บทที่ 638.2 คนเดินทางไกลล้วนคือผู่กงอิง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันชำเลืองตามองหมี่อวี้

ฝ่ายหลังเข้าใจได้โดยพลัน ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใต้เท้าอิ่นกวานมอบให้ ข้าหมี่อวี้เป็นคนไม่ลืมมิตรภาพเก่าเป็นที่สุด ฟ้าดินเป็นพยานได้!

เฉินฉุนอันใช้แสงจันทร์ช่วยหลอมกระบี่ให้หมี่อวี้เสร็จก็สอดเก็บเข้าไปในฝัก

กระบี่พกพลันพุ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหมี่อวี้ทันใด

หมี่อวี้ประสานมือคารวะ “หมี่อวี้ขอบพระคุณอริยะผู้เฒ่าผู้รอบรู้”

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “เรื่องนี้ทำได้ดียิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การกระทำของวิญญูชนนะ”

เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนนี้ผู้น้อยไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ใช่วิญญูชน”

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ต่างจากอาจารย์ของเจ้าสักเท่าไร ชอบยกเอาเรื่องยศศักดิ์มาพูดเป็นพี่สุด อะไรที่ว่า ‘ชีวิตนี้ข้าไม่เคยเป็นนักปราชญ์ ไม่เคยเป็นวิญญูชนมาก่อน’ ‘มีแต่พวกเจ้าทั้งนั้นที่ยัดเยียดสถานะอริยะมาให้ข้า เคยถามข้าบ้างไหมว่าข้าเต็มใจหรือไม่ เป็นอริยะ ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว พวกเจ้าจะเอาอย่างไรอีก’”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร

ในเมื่อรับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์แล้ว ก็ยิ่งควรต้องเลี่ยงเอ่ยถึงผู้อาวุโสที่ให้ความเคารพ

เฉินฉุนอันกล่าวอย่างสะท้อนใจ “การศึกษาหาความรู้ของลัทธิขงจื๊อเที่ยงตรงเป็นกลาง คุณธรรมส่องสว่าง”

ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล เงียบงันไปนานก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ความคิดของนักปราชญ์ ควรจะรอบคอบรัดกุม คำพูดของวิญญูชน ควรละเอียดล้ำค่า”

เฉินผิงอันได้ฟังก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงหลุดปากพูดไปว่า “ฝึกบำเพ็ญแรงกาย หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ ล้วนไม่หล่นลงบนความว่างเปล่า ยึดครองคำว่าหลักการเหตุผล ฝึกบำเพ็ญจิตใจ เพื่อแสวงหาความยิ่งใหญ่จากจุดสูงที่จับต้องไม่ได้ และต้องถามจิตดั้งเดิมจากเรื่องที่เล็กที่สุด”

สำหรับคำเอ่ยนี้ ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ

นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็กลับมาอยู่ในห้องโดยสารของเรือข้ามฟาก

เขาถูกเฉินฉุนอันโยนออกมาด้านนอก

ป๋ายซียังคงยืนอยู่ที่เดิม

ฟ้าดินกว้างใหญ่ เขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่งจะหนีไปไหนได้? ต่อให้ไม่มีใครขัดขวาง ปล่อยให้เขาสละเรือข้ามฟากทิ้ง แต่จะให้เขาไปหลบซ่อนอยู่ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลนี่น่ะหรือ? หรือว่าจะทุ่มสุดชีวิตมุ่งหน้ากลับไปยังถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีป?

อิ่นกวานท่านหนึ่ง เซียนกระบี่สี่ท่าน แล้วยังรวมเฉินฉุนอันบุคคลอันดับหนึ่งของทักษินาตยทวีปเข้าไปอีกคน

ป๋ายซีรู้สึกว่าต่อให้ตนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วหนีเข้าไปในกองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าของเรือป๋าย เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?”

