เฉินผิงอันเล่าเรื่องการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะให้ผู้ฝึกตนสายอิ่นกวานฟัง หลักการเหตุผลในเรื่องนี้พวกผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายล้วนเข้าใจดี เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังยกตัวอย่างข้อหนึ่งที่ทำให้แม้แต่เซียนกระบี่อย่างโฉวเหมียวก็ยังต้องขบคิด
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงใต้หล้ามืดสลัวเคยเดินทางไปเยือนบ้านเกิดของใต้เท้าอิ่นกวาน อำพรางตัวตนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ตั้งแผงดูดวงอยู่ที่นั่นนานถึงสิบกว่าปี
เพราะถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลสยบเอาไว้จึงมีขอบเขตอยู่ที่บินทะยานมาโดยตลอด
หวังซินสุ่ยบ่นใต้เท้าอิ่นกวานเล็กน้อยว่าเรื่องราวที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ไยจึงไม่รีบเล่าให้ฟัง? หากเล่าให้ฟังเร็วกว่านี้ ความเคารพเลื่อมใสที่เขามีต่อใต้เท้าอิ่นกวาน ป่านนี้ก็คงถึงขอบเขตบินทะยานแล้ว ไหนเลยจะยังอยู่ที่คอขวดก่อกำเนิดเฉกเช่นตอนนี้
ในบรรดาภูเขาลูกเล็กใหม่ล่าสุดของคนหกคนที่โน้มเอียงเข้าหาอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุด ขอบเขตของกวอจู๋จิ่วสูงสุด สูงจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทุกคนโดยอิงจากสติปัญญาและผลสำเร็จของคนผู้นั้น คำพูดที่เป็นธรรมบางอย่างของกู้เจี้ยนหลง แม้แต่กวอจู๋จิ่วก็ยังรู้สึกเหมือนได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำให้คนประหลาดใจ ดังนั้นขอบเขตจึงไม่ต่ำ เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เป็นรองแค่นางคนเดียวเท่านั้น เพราะเรื่องของการเล่นหมากล้อม เสวียนเซินจึงมีท่าไม้ตาย ก็เหมือนลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ที่ได้เคล็ดวิชาลับล้ำโลกมาครอง จึงตรงดิ่งขึ้นสู่ห้าขอบเขตบน กลายเป็นขอบเขตหยกดิบ มีความหวังบนมหามรรคา เฉากุ่นขึ้นเขาลูกนี้มาเรียนวิชานี้สายเกินไป อีกทั้งยังไม่ขยันขันแข็ง จึงมีขอบเขตแค่โอสถทอง หวังซินสุ่ยคือคอขวดก่อกำเนิด ส่วนเซียนกระบี่หมี่อวี้ผู้นั้นคุณสมบัติแย่เกินไป ไม่มีความจริงใจ จึงยังไม่ใช่แม้แต่เซียนดิน
วันนี้เฉินผิงอันออกไปเดินเล่นอีกครั้ง กวอจู๋จิ่วทำงานในมือเสร็จก็ขยับตำแหน่งของตุ๊กตาหิมะน้อยบนโต๊ะ ตบหัวของมันเบาๆ จากนั้นก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กวิ่งตะบึงออกไป
การจับจ้องและการตรวจสอบที่มาจาก ‘กวอจู๋จิ่วน้อย’ ที่นางตั้งชื่อให้ หากตุ๊กตาหิมะน้อยมองใคร ก็แสดงว่ากำลังให้กำลังใจอย่างห่วงใย กิ่งไม้ไผ่ในมือของตุ๊กตาหิมะน้อยชี้ไปที่ใคร ก็คือการควบคุมและเร่งรัด ใครกล้าไม่ตั้งใจทำงาน กิ่งไม้ไผ่ก็จะเป็นกระบี่บิน ระวังจะรักษาหัวสุนัขเอาไว้ไม่ได้
วันนี้อาจารย์ยังคงเดินช้าอยู่เหมือนเดิม กวอจู๋จิ่ววิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามมาทันแล้ว
กวอจู๋จิ่วถาม “อาจารย์ เหตุใดช่วงนี้เวลาท่านเดินถึงได้ช้าขนาดนี้? กำลังฝึกตนอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว กำลังฝึกจิตใจ”
กวอจู๋จิ่วเดินหมุนรอบกายเขารอบหนึ่ง หันหน้าเข้าหาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา “วิชาที่ยิ่งใหญ่เชื่อมตรงถึงนภานี้ ศิษย์คงไม่ต้องเรียนกระมัง? เรียนแล้วก็คงทำไม่ได้อยู่ดีกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ว่าใครก็ล้วนทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเรียน”
แม่นางน้อยทั้งดีใจแล้วก็ทั้งกลัดกลุ้ม
