บทที่ 2084 เฮยทั่นหลุดพ้น

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“โยวเหม่ยช่างใส่ใจจริงๆ” อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน

จูโยวเหม่ยป้องปากหัวเราะ “คนที่ขาดคุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้ ตระกูลเถิงก็ไม่กล้าเก็บไว้เช่นกันค่ะ”

เมื่อเห็นมู่หรงซิงหัวมีอารมณ์แปลกไป อวิ๋นจือชิวก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก โบกมือบอกไปว่าเดินทางต่อไป

มู่หรงซิงหัวสับสนมึนงงนิดหน่อย สำหรับการตายของเฉาว่านเสียง นางก็ไม่ถึงขั้นทุกข์ใจอะไร และไม่ได้เจ็บปวดใจด้วย เพียงแต่รู้สึกว่าตายอย่างกะทันหันเกินไป ในสมองว่างเปล่าไปเลย

ซูอวิ้นถอนหายใจเบาๆ แล้วจูงแขนนางเหาะไปด้วยกัน…

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล เส้นทางยาวไกล ทุกคนของทัพใต้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน รวมตัวกันคุ้มครองส่งอวิ๋นจือชิวกลับจวนท่านอ๋องก่อน หลังจากคำนับท่านอ๋องแล้วถึงได้ขอตัวออกไป

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็พาจูโยวเหม่ยที่บอกว่าจะมาเยี่ยมชมจวนท่านอ๋องเที่ยวเล่นในจวนท่านอ๋อง ไม่สนใจว่าเที่ยวชมจริงหรือไม่ จูโยวเหม่ยย่อมต้องชมว่าทิวทัศน์งดงามอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นเขตลานบ้านส่วนใหญ่ในจวนท่านอ๋องยังว่างอยู่ จูโยวเหม่ยก็แปลกใจอยู่บ้าง “เหนียงเหนียง ทำไมมีลานบ้านว่างอยู่เยอะขนาดนี้คะ?”

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ว่างเหรอ? ท่านอ๋องของข้ารับอนุภรรยาเข้ามานับพันในรวดเดีย ตอนนี้ยังรอตรวจสอบตัวตนอยู่ข้างนอก ถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วเจ้าค่อยมาใหม่ก็ได้ คาดว่าในจวนท่านอ๋องคงจะคึกคักมาก”

ตอนนี้จูโยวเหม่ยเพิ่งจะเข้าใจ เรื่องรับอนุภรรยานับพันในรวดเดียว นางเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว นางป้องปากหัวเราะ “ท่านอ๋องเป็นคนองอาจห้าวหาญจริงๆ ด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงรับไม่ไหว”

องอาจห้าวหาญ? อวิ๋นจือชิวพึมพำในใจว่า แค่เนี่ยอู๋เยี่ยนคนเดียวก็ทำให้ท่านขุนนางเหมียวรับไม่ไหวแล้ว

และในตอนนี้เอง หยางเจาชิงก็มาหาพวกนางแล้ว “เหนียงเหนียง บรรดาท่านจอมพลไปหมดแล้ว ท่านอ๋องเชิญเถิงฮูหยินขอรับ”

แค่ได้ยินคำว่า ‘เถิงฮูหยิน’ ก็ทำให้จูโยวเหม่ยราวกับมีดอกไม้บานในใจแล้ว จูโยวเหม่ยโบกมือเล็กน้อย ให้คนตบรางวัลแก่หยางเจาชิงทันที ถ้าต้องการแสดงไมตรีต่อเหมียวอี้ การแสดงน้ำใจต่อลูกน้องคนสนิทข้างกายเหมียวอี้ย่อมได้ประโยชน์มาก

หยางเจาชิงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงระดับหนึ่ง ของขวัญบางอย่างถ้าไม่รับไว้ก็จะไม่เหมาะสม ของขวัญที่ไม่ติดหนี้น้ำใจสามารถรับไว้ได้

“โยวเหม่ย เดี๋ยวกลับมาค่อยเดินเล่นต่อเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม

