บนผนัง ลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นแตกต่างกันออกไป บ้างก็สลักภาพสรรพสิ่งปุถุชน บ้างก็เป็นภาพกำจัดมารปีศาจ บ้างก็เป็นธารดาราพลิกม้วน ลักษณ์แห่งภูผาธาราดับสูญ บ้างก็เป็น…
แผนภาพแต่ละแผ่นล้วนอัศจรรย์สุดหยั่ง
หลินสวินก็เคยศึกษามาก่อน แต่ไม่สามารถมองนัยเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นได้
“หลินสวิน เจ้ามาพอดีเลย ตอนนี้ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างแน่ชัดไร้ข้อผิดพลาด ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนภายในลายมรรคหินสลักเหล่านี้คือมรดกวิชาลับ!”
นัยน์ตาสีทองของเจ้าคางคกทอประกาย วางมาดทระนง กล่าวอย่างฮึกเหิม
เขากล่าวพลางชี้ไปที่แผนภาพหนึ่งที่อยู่บนผนัง พูดว่า “เจ้าดูภาพนี้ ภูผาธาราดับสูญ ธารดาราพลิกม้วน เผยให้เห็นฉากภาพแห่งการเสื่อมสลาย ทำลายโลก แต่นัยเร้นลับที่แท้จริงของมัน ความจริงแล้วไม่ได้อยู่ภายในปรากฏการณ์ที่ภาพนี้สื่อออกมาเลย หากแต่อยู่ในลายลวดลายหินสลักเหล่านี้!”
เขาชี้นิ้วออกไป ลากเค้าโครงตามร่องรอยแผนภาพสลักมรรค
ไม่ทันไรหลินสวินก็สั่นสะเทือน เพราะร่องรอยที่นิ้วของเจ้าคางคกลากเส้นทั้งหมด หากนำมารวมกันก็จะเป็นลายอักษรโบราณแถวหนึ่ง…
“คร่าชีวิตอุทิศให้จิตสถูป ไยต้องเสียดายที่หวนสู่ธุลีนิรันดร์!”
ราวกับธรรมคาถาบทหนึ่ง มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น
“เจ้าก็มองออกแล้วใช่หรือไม่ แต่ถ้าง่ายดายขนาดนี้ มีหรือจะต้องให้ข้ากับเจ้าเฒ่าดำทุ่มแรงกายแรงใจศึกษาเป็นเวลาปีกว่าด้วยเล่า”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าคางคกลำพองยิ่ง พ่นน้ำลายแตกฟอง “อักษรแถวนี้เป็นภาษาสันสกฤตมหายานบรรพกาล หากคลี่คลายรอยประทับของมันออกทีละตัว ก็จะเป็นร่องรอยลายมรรคตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง”
“ลายมรรค ลักษณะแห่งมหามรรค ประทับกลิ่นอายมหามรรค!”
กล่าวพลางปลายนิ้วเจ้าคางคกเริ่มวาดเส้นบนห้วงอากาศทีละเส้น “กำจัดลายมรรคเหล่านี้ออกไป เจ้าลองหยั่งรู้ดูอีกครั้ง”
จิตรับรู้หลินสวินโฉบออกไป เปรียบเทียบลายมรรคหินสลักนั่นกับร่องรอยที่ปลายนิ้วเจ้าคางคกลากไล้ ฉับพลันปรากฏการณ์สุดอัศจรรย์ภาพหนึ่งก็บังเกิดขึ้น
ในลายมรรคหินสลักนั่น ประหนึ่งมีแสงธรรมอริยเทพสายหนึ่งปรากฏอยู่ กลายเป็นเงาร่างสายหนึ่งสัญจรกลางฟ้าดิน ทุกที่ที่ย่างกรายภูผาธาราพังครืนดับสูญ ธารดาราพลิกม้วน หมื่นชีวิคมอดดับ
และพร้อมกันนั้นเสียงภาษาสันสกฤตที่เคร่งครัดไพศาลสายหนึ่งพลันดังก้อง คร่าชีวิตอุทิศให้จิตสถูป ไยต้องเสียดายที่หวนสู่ธุลีนิรันดร์!