เฉินผิงอันหยิบยันต์มหานทีไหลสะพัดกับยันต์ขยุ้มดินอย่างละแผ่นออกมาเมื่อเดินมาถึงมุมเงียบสงบแห่งหนึ่ง “อาจารย์จะวาดแผนที่ของใต้หล้าไพศาลให้เจ้าดู”
ทุกครั้งที่บนผืนดินมีทวีปแห่งหนึ่งผุดขึ้นมา เขาก็จะอธิบายถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของที่แห่งนั้นคร่าวๆ บ้างก็เป็นสิ่งที่เคยเห็นมากับตา บ้างก็มีบันทึกไว้ในตำรา บ้างก็ฟังจากคนอื่นพูดมา
อาคเนย์ใบถงทวีปที่มีอารามกวานเต๋าแห่งหนึ่ง บุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของอาจารย์ อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มาฝึกสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ธวัลทวีปสถานที่ผลิตเงินเกล็ดหิมะของใต้หล้า พายัพหลิวเสียทวีปที่ลัทธิพุทธรุ่งเรืองที่สุด ประจิมเกราะทองทวีปที่มีซากปรักสนามรบโบราณอยู่แห่งหนึ่ง หรดีฝูเหยาทวีปที่ตอนนี้เกิดความวุ่นวายไม่หยุด และทักษินาตยทวีปที่อยู่ของสกุลเฉินผู้รอบรู้
บ้านเกิดของหลินจวินปี้ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
กวอจู๋จิ่วนั่งอยู่ในระเบียงมองแผนที่นั้นแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “เฮ้อ ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยม ไยจึงไม่ใช่ฟ้ากลมแผ่นดินกลมนะ แบบนั้นเวลาคิดจะไปท่องเที่ยวที่ทวีปเกราะทองจากแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของอาจารย์ก็จะใกล้มากขึ้น ไหนเลยจำต้องอ้อมไปไกลขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพราะใต้หล้าทุกแห่ง รวมไปถึงถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทุกแห่งล้วนเป็นอาณาเขตแห่งใหม่หลังผ่านการปริแตก หากหาเจอทั้งหมด บวกกับใต้หล้าแห่งที่ห้าที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อเพิ่งค้นพบใหม่ในทุกวันนี้ เมื่อเอามาประกบเข้าด้วยกัน บางทีก็อาจเป็นทัศนียภาพที่ว่าท้องฟ้ากลมกว้างใหญ่ พื้นดินกลมเล็กกว่า เหมือนวงกลมที่ครอบวงกลม ดวงจันทร์ในดวงจันทร์อย่างไรล่ะ”
ระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เสี่ยวเป่าผิงก็เคยถามเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคนที่ตอบคำถามนี้ในเวลานั้นคือชุยตงซานที่แทบไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้
จากนั้นชุยตงซานก็หยิบถ้วยใส่น้ำใบหนึ่งออกมา กับกิ่งไม้สีเขียวมรกตที่เพิ่งเด็ดออกมาจากต้น รวมไปถึงหินก้อนหนึ่งที่หยิบมาจากข้างทาง ชุยตงซานแสร้งทำท่าลึกลับ ถามทุกคนว่ามีความคิดอย่างไรต่อฟ้าดิน
น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าวหุงสุกพอดี กลิ่นหอมของปลาย่างก็ลอยอบอวล จึงไม่มีใครสนใจเขา
ชุยตงซานโยนก้อนหินทิ้ง สอดกิ่งไม้นั้นไว้หลังคอเสื้อ รินน้ำในถ้วยทิ้ง แล้วขอข้าวจากเฉินผิงอันหนึ่งถ้วย
เฉินผิงอันบอกว่าจะต้องไปหาผังหยวนจี้ที่ไม่รู้ว่าไปนั่งเหม่ออยู่ที่ไหน กวอจู๋จิ่วจึงกระโดดลุกขึ้นยืน ตะโกนคำหนึ่งว่ารับทราบ แล้ววิ่งตะบึงจากไป
กวอจู๋จิ่วกลับมาถึงห้องโถงใหญ่ บรรยากาศยังคงอึมครึมเคร่งเครียดอยู่เล็กน้อย
ตอนที่อาจารย์อยู่ ยังนับว่าดี
แต่ขอแค่อาจารย์ไม่อยู่ บรรยากาศกลับยิ่งทำให้คนหายใจไม่คล่องคอ
กวอจู๋จิ่วปลดหีบไม้ไผ่วางลงข้างเท้า
หลังจากที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้ว หลินจวินปี้ก็สอบถามใต้เท้าอิ่นกวานว่าสามารถบอกเรื่องที่เปียนจิ้งปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานถูกฆ่าตายนอกภูเขาห้อยหัวให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทราบได้หรือไม่