ป๋ายซีตอบไม่ตรงคำถาม ประโยคแรกหลังจากได้พบว่าหน้าอิ่นกวานหนุ่มก็เอ่ยทันทีว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้ายินดีทำความดีชดใช้ความผิด! ขอแค่สามารถมีชีวิตรอดต่อไป ข้าก็สามารถทำได้ทุกเรื่อง! เรื่องที่บรรพบุรุษของข้าสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ ข้าสามารถเป็นพยานให้ใต้เท้าอิ่นกวานได้! ถ้ำซานสุ่ยมีทรัพย์สินเท่าไร ข้ารู้ชัดเจนดีที่สุด ทั้งหมดล้วนสามารถเอามาช่วยกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้…”

เฉินผิงอันนั่งลงเบาๆ ยิ้มพลางกวักมือเรียกตัดบทคำพูดของอีกฝ่าย “ทุกเรื่องล้วนสามารถสลายแค้นได้ด้วยเงินเทพเซียน นั่งลงคุยกัน จะรีบร้อนไปไย จะชดเชยอย่างไร ไม่ต้องรีบร้อน ส่วนเรื่องที่เจ้าคิดว่าควรจะเสี่ยงอันตรายจับข้าเป็นตัวประกัน ลองเดิมพันดูว่าขอบเขตของอิ่นกวานอาจจะไม่สูง อันที่จริงก็ไม่ต้องรีบร้อนเหมือนกัน”

ป๋ายซีเหงื่อแตกท่วมตัว ร่างแข็งทื่อ สีหน้าเลื่อนลอย ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้

“เจ้าของเรือป๋าย อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีหรอกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากจะพูดถึงเรื่องการเสแสร้ง เจ้าและข้าต่างเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน น่าเสียดายที่เจ้ามีอายุอยู่มานานอย่างเสียเปล่า ตบะในเรื่องนี้ยังไม่สูงพอ หากแข่งกันเรื่องความใจดำ แข่งกันด้วยขอบเขต แข่งกันด้วยทรัพย์สิน ไม่ว่าจะแข่งกันเรื่องใดก็ได้ทั้งนั้น มีเพียงเรื่องนี้ที่เจ้าสู้ข้าไม่ได้”

ป๋ายซีพลันลุกขึ้นยืน เก้าอี้ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ถอยหลังไปหลายก้าว คุกเข่าลงบนพื้นแล้วเริ่มโขกหัวอ้อนวอน “ใต้เท้าอิ่นกวานช่วยข้าด้วย!”

เพราะอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป ด้านหลังเขาก็คือเซียนกระบี่หมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า

เฉินผิงอันรินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ยิ้มถามว่า “วัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่อ ของส่วนตัว ของสำนัก ล้วนเอาออกมาให้หมดเถอะ จำไว้ว่าช่วยเปิดให้ด้วย หากความจริงใจมีมากพอ ข้าไม่ถือสาหากจะปล่อยให้เจ้าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ได้นั่งบนเก้าอี้อันดับหนึ่งของถ้ำซานสุ่ย ขอบเขตของข้าเป็นอย่างไร หรือประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร คาดว่าตอนนี้เจ้าอาจจะยังมึนงงสับสน แต่ข้าเป็นคนอย่างไรกันแน่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนดีแล้ว ชอบแสวงหาผลประโยชน์แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นที่สุด โอกาสสุดท้าย จงทะนุถนอมให้ดี”

เวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป

บนโต๊ะด้านหน้าอิ่นกวานหนุ่มก็วางแท่นฝนหมึกโบราณที่แกะสลักเป็นรูปตำหนักตั้งตระหง่านกลางคลื่นมหาสมุทร เป็นวัตถุจื่อชื่อของถ้ำซานสุ่ย และยังมีพัดกลมที่มีกลิ่นอายความเป็นสตรีค่อนข้างเข้มข้นอีกชิ้นหนึ่ง นี่เป็นวัตถุฟางชุ่นของส่วนตัวของผู้ดูแลเรือข้ามฟากท่านนี้ ด้านในล้วนใส่ของดีและเงินเทพเซียนเอาไว้ไม่น้อย

