ตอนที่ 1234 เทคโนโลยีที่ขยายจินตนาการ

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

หลิวเหว่ยสาบานว่านี่เป็นสิ่งที่วิเศษและน่าเหลือเชื่อมากที่สุดที่เขาเคยเห็นตั้งแต่เกิดมา ถึงเขาจะทำงานเป็นผู้กำกับมาหลายปี ได้กำกับภาพยนตร์ทำเงินที่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

ลู่โจวอยู่ไกลออกไปในเมืองจินหลิง เขากำลังนอนอยู่ในห้องแล็บที่สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง จิตใจของเขากำลังเดินทางไปยังโลกเสมือนที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมสตาร์โวยาจวันที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร

เขายืนอยู่ในโลกสีน้ำเงินที่มีเส้นสีเงินแบ่งเขตแดนออกเป็นลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วน

ทันใดนั้นเองก็มีคนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

ลู่โจวเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มออกมา

“คุณต้องขยับนะครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์เต็มที่ว่าระบบนี้ทำอะไรได้บ้าง”

หลิวเหว่ยโดนคำพูดนั้นดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เขายิ้มขึ้นมา

“โทษทีครับ แค่ได้มายืนอยู่ที่นี่…ก็น่าตกใจมากพอแล้ว”

“คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ?”

“ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ”

หลิวเหว่ยสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาก็ปฏิบัติตัวตามคำชี้แนะที่อ่านมาก่อนหน้าแล้วมองไปที่ข้อมือขวาของเขา เขาเห็นอินเตอร์เฟสปฏิบัติการปรากฏอยู่บนข้อมือขวาของตัวเอง เขาใช้นิ้วจิ้มเลือกเครื่องมือออกแบบจำลอง

พอนิ้วชี้เขาแตะไปที่ไอคอนปุ๊บอนุภาคแสงสีขาวก็เริ่มล้อมรอบตัวเขา พวกมันมีหน้าตาเหมือนอนุภาคทรายในอวกาศ ตรงที่พวกมันลอยอยู่ในอากาศตรงหน้าเขา

เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกเสมือนแห่งนี้ เขาเริ่มนึกภาพจากภาพยนตร์ไซไฟทำเงินเรื่องหนึ่งที่เขาเคยดูมา

สมองของเขายังคงนึกย้อนกลับไปถึงความทรงจำตอนนั้นต่อ อนุภาคแสงสีขาวตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและสีสัน มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นแบบจำลองตรงหน้าเขา ในที่สุดมันก็เปลี่ยนเป็นยานอวกาศที่มีหน้าตาแปลกๆ

“นี่มันมหัศจรรย์มากเลย”

พอหลิวเหว่ยมองเห็นยานอวกาศตรงหน้า เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนถึงที่สุด

เขาเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังยืนอยู่ริมทะเล เขามองยานอวกาศทรายที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกภูมิใจ

ถึงแม้ภาพสามมิติอันนี้จะยังค่อนข้างมีความเป็นนามธรรมอยู่บ้างเนื่องจากรายละเอียดหลายส่วนยังไม่ได้รับการขัดเกลาให้ออกมาเหมาะสม แต่เมื่อลองคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองใช้เครื่องมือเทคโนโลยีดังกล่าว และผลงานระดับนี้ก็สร้างให้เสร็จออกมาได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ทำให้อย่างน้อยก็ต้องนับว่าเครื่องมือนี้ค่อนข้างมหัศจรรย์เลยทีเดียว

ลู่โจวเดินไปยืนอยู่ข้างผู้กำกับหลิวแล้วเหลือบมองไปทางยานอวกาศที่สร้างมาจากอนุภาคแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เขายื่นมือขวาออกไปแล้วอนุภาคแสงเหล่านั้นก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่างตามที่เขากำหนด วัตถุทรงเหมือนคานเครื่องบินก็ปรากฏขึ้นมาบนยานอวกาศ พร้อมกับ ‘ติดตั้ง’ ตัวเองเสร็จสรรพ