เสียงหยุดลง ภายในแผนภาพมรรคร่องรอยหินสลักสายแล้วสายเล่ารวมตัวกัน กลายเป็นสัญลักษณ์อักษรธรรมสีทองอร่าม ไหลเวียนด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์
ภายในใจหลินสวินสั่นสะท้านอย่างแรง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมรดกที่อัศจรรย์อย่างยิ่งแบบหนึ่งจากสัญลักษณ์อักษรธรรมนั่น
“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมรดกเท่านั้น”
เจ้าคางคกเอ่ยปาก ยามที่เก็บปลายนิ้ว ลายมรรคหินสลักแผ่นนั้นพลันกลับคืนสภาพก่อนหน้านี้ในทันที
“เจ้าดูลายมรรคหินสลักแผ่นนี้อีกหน นัยเร้นลับภายในนั้นก็ไม่เหมือนกัน จำเป็นต้องใช้จิตพินิจเพื่อสะท้อนแผนภาพภายในนั้น ใช้จิตวิญญาณอนุมานจำนวนแห่งจักรวาลที่อธิบายอยู่ในนั้น…”
“ยังมีลายมรรคหินสลักแผ่นนี้อีก ก็แตกต่างกันออกไป นัยเร้นลับของมันจำเป็นต้องใช้พลังมหามรรคแห่งตนไปแก้…”
เจ้าคางคกพูดรัวๆ ไม่สิ้น อธิบายให้หลินสวินฟังทีละอย่าง
โดยสรุป นัยเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี้ล้วนแตกต่างกันออกไป จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ต่างกันมาแก้
หลินสวินฟังจนหัวหมุน ลอบจุ๊ปาก
ซับซ้อนและคลุมเครือเกินไปแล้ว!
ถ้าเปลี่ยนเขาไปแทนที่เจ้าคางคกกับนกทมิฬ คงไม่สามารถทนอยู่ถึงหนึ่งปีกว่า เพื่อไขคำตอบทีละอย่างของนัยเร้นลับภายในลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนี้ได้แน่
“ยามนี้นกทมิฬกำลังไขคำตอบของลายมรรคหินสลักแผ่นที่เหลืออยู่ หากไม่เหนือคาด ภายในสามเดือนต้องสามารถถแก้ปริศนาศุภโชคพลิกฟ้านี่ได้อย่างแน่นอน!”
เจ้าคางคกตื่นเต้นมีชีวิตชีวา ราวกับฉีดเลือดไก่อย่างไรอย่างนั้น เปี่ยมด้วยความวาดหวัง
หลินสวินเหลือบตามองเข้าไปก็เห็นนกทมิฬยืนอยู่หน้าภาพหินสลักแผ่นหนึ่ง ราวกับมารสิงร่าง ใจจดจ่อไม่วอกแวกสักเสี้ยว ท่าทางเหมือนลืมเลือนตัวตนไปสิ้นเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยสังเกตเห็นการสนทนาของเขากับจ้าคางคกสักนิด
“จริงสิ ไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานใช้หมดแล้ว เจ้าต้องรวมรวบให้มากกว่านี้หน่อย”
เจ้าคางคกกล่าว
หลินสวินโยนขวดหยกที่ปิดผนึกขวดหนึ่งให้เจ้าคางคกลวกๆ “คิดไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ รับไปสิ”
เจ้าคางคกยิ้มแฉ่ง ไม่เกรงใจเช่นกัน
หนึ่งปีมานี้พวกเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในสถูปเจดีย์ โอสถราชันและโอสถเทพบนตัวถูกผลาญเกลี้ยงตั้งนานแล้ว ล้วนแต่พึ่งพาไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานที่หลินสวินรวบรวมมาทั้งสิ้น
นี่ก็คือความยากเข็ญของผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ ระดับยิ่งสูง พลังที่จำเป็นสำหรับการฝึกปราณก็ยิ่งมหาศาล หากปราศจากทรัพยากรที่เพียงพอมาเกื้อหนุน ก็จะทำให้มรรควิถีหยุดนิ่งไม่รุดหน้า
แต่ว่าตอนนี้หลินสวินไม่กังวลจุดนี้สักนิด
อย่างน้อยในแดนธรรมสถูป หากเขาเต็มใจ ก็สามารถเก็บไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานได้อย่างล้นเหลือไม่ขาดสาย!