เรื่องลับบางอย่างของถ้ำซานสุ่ยก็ถูกป๋ายซีร่ายออกมามากถึงเจ็ดแปดส่วน แน่นอนว่าไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่

ป๋ายซีไม่ใช่คนโง่

เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่โง่

เฉินผิงอันหยิบพัดพับไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมาโบกลมเบาๆ ขณะเดียวกันก็ให้หมี่อวี้เก็บวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นนั้นเอาไว้ หากมีปราณสังหารซ่อนอยู่จริง เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ก็ต้องเป็นคนแบกรับ ต่อให้จะแบกรับไม่ค่อยไหว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้อิ่นกวานที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเป็นคนแบกรับไว้กระมัง

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอนตัวไปด้านหลัง หันหน้ามาถามว่า “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? จัดการเขาซะสิ จะเก็บเอาไว้เป็นกับแกล้มหรือทำกับข้าวล่ะ?”

ทั้งป๋ายซีและหมี่อวี้ต่างก็อึ้งตะลึง

จากนั้นฟ้าดินก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

กระบี่หนึ่งของหมี่อวี้ฟันฉับลงไป นึกไม่ถึงว่าจะราบรื่นเพียงนี้ ไม่ต่างจากยามที่ร่างอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยสักนิด ไม่มีกลิ่นอายการสยบกำราบจากฟ้าดินขนาดเล็กเลย กลับกลายเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดผู้นั้นเสียอีกที่ชะงักค้างไปเล็กน้อย

หนึ่งเร็วหนึ่งช้านี้ บวกกับที่ความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบและผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิด ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น

กระบี่นั้นของหมี่อวี้ฟันร่างของป๋ายซีก่อกำเนิดให้ขาดออกเป็นสองท่อน ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่โอสถทองและทารกก่อกำเนิดของอีกฝ่ายก็ล้วนกลายเป็นสองท่อนไปด้วย

เพียงแต่ว่าเมื่อหมี่อวี้เตรียมจะส่งกระบี่ออกไปอีกครั้ง อิ่นกวานหนุ่มกลับเป็นคนลงมือเอง เขาใช้วิชาลับที่แลกเปลี่ยนกับหลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนในปีนั้นมารวบรวมและพันธนาการเศษซากจิตวิญญาณที่เหลือของอีกฝ่ายไว้ในฝ่ามือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอให้ข้าช่วยเจ้า ข้าก็ช่วยเจ้าแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่? ควรจะขอบคุณข้าอย่างไร?”

ดวงวิญญาณกลุ่มนั้นที่เจ็บปวดทรมานอดกลั้นไว้ไม่ร้องโอดครวญ เพียงพูดเสียงสั่นว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเชิญพูดมาได้เลย เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไข…”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “บอกแล้วว่าให้เจ้าจริงใจหน่อย ไม่ฟังกันใช่ไหม? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ไม่ค่อยดีล่ะสิ? ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกเรื่องลับโสมมที่ไม่อาจเปิดเผยอย่างแท้จริงของถ้ำซานสุ่ยแก่ข้า แล้วเจ้าจะมีชีวิตรอด ขอบเขตของเจ้าสูงเกินไป ให้เจ้าไปเป็นเจ้าสำนักคนถัดไปของถ้ำซานสุ่ย ข้าไม่ค่อยวางใจ ตอนนี้กำลังดี ขอบเขตถูกทำลายสิ้น ในอนาคตทุกครั้งที่เจอข้าก็ได้แต่อาศัยเงินเทพเซียนเท่านั้น”

จิตวิญญาณดวงนั้นไม่ปิดบังอีกต่อไป เล่าเรื่องลับทั้งหมดของบรรพบุรุษถ้ำซานสุ่ย รวมไปถึง ‘กระต่ายเจ้าเล่ห์ขุดรูสามโพรง กระจายสมบัติไปทั่วทิศ’ ที่เป็นเรื่องขึ้นชื่อของถ้ำซานสุ่ย

“ใช้ความตายมาขอบคุณข้า”

เฉินผิงอันพยักหน้า นิ้วทั้งห้ากำเข้าหากัน ใช้พายุหมัดบดขยี้จิตวิญญาณที่อ่อนแออย่างถึงที่สุดดวงนั้นจนแหลกลาญ จากนั้นก็หุบพัดพับ โบกปัดเถ้าถ่านของจิตวิญญาณที่เป็นมายาล่องลอยทิ้งไป ก่อนใช้ด้ามพัดยันตรงหัวใจ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แปลกใจหรือไม่?”