ลู่โจวสังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจจากผู้กำกับหลิว เขาหดมือขวากลับมาใกล้ตัว แล้วกดปุ่มอินเตอร์เฟสควบคุมที่ข้อมือ จากนั้นก็กดปิดปุ่มเครื่องมือออกแบบจำลอง

“จุดแข็งจริงๆ ของระบบนี้คือ มันทำให้คนหลายคนสามารถร่วมงานกันได้ในเวลาเดียวกัน และรวบรวมไอเดียของคนหลายคนมาใส่ลงในแบบจำลองชิ้นเดียวกัน ตอนแรกระบบนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่วิศวกรระบบของเราพบว่า มันก็สามารถนำไปใช้ได้ในวงการอื่นเช่นกัน พวกเราจึงออกแบบระบบนี้ออกมาในหลากเวอร์ชัน อย่างเวอร์ชันที่คุณกำลังใช้อยู่จะเป็นเวอร์ชันองค์กรที่พวกเราพัฒนาขึ้นเพื่อโปรดักชันการถ่ายทำวิดีโอและภาพยนตร์ครับ”

ลู่โจวมองแบบจำลองยานอวกาศที่ทำขึ้นมาหยาบๆ ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงแล้ว พวกเราแนะนำให้ปล่อยให้งานปั้นแบบจำลองเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญทางการออกแบบจะดีกว่า เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ ในภาพยนตร์ฉากหนึ่งก็ต้องมีแบบจำลองอยู่เป็นพันๆ อันอยู่แล้ว งานนี้ไม่มีทางทำคนเดียวได้หรอกครับ”

หลิวเหว่ยมองแบบจำลองยานอวกาศแบบง่ายๆ ที่เขาเพิ่งสร้างมาแล้วก็รู้สึกค่อนข้างอาย

“ถูกของคุณ…เหมือนว่าจินตนาการผมจะยังไม่ดีมากพอเท่าไร”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจินตนาการหรอกครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าการจะแกะรายละเอียดลงแบบจำลองได้มันต้องใช้เวลามากต่างหาก ไม่ว่าอย่างไรตรรกะของสมองมนุษย์ก็ไม่เหมือนกับของคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว สมองของพวกเรามีความสามารถอันน่ามหัศจรรย์ในการประมวลผลภาพ พวกเราใช้การคำนวณเรื่องคลุมเครือเพื่อหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่คอมพิวเตอร์นั้นต่างออกไป พวกเราต้องทำเรื่องการคำนวณเรื่องคลุมเครือต่อไปจนกว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจว่าเราอยากได้กราฟิกแบบไหนกันแน่”

ลู่โจวเว้นจังหวะไปนิดหนึ่งแล้วจึงอธิบายต่อ “จนถึงตอนนี้นั้นพวกเรากำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตเครื่องวีอาร์อย่างหัวเหว่ยและเสี่ยวมี่เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้ระบบของเราเข้าร่วมในโปรเจกต์ใหญ่อยู่เรื่อยๆ เป็นโปรเจกต์ที่ว่าด้วยการสร้างแบบจำลองแลนด์มาร์กและวัตถุพิเศษในชีวิตจริง เมื่อผลงานได้รับผลโหวตและความนิยมขึ้นมา พวกเราก็จะนำแบบจำลองเหล่านั้นบางส่วนเก็บเข้าคลังครับ ดีไซเนอร์ที่ออกแบบผลงานพวกนั้นจะได้รับรางวัลเป็นเงินสดไม่ก็ของขวัญ”

“นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแบบจำลองที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแฟนตาซีอีกด้วย พวกเรามอบอิสระและสิทธิ์อย่างเต็มที่ให้กับผู้ใช้ระบบในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ตามใจชอบ ตราบใดที่มันยังอยู่ในกฎหมายและระเบียบของประเทศ ผู้ใช้ระบบก็สามารถที่จะเลือกแชร์อะไรก็ตามที่พวกเขาอยากจะแชร์กับชุมชนของเราได้”

