เรื่องมาถึงตอนนี้ หลิ่วจ้าวเฉินก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
ไม่อย่างนั้น จะมีรถใหญ่มากมายขนาดนี้ มาล้อมรอบรถของตนไว้ตรงกลางอย่างไร้มูลเหตุได้ยังไง
อีกทั้งดูจากท่าทีพวกเขาแล้ว ไม่อยากให้ตนเองหนีไปได้โดยสิ้นเชิง ถึงได้ตีขนาบเข้ามาพร้อมกันแบบนี้
มีรถอุดไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ใต้สะพานก็เป็นสายธารไหลเชี่ยว หากว่ามีเป้าหมายที่ตัวเขาจริง เขาก็คงไร้หนทางหนี
คิดถึงจุดนี้แล้ว เขาก็อดตื่นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยปากกล่าว “หรือว่าคนเหล่านี้จะมีเป้าหมายที่เด็กพวกนี้ ไม่น่าใช่นี่นา พวกเขาก็เป็นแค่เด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้ว!” พี่ชายของหลิ่วจ้าวเฉินก็เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ได้ “อีกอย่างนะ ตำรวจก็ยังไม่ตามมาหาเลย แล้วคนพวกนั้นจะมาทำไมกัน”
เห็นสองขบวนรถใกล้เข้ามาทุกที พี่ชายหลิ่วจ้าวเฉินก็ได้แต่ต้องหยุดรถชั่วครู่
คนทั้งรถต่างพากันตื่นตระหนก รวมถึงเจี่ยงหมิงด้วย
ขณะนี้เจี่ยงหมิงบังเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นในเบื้องลึกของหัวใจ ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงไปกว่าเขาอีกแล้ว หากเด็กเหล่านี้หายไป มากสุดก็แค่มีตำรวจออกหน้าตามหาสักหน่อย ในหมู่ชาวบ้านไม่มีทางมีกองกำลังแข็งแกร่งขนาดนี้มาตามพวกเขา
แต่ว่า มีเพียงข้อยกเว้นหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกเครียดกังวลอย่างมาก
ข้อยกเว้นนั้น ก็คือเย่เฉินที่ทำเสียเขาย่ำแย่ไปเมื่อวาน
ในความไม่อาจคาดเดา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะสลัดความเกี่ยวข้องกับเย่เฉินไปไม่พ้น เมื่อย้อนนึกไปถึงเย่เฉินที่มักมีท่าทีอันลึกล้ำสุดหยั่งถึง เขาก็อดลอบไตร่ตรองไม่ได้ “หรือว่าคนพวกนี้ เป็นเย่เฉินที่ส่งมา”
ในขณะที่รถ Iveco คันนี้จอดนิ่งแล้วนั้นเอง รถใหญ่นับไม่ถ้วนก็เริ่มเข้าห้อมล้อมเขาไว้อย่างแน่นหนา ผู้ใหญ่เจ็ดคนภายในรถล้วนหวาดหวั่นเหลือคณาอย่างมิอาจกดข่ม
หลิ่วจ้าวเฉินหยิบมีดออกมาจากหน้าอก เอ่ยอย่างตึงเครียด “หากมีใครคิดร้ายต่อพวกเรา พวกเราก็สู้กับมันสุดชีวิตไปเลย!”
พี่สาวของเขาเอ่ยอย่างหวาดหวั่นหาใดเปรียบ “พวกเรามีกันแค่เจ็ดคน ส่วนพวกเขาแค่คนขับรถก็ปาไปหลายสิบคนแล้ว ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของพวกเขาเลยนะ!”
หลิ่วจ้าวเฉินลุกลนอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยอย่างเครียดขึง “พวกพี่ดึงผ้าม่านหน้าต่างด้านหลังไว้ ถ้าพวกเขาจะเข้ามา ผมจะสู้สุดชีวิตกับพวกมัน!”
เพื่อให้สามารถส่งเด็กน้อยไปได้อย่างปลอดภัย พวกเขาจึงแขวนผ้าม่านอย่างหนาที่หน้าต่างรถด้านหลังหลายแถวเอาไว้แล้ว หากมองจากด้านนอกเข้ามาด้านใน ไม่มีทางมองเห็นสภาพการณ์ภายในได้เลย และยิ่งไม่มีทางมองเห็นเด็ก ๆ ที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่ด้านในด้วย
คนทั้งหลายรวมถึงเจี่ยงหมิง ต่างรีบร้อนดึงผ้าม่านไว้อย่างแนบแน่น
หลิ่วจ้าวเฉินเอ่ยกับพี่ชายทั้งสองของตนและเจี่ยงหมิงว่า “พวกพี่รีบชักมีดออกมาเร็ว! ตอนนี้รถคงถอยออกไปไม่ได้แล้วแน่ ๆ ได้แต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว”
วันนี้ขณะลงมือก่อนฟ้าสาง หลิ่วจ้าวเฉินได้มอบมีดให้พวกเขาคนละเล่ม เดิมทีนึกว่าเพียงแต่เอามาพกไว้พอให้ใจฮึกเหิม คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะได้ใช้มันจริง ๆ แล้ว
เจี่ยงหมิงลนลานใจอย่างยิ่ง เขากับหลิ่วจ้าวเฉินแตกต่างกันมาก หลิ่วจ้าวเฉินทำงานมือเปื้อนเลือดมาตลอดหลายปี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกคนเขาหั่นมือขวาไปทั้งมือหรอก
แต่ว่าตัวเจี่ยงหมิงนั้นพูดตามตรงแล้วเป็นแค่พวกต้มตุ๋นก็เท่านั้น หลอกคนเฒ่าคนแก่ผู้กระหายในทรัพย์สินเงินทองที่บริษัทของโจวหัวซินไปวัน ๆ หากจะให้เขาถือมีดไปสู้กับคนอื่นเข้าจริง ๆ เกรงว่าเขาไม่ได้มีความกล้าพอจะทำเรื่องแบบนี้เลย
ขณะนั้นเองเขาก็หยิบมีดออกมาอย่างสั่นเทา เอ่ยถามอย่างตื่นกังวล “จ้าวเฉิน นายไปล่วงเกินใครเข้าหรือเปล่าน่ะ”
ในขณะนั้นพี่ชายหลิ่วจ้าวเฉินก็เอ่ยอย่างตึงเครียด “นายดูรถใหญ่พวกนี้สิ พวกเขาเพียงแต่ล้อมเราเอาไว้ แต่ไม่มีใครลงมาพูดอะไรเลย ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร!”
หลิ่วจ้าวเฉินขบคิดดูแล้วก็ลดบานหน้าต่างฝั่งคนขับลงเป็นร่องสายหนึ่ง เปล่งเสียงตะโกนออกไปด้านนอก “พวกนายเป็นใครกันแน่ คิดจะทำอะไร”
ด้านนอกรถไม่มีใครตอบกลับมา
หลิ่วจ้าวเฉินตึงเครียดเหลือคณา ถูกรถมากมายขนาดนี้ล้อมกรอบตนเองไว้ ทั้งคนพวกนี้ก็ไม่เอ่ยปากสักประโยคอีก ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจระคนหวาดหวั่น
——-