หมี่อวี้ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิดอีกแล้ว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เก็บพัดลงไป ถามว่า “ลู่จือต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะสามารถสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ไม่สมชื่อตนนั้นได้ อีกอย่างมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะถามจนรู้เรื่องร่างจริงของปีศาจใหญ่?”

หมี่อวี้มีสีหน้าลำบากใจ

จะให้เขาไปถามใครล่ะ? ถามลู่จือ? นางแยแสตนเสียที่ไหน ถามเฉินฉุนอัน? หมี่อวี้ไม่มีหน้าไปถามหรอก

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เจ้าช่วยมีความสามารถหน่อยได้ไหม”

หมี่อวี้รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมยิ่งนัก

แต่จากนั้นหมี่อวี้ก็เริ่มเกิดความสงสัย เขากวาดตามองไปรอบด้านจึงพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่เป็นหมอนปักลายบุปผาแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเซียนกระบี่ สายตาจึงยังมีแววอยู่บ้าง

นี่ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใต้เท้าอิ่นกวานเราหรอกหรือ?!

เฉินผิงอันเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นลงไป เดินไปตรงหน้าต่าง

หมี่อวี้สอดกระบี่กลับใส่ฝัก คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอีกฝ่าย

ในฟ้าดินตะวันจันทราแห่งหนึ่ง ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่กำลังต่อสู้กับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน

ในฟ้าดินขนาดเล็กที่เป็นดั่งนกในกรง หมี่อวี้ออกกระบี่สังหารป๋ายซีผู้เป็นก่อกำเนิด จากนั้นดวงวิญญาณของป๋ายซีก็ถูกเฉินผิงอันใช้เวทลับกักขัง แล้วใช้พายุหมัดสังหาร

ผู้ฝึกลมปราณทุกคนของเรือข้ามฟากอ่างกระเบื้องลำนี้กลับไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย

จากนั้นต่อมา

เรือข้ามฟากอ่างกระเบื้องก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปอย่างมั่นคงปลอดภัย

เพียงแต่ขาดปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตนหนึ่งและป๋ายซีเจ้าของเรือที่กายดับมรรคาสลายไป

มีลู่จือเพิ่มเข้ามา เฉินฉุนอันไม่ได้เดินทางมาด้วย แต่กลับมอบหยกพกของลัทธิขงจื๊อชิ้นหนึ่งไว้ให้กับลู่จือ

นอกจากนี้ก็มีเส้าอวิ๋นเหยียนที่ทำหน้าที่ช่วยลู่จือเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่ถ้ำซานสุ่ย

แม้จะเป็นเรื่องเละเทะ แต่เงินเทพเซียนก็ไม่น้อยเลยจริงๆ

เรือนชุนฟานในนามของเซียนกระบี่เส้าได้รับผลประโยชน์ไปส่วนหนึ่ง

เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ตลอดทั้งเรือนชุนฟานล้วนกลายเป็น ‘สมบัติส่วนตัว’ ของสายอิ่นกวานกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว ขนาดเส้าอวิ๋นเหยียนก็ยังไม่เข้าใจว่าผลประโยชน์ส่วนหนึ่งนี้จะมีความหมายอะไร

ส่วนเรื่องที่ว่าควรจะจัดการกับถ้ำซานสุ่ยอย่างไร ขั้นตอนทั้งหลายเหล่านั้น เฉินผิงอันได้อธิบายให้ลู่จือและเส้าอวิ๋นเหยียนฟังอย่างละเอียดแล้ว