…
ภายในแดนธรรมสถูปมีพื้นที่อันตรายน่าสะพรึงมากมาย อย่างเช่น ‘สถานที่แห่งความตาย’ ที่เคยปรากฏในคราแรกสุด หรืออย่าง ‘พื้นที่สถูป’
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่เรียกได้ว่าแปลกพิสดารและอัปมงคลพอๆ กันอีกส่วนหนึ่ง
หนึ่งปีมานี้รอยเท้าของหลินสวินล้วนเหยียบย่างภายในนั้น ประการแรกเพื่อรวบรวมทรัพยากรฝึกปราณบางส่วน ประการที่สอง ก็เพื่อรวบรวมไอพิสุทธิ์ฟ้าประทาน
อุโมงค์เสี้ยวมาร
ตั้งอยู่ใต้ธารยาวกระดูกขาวที่ขุ่นมัวแห่งหนึ่งในแดนธรรมสถูป
ภายในอุโมงค์นั้นเต็มไปด้วยไอชั่วร้ายมืดทะมึนที่น่ากลัวสุดขีด ทุกๆ คืนจะมีเสียงคร่ำครวญโหยหวนของมารปีศาจที่วังเวงไร้ทัดเทียมดังก้องขึ้น พาให้ผู้คนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่หนาว
สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่น ที่นี่ย่อมเป็นสถานที่สุดอันตรายประหนึ่งแดนต้องห้ามอย่างแน่นอน ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาง่ายๆ
แต่สำหรับหลินสวิน ที่แห่งนี้กลับเป็นสถานที่สุดวิเศษในการรวบรวมไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานแห่งหนึ่ง
สวบ!
ในวันนี้หลินสวินมาเยือนอย่างผ่าเผย ดาบหักโฉบพุ่ง ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่ม ธารยาวที่ขุ่นมัวและมีกระดูกขาวลอยเกลื่อนนั่นพลันถูกแยกออกทันที เผยให้เห็นโพรงขนาดใหญ่ดุจร่องลำธาร
ภายในโพรงไอชั่วร้ายยอดหยินพลังแม่เหล็กสีดำทะมึนพวยพุ่ง แผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเสี้ยววิญญาณ เจตอาฆาต จิตทะมึนสายแล้วสายเล่ากำลังแผลงฤทธิ์ กรีดร้องโหยหวนอยู่ภายในนั้น แผ่กลิ่นอายอำมหิตระฟ้าออกมา
แต่เมื่อหลินสวินโคจรคัมภีร์มหาครรภ์จุติ รอบกายแผ่แสงธรรมที่เคร่งครัดและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นก็ราวกับถูกทำให้ตกใจ หนีตายอุดลุต
“โอม!”
หลินสวินสำแดงวิชาข้ามเคราะห์ มือใหญ่คว้าหมับ บาตรสีดำสนิทใบหนึ่งแหวกอากาศ หมุนวนโคจร ก็เห็นวิญญาณมืดสายแล้วสายเล่าราวกับเสียการควบคุม พากันถูกเก็บเข้าไปในบาตร
ดุจดั่งวาฬตัวยาวกลืนน้ำ!
เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น วิญญาณมืดเหล่านี้ก็ถูกดูดกลืนหายเกลี้ยง
ฮูม
พร้อมๆ กับที่หลินสวินกระตุ้นพลังธรรม วิญญาณมืดภายในบาตรล้วนถูกโปรดสัตว์ ปลดปล่อย เสื่อมสลาย เหลือไว้แต่ไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานผุดผ่องสายแล้วสายเล่า
“นับวันก็ยิ่งน้อยลงทุกที…”
หลินสวินเก็บบาตร รู้ว่าควรเปลี่ยนสถานที่ใหม่แล้ว
หนึ่งปีมานี้ทุกระยะหนึ่งเขาก็จะมุ่งหน้ามาที่อุโมงค์เสี้ยวมารหนึ่งเที่ยว เพื่อรวบรวมไอพิสุทธิ์ฟ้าประทาน
แต่เห็นได้ชัดว่าเสี้ยววิญญาณจิตอาฆาตภายในอุโมงค์เสี้ยวมารเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว
สวบ!