จูโยวเหม่ยรีบตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ จะให้ท่านอ๋องหนิวรอนานได้ยังไง ควรจะไปคำนับก่อนค่ะ”

การมาเที่ยวเล่นที่นี่ย่อมไม่ใช่เป้าหมาย การมาพบเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเหมียวอี้จะไปพบแม่ทัพใต้บังคับบัญชา นางคงไปคำนับทันทีที่มาถึงแล้ว

ในโถงหลักสำหรับรับแขก พอเข้ามาก็เห็นเหมียวอี้กำลังรออยู่แล้ว จูโยวเหม่ยรีบก้าวขึ้นมาคำนับ “ผู้น้อยคำนับท่านอ๋องหนิว รบกวนให้ท่านอ๋องรอ ขออภัยจริงๆ ค่ะ”

เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถอะ” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ ถือโอกาสมองประเมินผู้หญิงคนนี้ศีรษะจดเท้าอย่างเป็นทางการ เมื่อก่อนเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่อุทยานหลวง แต่ไม่เคยเจอใกล้ๆ พอได้เจออีกครั้งตอนนี้ ก็พบว่าเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากเช่นกัน ถูกเถิงเฟยส่งมาจัดการเรื่องนี้ได้ ดูท่าแล้วคงได้รับความเชื่อใจจากเถิงเฟยพอสมควร

เขาย่อมรู้ผ่านอวิ๋นจือชิวแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไร

“ขอบคุณที่ท่านอ๋องเชิญนั่ง” จูโยวเหม่ยกล่าวอย่างสุภาพ ท่าทีสงบเสงี่ยม พร้อมทั้งมองประเมินเหมียวอี้เช่นกัน

ถ้าพูดถึงภาพลักษณ์ภายนอก เหมียวอี้ย่อมดีกว่าเถิงเฟยมาก อย่างน้อยก็ดูหนุ่มกว่าเยอะ พอนึกว่าอีกฝ่ายอายุน้อยแต่ได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว จูโยวเหม่ยก็แอบรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน ท่านอ๋องของตัวเองแม้จะถูกเรียกว่าอ๋องสวรรค์มาหลายปี แต่ความจริงแล้วต้องใช้สองคนรวมกันถึงจะเทียบกับอีกฝ่ายได้ ความแตกต่างที่อยู่ในนั้นทำให้คนปวดใจ โดยเฉพาะคนที่ตัวเองเคยดูถูกในปีนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวถึงตำแหน่งนี้แล้ว ตอนนี้นางมีสิทธิ์แค่ตีสนิทกับคนที่มีฐานะสูงกว่าเท่านั้น

เมื่อทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ถ้าจะบอกว่านางไม่อิจฉาอวิ๋นจือชิวเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ในใจก็สงสัยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยแต่งงานมาแล้วมีวาสนาขณะนี้ได้อย่างไร จะไปทวงความยุติธรรมที่ไหนดี

ทั้งสองทักทายกันตามมารยาทไม่กี่ประโยค จูโยวเหม่ยย่อมไม่ลืมจุดประสงค์ของการมาที่นี่ จากคำพูดที่เหมียวอี้ชมเถิงเฟยตามมารยาท นางเริ่มมีเรื่องให้หยั่งเชิง “ท่านนั้นของบ้านข้าจะเทียบท่านอ๋องได้ยังไงคะ ท่านอ๋องคุมทั้งทัพใต้ ท่านอ๋องของข้าได้แต่ถอนใจที่เทียบไม่ติด เสียดายที่ตัวเองเป็นคนบาปที่แบ่งแยกทัพตะวันออก ตั้งใจจะสร้างผลงานชดเชยความผิด แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะว่าเขาเสแสร้ง สนใจที่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ ไม่รู้จะไประบายความทุกข์ใจที่ไหน! พอเห็นท่านอ๋องของข้าตำหนิตัวเองอย่างนั้น ข้าก็ทุกข์ใจเหมือนกัน ถ้าท่านอ๋องมีเวลาว่าง ก็ช่วยข้าโน้มน้าวเขาสักหน่อยเถอะ เขาอาจจะฟังความเห็นของท่านอ๋องก็ได้”

