บทที่ 1322 คนเหล็กเอวมฤตยู

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,322 คนเหล็กเอวมฤตยู

“นางผู้นั้นหรือเจ้าคะ? นางก็ยังคงดื่มสุราหัวราน้ำอยู่เช่นเดิม”

เด็กสาวเท้าเปล่ากล่าวตอบ “วันทั้งวันนางไม่ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ”

“นางยังคงดื่มสุราอยู่อีกหรือ?”

ใต้เท้าเหลียนมีสีหน้าแปลกประหลาด “นับจากนี้ไป หน้าที่ของเจ้าคือการจับตามองเจี๋ยนเซียวเหยากับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเท่านั้น ไม่ต้องทำอย่างอื่นอีกแล้ว และก็ไม่ต้องตามหาหัวขโมยที่บุกรุกเข้าวิหารต้องห้ามด้วย”

“รับทราบเจ้าค่ะ ใต้เท้า”

เด็กสาวเท้าเปล่าประสานมือด้วยความเคารพ “แต่ในเมื่อเจี๋ยนเซียวเหยามีโอกาสจะกลายเป็นเทพเจ้าใต้อาณัติของใต้เท้ากั้ว ให้ข้าน้อยไปลักพาตัวเขามาเพื่อ…”

“โชคชะตาที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาด้วยการลักพาตัวหรอกนะ”

ใต้เท้าเหลียนยกมือโบกสะบัด “ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ไม่ต้องทำตามวิธีการของเจ้า”

“รับทราบเจ้าค่ะ ใต้เท้า”

เด็กสาวเท้าเปล่าโค้งตัวคำนับ เสื้อคลุมสีดำของนางขับเน้นให้เห็นถึงช่วงเอวคอดกิ่วสมส่วนชวนมอง

นางถอยหลังกลับไป

ใต้เท้าเหลียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม คล้ายกับกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

หลังจากนั้นอึดใจใหญ่ นางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“หรือว่าเขาจะเป็นท่านมหาเทพคนใหม่กันนะ?”

คฤหาสน์ตระกูลเจียง

“เป็นไปได้อย่างไร?”

ฮูหยินเจียงอุทานออกมาหลังได้ยินผู้เป็นสามีพูดจบลง

“เจี๋ยนเซียวเหยากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเราแตะต้องไม่ได้อีกแล้ว”

เจียงจิวเหอมองหน้าภรรยาและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าสั่งให้พ่อบ้านแอบไปกระทำ ข้าได้สกัดขัดขวางไว้หมดแล้ว มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่าตระกูลเจียงของเราจะเป็นอย่างไรหากร่วมมือกับพานตั่วชิงจากเผ่าเทพตะวัน? ตระกูลของพวกเราคงล่มสลายไปแล้ว”

“แต่ว่า… แต่ว่า…”

ฮูหยินเจียงยังคงพยายามโต้แย้งอย่างไม่ยอมแพ้ “หลินเอ๋อร์บุตรสาวของเรายังครึ่งเป็นครึ่งตาย ท่านจะปล่อยไว้เช่นนี้หรือ?”

“หลินเอ๋อร์ครึ่งเป็นครึ่งตายก็ดีกว่าปล่อยให้ตระกูลเจียงล่มสลาย”

เจียงจิวเหอพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าวางใจเถอะ อย่าได้ทำอะไรอีกเลย มิเช่นนั้น เจ้ากับข้าคงได้เจอมหันตภัยใหญ่หลวงเป็นแน่แท้”

“ข้า… แต่ว่าหลินเอ๋อร์…”

“ข้าบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวจะจัดการเอง”

“ถ้าอย่างนั้น… ก็ได้ ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว”

“ประเสริฐ สมควรเป็นเช่นนั้น”

กล่าวจบ เจียงจิวเหอก็หมุนตัวกำลังจะเดินจากไป

ทันใดนั้น ฮูหยินเจียงนึกอะไรได้บางอย่างจึงร้องเรียกว่า “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ หากเสี่ยวไป๋… หากนางเผชิญหน้ากับเจี๋ยนเซียวเหยาในการแข่งขันรอบต่อไป นางจะเป็นอันตรายหรือไม่? คือว่า… เราให้นางถอนตัวออกมาไม่ดีกว่าหรือ”

เจียงจิวเหอส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ข้าคุยกับเสี่ยวไป๋แล้ว แต่นางไม่ยอมถอนตัว”

ฮูหยินเจียงมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสมควรทำอย่างไรดี?”

