต่ก่อน
เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่อันโหดร้ายยิ่งแห่งหนึ่ง ไอสังหารมีอยู่ทั่วทิศ แต่พร้อมกับข่าวความแค้นระหว่างหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋แพ่กระจายออกมา ในช่วงใกล้ๆ นี้ก็ดึงดูดให้ผู้ฝึกปราณมากมายมาเยือน หมายจะเสาะหาต้นสายปลายเหตุ
ที่นอกสถูปเจดีย์ถูกหลินสวินวางกระบวนผนึกลายมรรคไว้ก่อนแล้ว
ทั้งเพราะรู้กันว่าตอนนี้เป็นไปได้สูงมากที่หลินสวินจะอยู่ภายในสถูปเจดีย์ ถึงขนาดแทบจะไม่มีใครกล้าฝ่าเข้าไปจังๆ
นี่ก็คืออำนาจ!
ในแดนเก้าบนตอนนี้ นามของหลินสวินเป็นที่รู้จักไปนานแล้ว ถ้าไม่มีความแค้นต่อกัน ขอเพียงไม่โง่ใครก็ไม่กล้าไปล่วงเกินง่ายๆ
ดังนั้นแม้ผู้แข็งแกร่งที่มาสืบข่าวที่สถูปเจดีย์จะมีมาก แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครได้เห็นลินสวินกับตาจริงๆ
จึงทำได้เพียงเลือกรออยู่
ขณะเดียวกันในที่ต่างๆ ในแดนเก้าบน ก็มีผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจมากมายกำลังตามหาและสืบเสาะร่องรอยของอวิ๋นชิ่งไป๋
ต่างอยากรู้ว่ายามเผชิญหน้ากับข่าวนี้ อวิ๋นชิ่งไป๋จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
อีกทั้งพวกที่ระมัดระวังล้วนพบว่า ตำแหน่งอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้าของอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
แต่เช่นเดียวกัน ก็มีคนพบว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ชื่อของหลินสวินก็ยังไม่เคยปรากฏบนกระดานทองคำผู้กล้าสักครั้ง!
……
การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกไม่อาจคาดเดา ด้านในสถูปเจดีย์ หลินสวินทำให้พลังระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่ของตนเสถียรโดยสิ้นเชิง และควบคุมได้อย่างสมบูรณ์นานแล้ว สามารถใช้ได้อย่างไร้ที่ติเหมือนขยับแขนขา
‘ถ้าข้ามีพลังเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนเจออวิ๋นชิ่งไป๋ มีหรือจะให้เขาหนีไปได้…’
วันนี้หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ แววตาสุขุมลุ่มลึก
อมตะเคราะห์ด่านสี่ ได้เหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตู ‘หกเคราะห์’ แล้ว ตามการแบ่งระดับในอดีตของดินแดนรกร้างโบราณ ถือได้ว่าเป็นพลังแกนหลักแล้วในอมตะเคราะห์เก้าด่าน
แต่อมตะเคราะห์ของมกุฎราชันนั้นแตกต่าง!
‘ด้วยพลังต่อสู้ของข้าในตอนนี้ หากใช้พลังทั้งหมดที่มี จะข้ามระดับไปสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎที่มีระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าก็คงไม่ยาก’
หลินสวินวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่วนราชันระดับอมตะเคราะห์ทั่วไป ได้ถูกหลินสวินเพิกเฉยไปโดยปริยาย
ไม่อยู่บนมรรคาเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบกันได้อยู่แล้ว
หากต้องการ ด้วยพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเขา ต่อให้ไปฆ่าฟันราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดทั่วๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดคะเนของหลินสวินเอง
สภาพการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ยังต้องอยู่ในการต่อสู้จริงจึงจะสามารถสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
‘เริ่มหลอม ‘มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทาน’ ได้แล้ว’
หลินสวินครุ่นคิด หลับตาลงอีกครั้ง
ส่วนภายในร่างของเขา ไข่มุกโปร่งใสกระจ่างขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดหนึ่งกำลังลอยอยู่เหนือเมล็ดพันธุ์มรรคต้นกำเนิด ไอคลุมเครือไหลวน แสงมรรคอบอวล
มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทาน ตามคำพูดของเสวียนคง เป็นสิ่งที่แปรสภาพมาจากพลังต้นกำเนิดของ ‘เมืองมรณะ’ สมบัติอริยะฟ้าประทาน ที่มาที่ไปน่าตื่นตระหนกถึงที่สุด!
ในการรับรู้ของหลินสวิน ไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานริ้วแล้วริ้วเล่าที่มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานแผ่ออกมาลึกลับเหลือจะกล่าว มีสรรพคุณบำรุงขัดเกลาพลังปราณ จิตวิญญาณและสภาวะจิต
เพราะไอนี้เป็นสิ่งที่แปรสภาพมาจากบุญกุศล!
เดิมทีหลินสวินยังอยากถามนกทมิฬเสียหน่อยว่ารู้ที่มาที่ไปของสิ่งนี้หรือไม่
แต่ศิษย์พี่เสวียนคงเคยเตือนเขาไว้ว่าจะให้คนอื่นเห็นสิ่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเหตุผลกลับไม่ได้บอกไว้
วู้ม!
หลินสวินไม่คิดอะไรอีก เก็บรวบสมาธิให้เป็นหนึ่ง โคจรพลังปราณทั้งกาย เริ่มหลอมมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานเม็ดนั้น
ตอนแรกหลินสวินเพียงรู้สึกว่าจิตรับรู้สั่นไหว ในสมองประหนึ่งปรากฏเมืองเทพสูงตระหง่าน ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่หาใดเทียบแห่งหนึ่ง!
เมืองเทพแห่งนั้นเจิดจรัสเหลือคณา แสงเทพไหลเวียน เต็มไปด้วยกลิ่นอายไม่เสื่อมคลาย นั่งบัญชากลางฟ้าดิน ดุจสามารถสื่อสารกับโลกมนุษย์และโลกหน้า!
เสียงธรรมเก่าแก่คลุมเครือไร้ขอบเขตดังก้องในสมอง สั่นสะท้านดวงวิญญาณดั่งถ้อยวจีในพิธีกรรมเซ่นไหว้บูชาของปฐมชนยุคบรรพกาล
ชั่วขณะที่เคลิบเคลิ้ม หลินสวินเหมือนเห็นว่าในเมืองเทพนั้นมีวิญญาณเดียวดาย เสี้ยวเจตจำนง ดวงวิญญาณวายชนม์ และผีร้ายถูกชี้นำ แล้วรวมตัวอยู่บนแท่นบูชากลางเมืองแท่นหนึ่ง
จากนั้นก็ถูกโปรดสัตว์ หลุดพ้นและดับสลาย…
ในขณะเดียวกันพร้อมกับที่ดวงวิญญาณเหล่านั้นสลายไป ไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานเป็นริ้วๆ ปรากฏขึ้น หลอมรวมไปบนกำแพง ผืนดิน และสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้ ทำให้เมืองนี้ดูยิ่งโอฬารและเจิดจรัส กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านทั่วฟ้าดิน สาดส่องธารดารา
เมืองนี้ มีนามว่า ‘มรณะ’!
——