เหมียวอี้จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็ยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ปรับปรุงทัพใต้ใหม่ มีเรื่องยุ่งยากไม่น้อย รอให้ทัพใต้มีเสถียรภาพเต็มที่ก่อน แล้วข้าจะหาโอกาสไปคุยกับท่านอ๋องเถิง”

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบตกลงเรื่องนี้ในตอนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าก้นตัวเองยังเช็ดไม่สะอาด ทำไมเขาต้องไปช่วยเถิงเฟยด้วยล่ะ? ช่วยเฉิงไท่เจ๋อไม่ได้เหรอ? อย่างน้อยก็ต้องสังเกตการณ์สักหน่อยว่าช่วยคนไหนแล้วได้ประโยชน์มากกว่า แค่ตัดหัวเฉาว่านเสียงกับฮูหยินได้ก็จะให้ตนออกแรงช่วยแล้วเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นเถิงเฟยก็เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้เขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้อนุภรรยามาหยั่งเชิงเขาก่อน

แบบนี้เท่ากับปฏิเสธแล้ว จูโยวเหม่ยสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ก็หาคำพูดมาพยายามตอบไม่หยุด ถึงขนาดแอบบอกใบ้ให้เหมียวอี้เสนอเงื่อนไขด้วย ทว่าเหมียวอี้ไม่ยอมรับปากเลย นางผมได้เข้าใจว่าครั้งนี้มาเสียเที่ยวแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่อยากเสียเวลากับนางต่อไป หาข้ออ้างว่ามีงานต้องทำ ให้อวิ๋นจือชิวมาดูแลแขก ทิ้งจูโยวเหม่ยเอาไว้แล้วเดินออกไปแล้ว

จากนั้นพอเจออวิ๋นจือชิวอีก ก็บอกอวิ๋นจือชิวว่าให้ทำให้จูโยวเหม่ยออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ฝั่งเฉาหม่านไม่รู้ว่าจะส่งคนมาเมื่อไหร่ เขาต้องเตรียมตัวเคลื่อนไหว ไม่อยากให้คนนอกเห็นความวุ่นวาย

รออยู่สองวัน เห็นว่าไม่สามารถทำให้เหมียวอี้รับปากได้จริงๆ ถึงขั้นไม่เห็นแม้แต่หน้าเหมียวอี้ จูโยวเหม่ยก็ทำได้เพียงขอตัวลา

อวิ๋นจือชิวส่งจูโยวเหม่ยออกจากจวนท่านอ๋องด้วยตัวเอง โบกมือส่งด้วย

ซูอวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับแววตาวูบไหว มองไปที่ด้านข้าง เห็นคนนั้นที่มักปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกฝั่งของแม่น้ำตรงสวนป่าสุสานก่อนหน้านี้

คนผู้นิยมไม่ใช่ใครที่ไหน หยางชิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก กุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว แล้วสบตากับซูอวิ้น จากนั้นก็หลบสายตาแล้วเดินตรงเข้าจวนท่านอ๋องไป

ซูอวิ้นสังเกตเห็นแล้วว่าท่าทีที่อวิ๋นจือชิวมีต่อคนผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป พอหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ยิ่งพบเงื่อนงำ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนี้จะเข้าจวนท่านอ๋องได้โดยไม่ต้องค้นตัวก่อน เดินเข้าไปโดยตรงอย่างนี้เลย สิ่งนี้ทำให้ดวงตางามของนางฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย

วันต่อๆ มา บางครั้งซูอวิ้นก็จะเห็นคนนี้อยู่กับอวิ๋นจือชิว บางครั้งตอนที่ไปเจอเหมียวอี้ ก็จะพบว่าคนคนนี้พูดคุยอยู่ข้างกายเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกน้องธรรมดาทั่วไป แม้แต่หยางเจาชิงก็ค่อนข้างเกรงใจคนคนนี้

สิ่งที่ทำให้ซูอวิ้นแปลกใจที่สุดก็คือ ทำไมคนคนนี้ใส่หน้ากากไว้ตลอด ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนเห็นเลย?