เจียงจิวเหอเดินเข้ามาสวมกอดผู้เป็นภรรยาและปลอบโยนว่า “เดี๋ยวข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

พื้นที่ชานเมือง

ภายในคฤหาสน์หลังงาม

แมวหนึ่งตัว สุนัขหนึ่งตัว นกสองตัว

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงนอนแผ่หราอยู่บนผ้าปูผืนหนึ่ง

แสงแดดสาดส่องลงมาผ่านยอดโดมของห้องโถงใหญ่ส่องต้องใบหน้าของนางเข้าพอดี

หลังจากห้องโถงใหญ่ของนางได้รับการซ่อมแซมจากช่างฝีมือระดับสูง ห้องแห่งนี้ก็กลับมาสว่างไสวและอบอุ่นอีกครั้ง น่าเสียดายที่ในอากาศกลับเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราชวนคลื่นไส้มากเกินไป

บนพื้นปรากฏไหสุรามากมาย

บนผิวที่ขาวเนียนของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงปรากฏอักขระโบราณสีแดงขึ้นเต็มพรืด…

กาลเวลาคล้ายกับหยุดนิ่ง

พื้นที่ใจกลางห้องโถงใหญ่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพีกระบี่ที่ใช้สำหรับสื่อสารกับสาวกที่อยู่บนโลกมนุษย์เบื้องล่าง ขณะนี้รูปปั้นตัวนี้กำลังเรืองแสงสว่างไสว พร้อมกันนั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังออกมาไม่ขาดสาย…

เปรี๊ยะ!

ช่องว่างบนรูปปั้นเปิดออก

แสงสว่างหรี่ลงไปเล็กน้อย

หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว

ในห้องรับรองมีหญิงสาวเข้ามาขับร้องและเต้นรำให้รับชมอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ

“กราบเรียนนายท่าน นี่คือคุณชายมู่จากเผ่าเทพไม้เขียว เขาชื่นชมนายท่านมากเลยขอรับ จึงอยากจะมาฝากตัวเป็นผู้ติดตามของนายท่าน”

ลู่ปิงเหวินผู้มีใบหน้าซีดขาวและเบ้าตาลึกโหลแนะนำตัวสหายคนใหม่พร้อมกับใช้มือนวดเอวไปด้วย

คุณชายมู่เป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสองปี มีผมยาวสลวยสีเขียวมรกต ใบหน้าหวานหยดราวกับสตรี แต่ร่างกายกำยำล่ำสัน มีความสูงมากกว่าเก้าเซียะ บนร่างกายสวมใส่ชุดสีเขียวแปลกประหลาด

“ข้าน้อยขอคารวะคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยา”

บุรุษหนุ่มผมเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ

และอากัปกิริยาของคุณชายมู่ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากลู่ปิงเหวินเพราะระหว่างที่เขาแนะนำตัวอยู่นี้ คุณชายมู่ก็มีใบหน้าซีดเซียว เบ้าตาลึกโหล ลักษณะท่าทีอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง

“นั่งลงเถอะ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ตนเองเริ่มมีสาวกอยู่ในดินแดนทวยเทพแล้ว

ไม่ทราบว่าการมีสาวกในดินแดนทวยเทพ จะให้ค่าพลังกับเขามากกว่าการมีสาวกบนโลกมนุษย์หรือไม่?

อาจจะแตกต่างกันประมาณสิบเท่าก็ได้กระมัง?

หลินเป่ยเฉินอยากจะนำโทรศัพท์มือถือออกมาตรวจดูยอดผู้ติดตามในแอปเวยป๋อของเขาจริง ๆ

วันนี้ผู้ดูแลหอสุรามารับใช้พวกเขาด้วยตนเอง

“เถ้าแก่ เชิญตัวนางรำที่สวยที่สุดในหอสุราของท่านมาหน่อยสิ แล้วก็ให้คุณชายมู่ได้คัดเลือก…”

ลู่ปิงเหวินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ทันใดนั้น สีหน้าของคุณชายมู่ก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายังคงใช้สองมือนวดเอวของตนเองและกล่าวว่า “ไม่เอาแล้ว เอวของข้าไม่ไหวแล้ว ข้าคงไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีไปอีกนานทีเดียว…”

ลู่ปิงเหวินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

คุณชายมู่อดหัวเราะบ้างไม่ได้ว่า “มีอะไร? ในเมื่อคุณชายลู่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็รับพวกนางมาดูแลสักอีกสองคนเป็นอย่างไร…”

“เฮ้อ ไม่จำเป็นหรอก”

ลู่ปิงเหวินแสดงสีหน้าเหมือนนักบวชผู้ทรงศีลและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้ากำลังสนใจแต่การฝึกวิชาเท่านั้น ยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสตรีในตอนนี้”

คุณชายมู่พูดอะไรไม่ออก

ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

หากไม่ใช่เพราะว่ายังมีสาวรับใช้นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่อีกหลายนาง พวกเขาก็คงเชื่อถือคำพูดนี้แล้ว

บรรดาบุรุษหนุ่มนั่งลง

เถ้าแก่เดินกลับออกไปด้วยความเศร้า

เขานึกว่าตนเองจะมีลูกค้ารายใหญ่ แต่ที่ไหนได้ บุรุษหนุ่มกลุ่มนี้กลับสั่งเพียงน้ำชาและไม่รับสุราเลยสักไหด้วยซ้ำ

“กราบเรียนนายท่าน คุณชายมู่กับข้าน้อยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนกระทั่งเราได้มาแข่งขันวัดพลังกันในครั้งนี้” ลู่ปิงเหวินเริ่มเท้าความขณะดื่มน้ำชา

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตกลงใครเป็นผู้ชนะล่ะ?”