ไม่อย่างนั้นหากนานวันเข้า จิตใจของคนที่เหมือนกระแสน้ำซัดโหม หากวันหนึ่งน้ำทะลักพังทำนบขึ้นมา ก็ง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การศึกทั้งหมด
เฉินผิงอันกลับบอกว่าไม่มีความจำเป็น สามารถรอต่อไปได้อีกหน่อย
ต่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โต้เถียงกันอย่างดุเดือด คนที่พวกเขาพุ่งเป้าใส่ก็มีเพียงใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเขาคนเดียว ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวาน ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ถือว่าสำคัญเท่าไร
……
ผังหยวนจี้นั่งอยู่บนราวรั้วของระเบียงแห่งหนึ่ง สีหน้าเหม่อลอย
ในใจมีเรื่องมากมาย แต่กลับไร้คำให้เอื้อนเอ่ย
ได้ยินเสียงฝีเท้า ผังหยวนจี้ก็หันหน้ามามอง พยักหน้าให้ ถือเป็นการทักทายแล้ว
ผลคือผังหยวนจี้รออยู่นานมากกว่าไอ้หมอนั่นจะนั่งลงข้างกาย
ดูเหมือนว่าช่วงนี้ทุกครั้งที่เฉินผิงอันออกมาจากห้องโถงใหญ่จะทำเพียงแค่เดินเล่นเท่านั้น ยังคงก้าวเดินอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเดินช้ามาก
เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง ยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งให้ “เป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนของเรือนชุนฟาน แพงมาก รสชาติไม่แย่กว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่หรอก”
ผังหยวนจี้ส่ายหน้า “ช่างเถิด ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานมากแล้ว”
เฉินผิงอันมองเจ้าคนที่หนวดเคราเต็มหน้าผู้นี้ แล้วเอ่ยว่า “เอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงที่จะพูด ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจข้า เพียงแต่ตัวเองรู้สึกว่าไม่มีเหตุผล ก็เลยได้แต่อดทนข่มกลั้นเอาไว้ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ คิดว่าตัวเองเป็นถังหมักเหล้าหรืออย่างไร สะสมเรื่องเจ็บปวดใจเอาไว้ก็จะสามารถหมักเหล้ารสเลิศออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”
ผังหยวนจี้เอ่ย “เจ้าคงจะเดินผ่านทุกซอกทุกมุมของคฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาวแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีกลไกลับอะไร หาทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่คาดฝันอะไรไม่เจอ”
ผังหยวนจี้เอ่ยเบาๆ “แต่เจ้าจะต้องไม่มีความรู้สึกเหมือนข้า ไม่ใช่ว่าข้าเพิ่งจะมารู้สึกเช่นนี้เอาตอนนี้ ทว่าข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในสายอิ่นกวานเก่าได้ไม่นานเท่าไรก็ค้นพบมันแล้ว”
“ความรู้สึกอะไร? ไหนลองว่ามาสิ”
เฉินผิงอันเปิดผนึกดินของเหล้ากานั้น ดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะดื่มเหล้าอย่างเดียว เชิญเจ้าบ่นได้ตามสบาย ไม่ต้องใช้เหตุผล บางครั้งการระบายอารมณ์ก็ถือเป็นเหตุผลอย่างหนึ่ง”
ผังหยวนจี้สีหน้าเลื่อนลอย พึมพำว่า “เรือนทั้งสองแห่งมีวัตถุที่เกินความจำเป็นสักชิ้นไหม? มีเครื่องประดับตกแต่งยิบย่อยใดๆ ไหม? ไม่มีอะไรเลย ตอนที่อาจารย์ของข้าออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ นางทิ้งแผ่นหยก ‘อิ่นกวาน’ เอาไว้ เอกสารคดีลับทั้งหมดก็ทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็ทิ้งข้าให้อยู่ที่นี่คนเดียว ข้าจึงมีเพียงความรู้สึกเดียว ราวกับว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้อาจารย์ของข้าไม่เคยมาเยือนคฤหาสน์หลบร้อนแห่งนี้มาก่อน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าคิดมาโดยตลอดว่าเวลาที่อาจารย์อยู่คนเดียวจะคิดอะไร ทำอะไร? นางจะมีช่วงเวลาที่เสียใจผิดหวังแต่ไม่อาจบอกกล่าวกับใครบ้างหรือไม่? ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าอาจารย์ของข้าควรจะแข็งแกร่งไร้ศัตรูทัดทานอยู่ตลอด ควรจะสังหารปีศาจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้ากลับไม่เคยคิดเช่นนั้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผังหยวนจี้ก็มองไปยังหัวกำแพงเมือง พอพูดถึงเซียวสวิ้นผู้เป็นอาจารย์ก็อดนึกถึงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นขึ้นมาไม่ได้
คฤหาสน์ของอิ่นกวานทั้งสองแห่งยังเงียบเหงาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่มีเพียงกระท่อมหลังเดียวก็คงยิ่งเป็นเช่นนี้กระมัง
ราวกับว่าทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้จะมีน้อยคนนักที่จะใคร่ครวญอย่างละเอียดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคิดอะไร รู้สึกอะไร
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “พอเจ้าพูดแบบนี้ข้าถึงเพิ่งค้นพบว่า เรือนแห่งนี้ว่างเปล่าจริงๆ นี่หมายความว่าเซียวสวิ้นอาจารย์ของเจ้าร้ายกาจมาก มีเพียงคนที่ส่วนลึกในใจแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังเป็นตัวของตัวเองมากพอเท่านั้นถึงจะไม่สนใจวัตถุนอกกายเลย เจ้าทำไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
ในความเป็นจริงแล้วความรู้สึกที่เฉินผิงอันมีต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และคนบางคนที่เป็นคนแปลกหน้า เขาจะสัมผัสได้เร็วกว่า และชัดเจนมากกว่า
เพียงแต่ว่าการพูดคุยกันไม่ได้ทำเช่นนี้
ดวงตาผังหยวนจี้แดงก่ำ แหงนหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่นว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะด่าอาจารย์ของข้า อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะด่าข้าจนไม่เหลือชิ้นดี”
เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ของเขาผังหยวนจี้ก็เกือบจะต่อยให้จั่วโย่วศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ตายบนสนามรบ
อีกทั้งยังเป็นการลอบโจมตีด้วยวิธีที่ไร้เกียรติที่สุด
คนคนหนึ่งที่เอ่ยเยาะเย้ยตัวเองในจุดที่ทำให้เจ็บปวดใจที่สุด นั่นก็คือการปกป้องตัวเองตามจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันส่ายหน้า ดื่มเหล้า “หากจะให้พูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่สูงส่งเหนือใครเหล่านั้น กี่กระบุงโกยก็ไม่พอให้ข้าพูด จะด่าคู่อาจารย์และศิษย์อย่างพวกเจ้าอย่างไรก็ไม่เกินไป แต่มันไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรก็ควรยอมให้คนอื่นได้มีใจที่เห็นแก่ตัวบ้าง ไม่อย่างนั้นถึงท้ายที่สุดแล้ว คนที่เหนื่อยใจก็ยังคงเป็นตัวเอง แล้วจะต้องเหนื่อยแบบนั้นไปไย”
เฉินผิงอันเอ่ยต่อไปว่า “ไม่พูดถึงเรื่องที่เซียวสวิ้นเป็นกบฏในท้ายที่สุด นางทำเพื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปมากน้อยเท่าไร ตัวเจ้าเองรู้ดี ข้าเองก็รู้ดี ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนางถึงทรยศ ไม่แน่ว่าข้าอาจเข้าใจนางมากกว่าเจ้า เพราะข้าเป็นคนนอก เพียงแต่ว่าตอนนี้กับหลังจากนี้ ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่มากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ส่วนใหญ่จะเลือกลืมเลือนไป บางคนก็จงใจ บางคนก็ไม่ได้ตั้งใจ มีน้อยคนนักที่เข้าใจแต่กลับไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นข้าคาดว่านี่คงเป็นจุดที่ทำให้เจ้าอัดอั้นที่สุดกระมัง?”