“ระบบนี้ใช้การประมวลผลข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม พวกเราจะยังคงพัฒนาการออกแบบจำลองโลกเสมือนโดยใช้วิธีขอความร่วมมือจากคนในชุมชนแบบนี้ต่อไป แล้วพวกเราก็จะสร้างสรวงสวรรค์ในโลกจำลองที่เทียบเท่ากับในโลกแห่งความเป็นจริงได้ในที่สุดครับ”

“ไอเดียนี้วิเศษมากเลย!” หลิวเหว่ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินแผนของลู่โจว

ในฐานะผู้ที่ทำงานสายครีเอทีฟแล้ว ไม่มีใครจะรู้ดีกว่าเขาว่าเรื่องที่ลู่โจวพูดมา มันมีหมายความอย่างไรจริงๆ กันแน่

มันหมายความว่าจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์จะไม่ถูกจำกัดห้ามอีกต่อไป ทุกไอเดียและผลงานการสร้างสรรค์สามารถมีชีวิตขึ้นมาได้จริงทั้งหมด

ทุกคนมีโอกาสได้กลายเป็นศิลปินและได้นำเสนอจินตนาการของตนออกมาให้โลกใบนี้ได้เห็น

มันยังเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่จะใช้แบบจำลองพวกนี้สร้างปักกิ่งหรือนิวยอร์กขึ้นมาใหม่…

การสาธิตเครื่องมือแห่งการพัฒนาได้จบลง

อนุภาคแสงสีน้ำเงินจางหายไปจากพื้นที่รอบตัว หลิวเหว่ยถอดที่ครอบหัวออกแล้วกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ก่อนหน้านี้ เขายังตั้งข้อสงสัยว่าลู่โจวจะสามารถเตรียมตัวงานฉลองที่กำลังจะจัดในอีกครึ่งเดือนได้ทันหรือไม่ แต่ตอนนั้น ข้อสงสัยเหล่านั้นได้ถูกขจัดไปจากสมองของเขาแล้ว

อย่าว่าแต่ครึ่งเดือนเลย

ถ้าเขามีทีมนักออกแบบผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยให้เขาทำความฝันตัวเองกลายเป็นจริงแล้วล่ะก็ เขาสามารถสร้างโชว์ทั้งโชว์ได้ภายในเวลาสัปดาห์เดียวเท่านั้น!

ยังไม่นับว่าหลังจากที่โครงสร้างแบบจำลองของรังนกถูกสแกนเข้าฐานข้อมูลแล้ว ต่อให้ไม่มีระบบการฉายภาพโฮโลแกรมในชีวิตจริง เขาก็ยังสามารถใช้เครื่องมือพัฒนาอันทรงพลังนี้ในการวางแผนทำโชว์งานฉลองให้สำเร็จได้

เขามีเวลาเตรียมตัวมากกว่าสองเดือน จริงๆ แล้วเขามีเวลาห้าเดือนเลยด้วยซ้ำ

มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาดีใจอยู่ในตอนนี้ คือการที่พวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญากับ NTT

ถ้าพวกเขาเซ็นสัญญาไปเรียบร้อยแล้วล่ะก็ อย่างน้อยพวกเขาจะต้องจ่ายค่าละเมิดสัญญา…

ลู่โจวถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”

หลิวเหว่ยมองลู่โจวที่กำลังเดินมาหาเขา เขามองที่ครอบหัวซึ่งตอนนี้วางอยู่บนตักแล้วพูดออกมาด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมว่า

“มันเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของผมเลย ผมไม่สามารถบรรยายความรู้สึกในใจของผมออกมาได้ ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะสามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้ด้วยการใช้เครื่องมืออันแสนวิเศษแบบนี้…ผมคิดว่าพอเทคโนโลยีนี้เริ่มดังแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่เรื่องการพลิกโฉมทั้งวงการภาพยนตร์เลย ผมมั่นใจว่ามันจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคนทั้งโลกแน่ๆ ”