ลู่ปิงเหวินเบิกตาโต

คุณชายมู่หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย

“นายท่านทราบข่าวแล้วหรือขอรับ?”

ลู่ปิงเหวินสีหน้าเศร้าสลด นวดเอวตนเองด้วยความปวดเมื่อย

“ยังจะต้องถามอีกหรือ? ก่อนที่ข้าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเบิกฟ้า ข้าได้ยินผู้คนพูดคุยกันว่าพวกเจ้าทั้งสองคนกำลังแข่งขันวัดพลังความแข็งแกร่งเชิงชาย หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา พวกเจ้ากลับยังแข่งขันไม่เลิกรา…”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “พวกเจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยนะ ผลสุดท้ายใครเป็นผู้ชนะ?”

บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ทั้งสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะตอบเสียงละห้อย

“เสมอขอรับ…”

“ว่าไงนะ?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น “ดูเหมือนคงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นใช่หรือไม่?”

ลู่ปิงเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ในที่สุดก็กล่าวตอบด้วยความคับแค้นใจ “ข้าน้อยกับคุณชายมู่ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ เรากำลังจะเปลี่ยนสาวรับใช้คนใหม่ แต่ทันใดนั้นกลับมีผู้เข้าแข่งขันบุคคลที่สามทำลายสถิติของพวกเราเสียย่อยยับ… เฮ้อ พวกเราจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เขาทั้งคู่ขอรับ”

“หา?”

หลินเป่ยเฉินยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ “เขาใช้เวลานานยิ่งกว่าพวกเจ้าอีกหรือ?”

“เปล่าขอรับ”

คุณชายมู่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “เขาใช้เวลารวดเร็วที่สุดต่างหาก เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น สาวรับใช้ของเขาก็ส่งเสียงครางออกมาแล้ว”

พรวด!

หลินเป่ยเฉินสำลักน้ำชาออกมาเล็กน้อย

“ที่นี่มีพวกเสือปืนไวด้วยหรือ?”

เขาถาม

“เสือปืนไวหมายถึงอะไรขอรับ?”

ลู่ปิงเหวินมีสีหน้างงงวย ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “เจ้าหมอนั่นแต่งกายซอมซ่อ ในมือถือถ่อไม่ไผ่ อ้างตนว่าเป็นคนถ่อแพจากแม่น้ำใต้ดิน แต่ข้าน้อยคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงนี้”

“โอ๊ะ อย่าบอกนะว่าหมอนั่นชื่อฮั่วเซี่ย?”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

“ใช่แล้วขอรับ เขามีชื่อนั้นเอง”

คุณชายมู่กัดฟันกรอด “เขาแย่งชิงความโดดเด่นจากข้าและคุณชายลู่ไปทั้งหมด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นกลับมีเทพเจ้าระดับสูงออกมาต้อนรับฮั่วเซี่ยอย่างเป็นทางการ พวกเราทำอะไรไม่ได้จึงต้องถอนตัวกลับมาขอรับ”

“ดูเหมือนว่าฮั่วเซี่ยผู้นี้จะได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้าเหยาขอรับ และเขาก็เลือกที่จะเป็นสาวกของใต้เท้าเหยาเช่นกัน” ลู่ปิงเหวินพูดออกมาด้วยความอิจฉาริษยา

ใต้เท้าเหยาคือหนึ่งในห้าเทพเจ้าชนชั้นเจ้าชีวิตของสภาเทพเจ้า เป็นบุคคลที่ไม่ควรไปตอแยอย่างเด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด

มีเทพเจ้าระดับบอสปรากฏตัวออกมาอีกแล้วสินะ?

เทพเจ้าพวกนี้มีเวลาว่างนักหรือไง?

ลู่ปิงเหวินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นายท่านขอรับ พวกเราได้ยินเรื่องราวของนายท่านในงานเลี้ยงเบิกฟ้าแล้ว น่าตกตะลึงมากเลยขอรับ เมื่อพวกเราได้รับทราบข่าว คุณชายมู่ก็อยากจะเป็นผู้ติดตามของนายท่านทันที และเมื่อข้าบอกเขาว่านายท่านปรารถนาอยากจะได้โอสถหัวใจพฤกษา คุณชายมู่ก็บอกว่ายินดีจะช่วยเหลือ ข้าน้อยจึงพาเขามาหานายท่านนี่แหละขอรับ”