หลินสวินจากไปอย่างสบายๆ ไม่มัวโอ้เอ้
ออกจากอุโมงค์เสี้ยวมารไม่ทันไร หลินสวินก็ไปยังพื้นที่อันตรายอีกส่วนที่ก่อนหน้านี้ถูกเขามองทะลุต่อ เก็บเกี่ยวไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานสายแล้วสายเล่า
หืม?
ตอนที่หลินสวินเพิ่งคิดจะกลับพื้นที่สถูป จู่ๆ ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าขึ้นมองไปไกลๆ
นกสีขาวหิมะตัวหนึ่งราวกับสายรุ้งพุ่งโฉบมาจากระยะไกล ยังไม่ทันโรยตัวลงมาก็เอ่ยปากด้วยเสียงเคารพ “คุณชายหลิน แม่นางหลิ่นเสวี่ยนายท่านของข้ามีเรื่องจะแจ้ง”
นี่คือวิหคมังกรคิ้วขาวตัวหนึ่ง เป็นนกปีศาจที่หายากยิ่ง ภายในร่างกายไหลเวียนด้วยเลือดมังกร พรสวรรค์แปลกล้ำ
“แม่นางหลิ่นเสวี่ยหาข้ามีธุระใดหรือ”
หลินสวินเอ่ยถาม
“นายท่านของข้าบอกว่า ครึ่งปีให้หลัง ผนึกของแดนโบราณหมื่นคชาภายในแดนอสนีบูรพาจะสลายหมดสิ้น หากคุณชายหลินตั้งใจจะมุ่งหน้าไปสืบเสาะ โปรดนำป้ายคำสั่งนี้มุ่งสู่แดนอสนีบูรพา ถึงตอนนั้นขอแค่บดขยี้ป้ายคำสั่งนี้ นายท่านของข้าก็จะมารับคุณชายไปเอง”
วิหคมังกรคิ้วขาวกล่าวพลางปีกสยายกว้าง ยื่นป้ายหยกสีเขียวอ่อนชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน
หลินสวินรับป้ายหยกเอาไว้ กล่าวว่า “ขอบคุณยิ่งแล้ว เจ้ากลับไปบอกนายท่านของเจ้า บอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปเยือนแน่นอน”
พรึ่บ!
วิหคมังกรคิ้วขาวสยายปีกจากไป เงาร่างดุจสายฟ้า ไม่นานก็อันตรธานหายไป
“ครึ่งปี? เพียงพอแล้ว…”
กล่าวพึมพำครู่หนึ่ง หลินสวินก็วกกลับพื้นที่สถูป
…
สามเดือนต่อมา
ตูม!
พร้อมๆ กับปราณกระบี่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งร่วงลงมา โครงกระดูกอริยะกระบี่นั่นพลันทรุดครืนดังตูม กลายเป็นเถ้าถ่านทั่วพื้นและสลายหายไป
ไกลออกไปสีหน้าหลินสวินเรียบนิ่งไม่หวั่นไหว มีเพียงนัยน์ตาดำพลุ่งพล่านด้วยลำแสงเทพที่ชวนสยดสยอง
กระบวนท่ากระบี่ที่จักรพรรดิสงครามอู๋ยางเหลือทิ้งไว้ ถูกเขาบรรลุไปห้าส่วนแล้ว!