ลู่จือฟังด้วยความใจลอย เพราะถึงอย่างไรก็มีเส้าอวิ๋นเหยียนอยู่ด้วย การเดินทางไปเยือนฝูเหยาทวีปของนางครั้งนี้ยังต้องปิดด่านเล็กๆ ครั้งหนึ่ง

ส่วนเซี่ยซงฮวาก็ย้อนกลับไปยังเรือข้ามฟากหนันจีของเจียงเกาไถ มุ่งหน้าไปธวัลทวีปด้วยกัน

ก่อนจะจากกัน อิ่นกวานหนุ่มอดไม่ไหวพร่ำพูดถึงเรื่องของเด็กน้อยสองคนนั้นขึ้นมาอีก เซี่ยซงฮวาโมโหหนัก ถามว่า ‘เจ้าคนผู้นี้ นี่เจ้าคิดว่าเด็กสองคนนั้นคือลูกสาวของเจ้ากับข้าหรืออย่างไร?’

อิ่นกวานหนุ่มถึงได้ยอมหุบปาก

เรื่องของการคิดคำนวณใจคน นางไม่ชอบ ยิ่งไม่ถนัด

เฉินผิงอันนั่งเรือยันต์กลับไปยังภูเขาห้อยหัวพร้อมกับหมี่อวี้

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวเรือ หันกลับมาชำเลืองตามองหมี่อวี้

หมี่อวี้ที่กำลังนั่งอย่างเกียจคร้านสบายอารมณ์อยู่ที่ท้ายเรือพลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง อะไร จะมีภาระหนักตกลงมาบนบ่าของข้าอีกแล้วหรือ?

มาๆๆ ดาหน้ากันเข้ามาเลย หากข้าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ขมวดคิ้วสักครั้งก็ไม่ใช่พี่ใหญ่ของสายอิ่นกวานแล้ว!

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยุ่งวุ่นวายอยู่นาน เซียนกระบี่เส้าได้รับผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากถ้ำซานสุ่ย เซียนกระบี่เซี่ยก็ชดใช้น้ำใจคืนจนหมด เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ได้รับผลประโยชน์ด้านวิถีกระบี่ บวกกับโอสถปีศาจบินทะยานเม็ดนั้น เซียนกระบี่หมี่ของเราก็ได้เลื่อนระดับขั้นให้กับกระบี่พก วัตถุจื่อชื่อและวัตถฟางชุ่นก็กลายเป็นของส่วนรวมของสายอิ่นกวานพวกเรา ดูเหมือนว่าทุกอย่างล้วนวิ่งผ่านเลยไปไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลยนะ?”

หมี่อวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าอิ่นกวานวางแผนอย่างรอบคอบ คุณความชอบอันดับหนึ่งในการสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานย่อมต้องตกเป็นของท่าน…”

เฉินผิงอันตัดบทหมี่อวี้ด้วยการจุ๊ปากพูด “ด้วยความสามารถในการประจบอันน้อยนิดนี้ของเจ้า หากไปถึงภูเขาบ้านเกิดของข้า อย่าว่าแต่เป็นผู้ถวายงานเลย เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก็ยังไม่คู่ควร”

หมี่อวี้เสียใจยิ่งนัก

เดิมทีเขาก็ไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว มหามรรคาของเขาอยู่ที่การใช้ความจริงใจแลกเปลี่ยนความจริงใจจากสตรีหน้าตางดงามมาโดยตลอดเลยนี่นา

เพียงแต่ไม่นานหมี่อวี้ก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคเหมือนคนวัวหายล้อมคอกว่า “หากไปถึงที่นั่นจริงๆ ใต้อิ่นกวานก็สามารถมอบหน้ารับรองเทพธิดาจากฝ่ายต่างๆ ที่มาเยือนภูเขาให้ข้าได้เลย หากเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ใต้เท้าอิ่นกวานก็สามารถลงโทษข้าได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มไม่จริงใจ “ไปตายไกลๆ เลย เดิมทีขนบธรรมเนียมของภูเขาบ้านข้าก็ลี้ลับมากพออยู่แล้ว แม้แต่เจ้าภูเขาอย่างข้าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกอบกู้กลับคืนมาได้ หากรวมเจ้าไปอีกคน วันหน้าชื่อเสียงจะไม่ฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนเลยหรือไร”