ดังนั้นทุกครั้งที่เจอหยางชิ่ง นางก็จะสังเกตอย่างละเอียด แอบสังเกตอย่างแนบเนียน ผลก็คือพบว่าอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังสังเกตตนอยู่เหมือนกัน ทั้งสองมักจะสบตากันโดยไม่รู้ตัว…

ในดาราจักรที่เงียบสงบ บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่ง ฝูชิงยืนทอดสายตามองอยู่บนยอดเขา ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องจุดที่วางค่ายกลใหญ่ผนึกไว้ เป็นทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์นั่นเอง

จู่ๆ กำลังลาดตระเวนอยู่นอกค่ายกลผนึกก็มีความเคลื่อนไหว ฝูชิงที่จ้องอยู่นานกระปรี้กระเปร่าทันที เห็นเพียงกำลังพลที่ลาดตระเวนกำลังหลบ ทั้งหมดเข้าไปในดาวเคราะห์หกดวงที่เป็นค่ายกลผนึกแล้ว ใช้เวลาไม่นาน ดาวเคราะห์หกดวงก็ยิงลำแสงสีขาวหกสายออกมา กลายเป็นภาพดาวหกแฉกอยู่ระหว่างค่ายกลใหญ่ พอแสงสียาวที่หมุนวนอยู่ในภาพนั้นหายไป ก็ปรากฏช่องโหว่ที่เป็นรอยแยกขึ้นมา

ฝูชิงหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าวบอกเหมียวอี้ทันที รออยู่ครู่เดียว ก็เห็นรางๆ ว่ามีเงาคนคนหนึ่งแวบออกมาจากรอยแยกนั้น เหาะตรงมาทางนี้

พออีกฝ่ายเหาะมาถึงดาวเคราะห์ก็เห็นฝูชิงแล้วเช่นกัน ถลันตัวลงมายืนข้างกายฝูชิง แล้วจ้องประเมินฝูชิงอย่างร่าเริง

ฝูชิงก็มองสำรวจอีกฝ่ายเช่นกัน เป็นผู้ชายที่ทั้งอ้วนทั้งดำ ดวงตาทั้งคู่มีแววเป็นพิเศษ ทั้งยังกลมใหญ่มาก กลอกไปกลอกมาไม่หยุด

เขาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเฮยทั่นที่กลายร่างเป็นคนแล้วนั่นเอง ยังจะมีใครที่ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อีก

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่เหมียวอี้ต้องการให้ตนมารับ ฝูชิงก็เขย่าระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน ค่ายกลใหญ่ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก้ปิดทางเข้าอีกครั้ง

เฮยทั่นมองตามฝูชิงที่กำลังมองค่ายกลใหญ่ปิดลง แล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ “ท่านย่าเอ๊ย ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว”

“เชิญตามข้าไป” ฝูชิงกลับยื่นมือเชิญด้วยท่าทางจริงจัง

“ไปไหน?” เฮยทั่นหันกลับมาถามทันที

“ก็ต้องไปหาท่านอ๋องสิ” ฝูชิงตอบ

“ท่านอ๋อง?” เฮยทั่นทำสีหน้ามึนงงทันที ถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ไปพบนายท่านเหรอ ไปพบท่านอ๋องอะไรนั่นทำไม? ข้าว่านะตาแก่ฝูชิง ไม่เจอกันมาหลายปี คงไม่คิดจะหลอกปู่ตั้งแต่ปู่ออกมาหรอกใช่มั้ย?” เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหมียวอี้กลายเป็นท่านอ๋องแล้ว