ผังหยวนจี้เงียบงันไม่ตอบคำ
เฉินผิงอันกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ที่มีใจเห็นแก่ตัว ยังคงทำเรื่องที่ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานสายใหม่สมควรทำได้โดยไม่ด้อยไปกว่าใคร ว่ากันตามเหตุการณ์แล้ว เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยแม้แต่น้อย ว่ากันด้วยจิตใจ เจ้าก็ยิ่งไม่ผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ ยังจะคาดหวังให้ผังหยวนจี้เป็นอย่างไรอีกถึงจะถือว่าทำได้ดี?”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คิดว่าเนื่องจากจิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคง แล้วเส้นทางการฝึกตนของผังหยวนจี้จะเป็นเหมือนผีบังตาจนต้องเดินสู่ทางสายขาดทั้งอย่างนี้
ผังหยวนจี้ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ต่อให้ได้ยินเจ้าพูดอย่างนี้แล้ว ในใจข้าก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด”
เฉินผิงอันกล่าว “สุดท้ายข้าจะถามเจ้าคำถามหนึ่ง เจ้าจะไม่ตอบก็ได้”
ผังหยวนจี้ไม่ค่อยอยากฟังคำถามนี้สักเท่าไร เพราะมันต้องเป็นคำถามที่ทำให้เขากลัดกลุ้มไม่สบายใจอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันถาม “หากหลังจากที่เซียวสวิ้นปล่อยหมัดนั้นไปแล้ว แล้วสมมติว่าเจ้าสามารถฆ่านางได้ทันที ผังหยวนจี้จะทำอย่างไร?”
ผังหยวนจี้เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบอาจารย์และศิษย์คู่นั้นโดยไม่รู้ตัว ไหล่ของเขาตกลง ทั้งสีหน้าแววตาล้วนหม่นหมอง เขาไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ล้วนรู้สึกแย่อยู่แล้ว ก็เลยทำให้เจ้ารู้สึกแย่เข้าไปอีกเสียเลย”
ผังหยวนจี้อยากพูดมากว่าในเมื่อถามก็ถามมาแล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานเจ้าสามารถไปยุ่งกับธุระของตัวเองต่อแล้วได้หรือไม่
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยอีกว่า “ไม่สู้ให้ข้าถามเจ้าอีกคำถามดีไหม?”
ผังหยวนจี้ถาม “หากข้าไม่ให้คำตอบ เจ้าก็จะถามแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า เอาแต่ถามคำถามของตนไป “ได้ยินว่าเปียนจิ้งศิษย์พี่ของหลินจวินปี้กลับกลายเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง ส่วนลึกในใจของเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นมาอีกนิดหรือไม่? แล้วจะรู้สึกหรือไม่ว่า เพราะกลายเป็นเพื่อนกับหลินจวินปี้แล้ว จึงพบว่าการที่ตนคิดเช่นนี้กลับยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม?”
ใบหน้าผังหยวนจี้เต็มไปด้วยความขมขื่น
เฉินผิงอันตบไหล่ของเขา “เจ้าน่ะอดทนต่อไปเถอะ หนีก็หนีไม่พ้น ปิดประตูสามารถไม่พบเจอคนได้ แต่จิตใจดั้งเดิมที่แท้จริงของเจ้าละ ทำอย่างไรถึงจะไม่มองเห็น?”
ใครบ้างที่ไม่มีเหตุผลติดปากอยู่สองสามข้อ? ใต้หล้านี้การหลอกตัวเองนี่แหละที่ง่ายที่สุด