หมี่อวี้น้อยใจเหลือเกิน

เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดใต้เท้าอิ่นกวานถึงไม่รับโอสถปีศาจที่ลู่จือมอบให้? นางไม่อยากเก็บไว้จริงๆ หากคิดคำนวณคุณความชอบทางการสู้รบตามวิธีของสายอิ่นกวาน ก็ควรต้องเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ได้รับวัตถุชิ้นนี้ถึงจะถูก”

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่ง มองไปยังทัศนียภาพยิ่งใหญ่ที่คลื่นสีเขียวมรกตหมื่นลี้กว้างไกลไร้ขอบเขตสิ้นสุด พลางเอ่ยว่า “ใช่ว่าข้าไม่อยากรับไว้ เพียงแต่รับไว้ไม่ได้ ก็เลยรบกวนให้ลู่จือนำไปส่งมอบให้สหายคนหนึ่งที่ทักษินาตยทวีป”

หมี่อวี้ร้องอ้อทีหนึ่ง แล้วเขาที่รู้สึกตัวช้าก็นึกขึ้นมาได้ว่า โอสถของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเม็ดหนึ่ง หากนำไปไว้ที่ใต้หล้าไพศาลก็คงประมาณว่าได้รับร่างทองแก้วใสของผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ขอบเขตบินทะยานไปกระมัง?

นี่ยังเรียกว่า ‘ไม่เกี่ยวอะไร’ อีกหรือ?

เฉินผิงอันใช้พัดที่หุบไว้เคาะลงบนฝ่ามือ ยิ้มตาหยีหันหน้ามาถาม “หืม?”

หมี่อวี้รีบพูดอย่างสะท้อนใจทันทีว่า “ชายแขนเสื้อสองข้างของใต้เท้าอิ่นกวานมีแต่ลมเย็น (เปรียบเปรยว่าเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นขุนนางน้ำดี) ไม่เสียแรงที่เป็นคนในกลุ่มเทพเซียน ในนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญหรือเรื่องเล่าแปลกประหลาดทั้งหลายในใต้หล้าไพศาลล้วนควรต้องเปลี่ยนคำว่า ‘เจ๋อเซียน’ ให้กลายเป็น ‘เฉินผิงอัน’ ทั้งหมด”

หมี่อวี้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีแล้ว แม้จะยังไม่กล้าประมือกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างกวอจู๋จิ่ว แต่หากเทียบกับกู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ยแล้ว ในเรื่องนี้เขาก็น่าจะถือว่าพอมีพลังให้ต่อสู้ได้บ้างแล้ว

เฉินผิงอันหันตัวกลับไปมองยังทิศไกลต่ออีกครั้ง เขาเงียบไปนาน จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “หมี่อวี้ ดีใจมากที่พวกเราสามารถเปลี่ยนจากคนแปลกหน้ามาเป็นสหายกัน”

หมี่อวี้อึ้งไปพักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าเอ่ยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้พบเฉินผิงอัน”

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ในฐานะของขวัญก่อนจากลา เจ้ามอบพัดพับเล่มนั้นให้ผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดของแผ่นดินกลาง เจ้าเขียนเนื้อหาอะไรลงไปบนหน้าพัด?”

รอยยิ้มของหมี่อวี้กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ความรักชายหญิงที่ไม่มีค่าพอให้เอามาพูดคุยนี้ พูดไปแล้วก็มีแต่จะทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานขบขัน อย่าพูดถึงเลยดีกว่า อย่าพูดเลย”

เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ไหนลองพูดมาสิ”

หากพูดถึงแค่เรื่องการคบค้าสมาคมกับสตรี ตบะและขอบเขตของหมี่อวี้นั้นเรียกได้ว่าสูงส่งทะลุชั้นเมฆไปแล้ว