ฝูชิงก็อึ้งเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเรียกชื่อตัวเอง แน่นอนว่าเหมียวอี้อาจจะบอกอีกฝ่ายไว้ แต่ทำไมมาบอกว่าไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วล่ะ

ฝูชิงอดไม่ได้ที่จะถอยหลังสองสามก้าว พอมองประเมินอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าไม่ถูก ไม่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำสักนิดเลย ในแดนฝึกตนมีคนอ้วนอยู่ไม่เยอะ ทั้งยังเป็นประเภททั้งอ้วนทั้งดำ หน้าตามีเอกลักษณ์ขนาดนี้ ต่อให้ตนเคยเจอครั้งเดียวก็ต้องทำได้สิ ถึงได้ถามอย่างสงสัยว่า “น้องชายคนนี้ เจ้ารู้จักข้าเหรอ?”

“ว่ะฮ่าๆ!” เฮยทั่นเงยหน้าหัวเราะลั่น เอามือข้างหนึ่งเท้าเอว ใช้มืออีกข้างชี้ฝูชิงหลายครั้ง พร้อมกล่าวอย่างภูมิใจสุดๆ ว่า “ตาเฒ่าฝูชิง ต่อให้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้าข้าก็จำได้อยู่ดี ก็เป็นประมุขตำหนักดาวประจิมไม่ใช่หรือไง ข้าไม่ได้พูดผิดใช่มั้ยล่ะ?”

ฝูชิงแปลกใจกว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้ฐานะในอดีตของตนด้วย เดิมทีคิดว่าไม่อยากสืบความลับของเหมียวอี้มาก เลยไม่อยากถามมากว่าให้มารับใคร แต่ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะถามแล้ว “เจ้าเป็นใคร?”

เฮยทั่นยื่นหน้าอ้วนๆ เหมือนม้าเข้าไปใกล้ฝูชิง เหมือนต้องการจะให้อีกฝ่ายเห็นให้ชัดเจน “เดาสิ! เจ้าเดาสิ! เดาๆๆๆ เดาว่าข้าเป็นใคร? เดาไม่ออกล่ะสิ? ลองคิดให้ดีสิ เดาต่อไป!” ทำสีหน้าอวดดีลำพองใจ ให้ความรู้สึกเหมือนภูมิใจในภาพลักษณ์ของตัวเองมาก

ฝูชิงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองเคยเห็นคนแบบนี้เมื่อไร เขาเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าบางเรื่องตัวเองก็ไม่ควรถามมาก ได้แต่บอกว่า “อย่าให้ท่านอ๋องรอนาน ไปกันเถอะ!”

“ท่านอ๋อง?” จู่ๆ เฮยทั่นก็หัวเราะหึหึ “ฝูชิง เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ! รีบบอกมา แอบวางแผนชั่วอะไรลับหลังนายท่านใช่มั้ย? ถ้าไม่บอกความจริง ก็อย่าหาว่าหมัดของปู่ซัดคนไม่เลือกหน้าก็แล้วกัน!”

ฝูชิงมองไปทางแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ถูกปิดแวบหนึ่ง เหมือนตระหนักอะไรได้ จึงถามว่า “นายท่านของเจ้าใช่หนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”

เฮยทั่นเบิกตากว้าง “ตาเฒ่านี่รนหาที่ตายเหรอ เจ้าวิ่งเต้นทำงานให้คนอื่นอีกรึไง?” สองมือม้วนแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนจะลงไม้ลงมือ

มารดาเจ้าเถอะ พูดจาหยาบคายขนาดนี้ มันเป็นใครกันแน่? ฝูชิงได้ยินแล้วโมโห ถ้าไม่ใช่คนที่เหมียวอี้สั่งไว้ เขาก็ไม่ถือสาที่จะลองดูว่าใครจะได้สั่งสอนใครกันแน่ กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋องที่ข้าพูดถึงก็คือหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้นายท่านหนิวได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว!”

“ตดหมามารดาเจ้าสิ! เจ้าคิดว่าปู่คนนี้โง่นักรึไง?”

……………