ทันทีที่ปราณกระบี่นี้โฉบพุ่ง อานุภาพดุดันดุจช่วงชิงศุภโชค เพียงพอจะสะเทือนฟ้าดิน
และในวันนี้เอง หลินสวินต้อนรับจุดเปลี่ยนเลื่อนระดับ ‘เคราะห์มารผจญ’ อมตะเคราะห์ด่านที่หกซึ่งลงมาเยือน
…
ในวันนี้เมฆาเคราะห์ดุจกระแสน้ำมืดทะมึนปิดครองเวิ้งฟ้าเหนือพื้นที่สถูป พลังจากอานุภาพธรรมชาติพาให้กลางฟ้าดินเปี่ยมด้วยกลิ่นอายบีบคั้น
จากนั้นอสนีเคราะห์ก็มาเยือน อสนีบาตดุจงูตัวยาวร่ายรำบ้าคลั่งกลางฟ้าดิน ทำเอาภูเขาใหญ่ที่เกิดจากกองกระดูกทับถมล้วนระเบิดเป็นจุณ กลายเป็นผุยผง
มารผจญ ถูกมองเป็นบ่วงพันธนาการและกรรมชั่วที่เป็นอุปสรรคต่อมรรควิถีฝึกปราณ
ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่เหยียบย่างมรรคา ล้วนมีมารผจญเป็นของตนทั้งสิ้น
อย่างความคับแค้น ความชิงชัง กิเลส… ก็เหมือนเรื่องราวส่วนหนึ่งที่เคยประสบมา ล้วนสามารถกลายเป็นมารผจญได้แบบหนึ่ง ดุจดั่งโซ่ตรวนไร้รูป แฝงเร้นอยู่ในจิตใจ
และอมตะเคราะห์ด่านหก สิ่งที่มุ่งเน้นก็คือมารผจญของผู้ฝึกปราณ
คำกล่าวที่ว่ามารผจญดุจโจรกลางใจ หากไม่ฆ่ามัน จิตใจก็ยากจะสงบ มรรคก็ยากจะเสถียร!
หลินสวินประสบกับอันตรายใหญ่หลวงและน่าสะพรึงครั้งใหญ่เจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ สุดท้ายก็ข้ามด่านเคราะห์นี้ไปได้ กำจัดมารกลางใจ!
กระบวนการไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือผ่านเคราะห์มารผจญครั้งนี้ หลินสวินถึงเพิ่งค้นพบว่า ที่แท้ในหลายปีมานี้ที่ฝึกปราณมา ภายในใจของเขาได้สั่งสมมารในใจไว้มากมายตั้งแต่แรกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ประหนึ่งโจรในใจที่ไร้รูป ไม่เคยถูกตนสังเกตเห็นมาก่อนเลยสักนิด
อย่างเช่นความแค้นที่มีต่ออวิ๋นชิ่งไป๋ ความละอายต่อจ้าวจิ่งเซวียน ความกังวลต่ออาหลู่… ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ความจริงแล้วต่างถูกมองเป็นมารกลางใจได้ทั้งสิ้น
ยามนี้หลินสวินทลายมารกลางใจ ข้ามเคราะห์สวรรค์ จิตสงบ ตั้งมั่นในมรรควิถี!
นี่หาใช่การทอดทิ้งและลืมเลือน หากแต่เป็นการตัดมาร ทลายมารกลางใจ ในการฝึกปราณภายภาคหน้าก็จะไม่มีผลกระทบต่อมรรคาแห่งตนอีกต่อไป
ข้ามด่านเคราะห์นี้ หลินสวินสิ้นเปลืองเวลาไปหลายวันกว่าจะทำให้ปราณของตนมั่นคงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านหกอย่างแท้จริงคนหนึ่ง!
เมื่อราวๆ สองปีก่อน เขาเพิ่งจะมีปราณแค่อมตะเคราะห์ด่านสี่เท่านั้น…
เวลาสองปี ทลายอมตะเคราะห์สองด่านรวด มรรควิถีบังเกิดการเปลี่ยนแปลงสองครา ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้ไม่ถึงขั้นพิสดารสะท้านโลก แต่ก็ไม่ช้าอย่างแน่นอน
ที่หายากที่สุดคือ ทุกย่างก้าวของหลินสวินล้วนมั่นคงหาใดเปรียบ หากพูดถึงความแข็งแกร่งแห่งรากฐาน เกรงว่าในหมู่คนรุ่นเดียวกันคงไม่มีใครเทียบได้!
‘ก็ไม่รู้ว่าจากพลังต่อสู้ของข้ายามนี้ จะอยู่ระดับไหนในแดนเก้าบนกันนะ…’
นัยน์ตาหลินสวินลุ่มลึก จมสู่ภวังค์ความคิด
………………….