“เดี๋ยวเราจะได้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ” ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อ “การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเร็วขนาดนั้นหรอกครับ มันต้องใช้เวลากว่าเทคโนโลยีอันหนึ่งจะลงตัว แต่ในกรณีนี้เรามีคนที่มีความพรสวรรค์หลายคนอยู่ในโครงการ ผมก็คิดเหมือนกันว่ามันจะไม่ได้ใช้เวลาเปลี่ยนแปลงนานนัก”

หลิวเหว่ยมีสีหน้าเห็นด้วย

แล้วทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงทักขึ้นว่า “จะว่าไปแล้วนะครับ นักวิชาการลู่ ผมมีไอเดียอันหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าคุณจะ…สนใจไหม”

ลู่โจวตอบกลับในทันทีว่า “ถ้ามันสร้างปัญหามาก ผมก็คงจะไม่สนใจนะ”

หลิวเหว่ยแก้อย่างรวดเร็ว “ไม่เลยครับ ไม่สร้างปัญหาเลย ผมแน่ใจว่าไอเดียนี้จะมีความหมายกับทั้งสังคมและตัวคุณมาก!”

ลู่โจวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผมไม่สนเรื่องความหมายอะไรหรอก…แต่เชิญคุณว่ามาได้เลย”

หลิวเหว่ยยิ้มเจื่อนๆ แล้วเริ่มอธิบายว่า “ผมเคยคุยกับเพื่อนผมที่เป็นคนเขียนบทภาพยนตร์อยู่ช่วงหนึ่ง พวกเรากำลังวางแผนจะสร้างภาพยนตร์ที่สะท้อนจิตวิญญาณความเคารพของประเทศเราในตัวนักวิจัยวิทยาศาสตร์ที่กล้าสร้างนวัตกรรมและขวนขวายหาความสำเร็จ พวกเราคุยกันแล้วตกลงว่าถ้าพวกเราต้องการจะสื่อข้อความให้คนรุ่นใหม่มีอารมณ์ร่วมไปด้วยแล้วล่ะก็ พวกเราจะต้องเลือกนักวิชาการจากคนรุ่นใหม่ด้วยเหมือนกัน”

เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?

คืออยากให้ฉันไปแสดงภาพยนตร์หรือไง?

ลู่โจวรู้สึกปวดหัวเรียบร้อย เขาโบกมือแล้วพูดขึ้นว่า

“หยุดเลยครับ ผมไม่สนใจกับการได้เป็นนักแสดงอะไรทั้งนั้น”

ถึงเขาจะมั่นใจในสกิลการแสดงและหน้าตาของตัวเอง แต่เรื่องการสร้างภาพยนตร์มันเป็นเรื่องเสียเวลาสิ้นดี กว่าจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเสร็จก็ปาไปเกือบหนึ่งปีเต็ม ขนาดเรื่องที่โปรดักชันเล็กๆ ก็แทบจะไม่เคยใช้เวลาต่ำกว่าครึ่งปีเลย

ในเวลาหนึ่งปีเขาเอาเวลาไปทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้ประสบความสำเร็จได้เป็นสิบๆ งาน

เมื่อเห็นว่าลู่โจวเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะสื่อผิดไป หลิวเหว่ยจึงอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ให้คุณไปเป็นนักแสดงครับ พวกเราอยากจะถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่องชีวิตของคุณ เนื้อเรื่องน่าจะเริ่มจากตอนคุณกลับมาจากต่างประเทศไปจนถึงช่วงความสำเร็จในเรื่องนิวเคลียร์ฟิวชั่น พวกเราอาจจะเขียนเนื้อเรื่องเพิ่มเติมนิดหน่อยเพื่อความบันเทิง…ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องได้รับการอนุญาตจากทางคุณด้วย”

อ๋อ กำลังจะทำภาพยนตร์สารคดีเรื่องฉันนี่เอง

เขินจังแฮะ…

หลังจากได้ยินคำอธิบายของผู้กำกับแล้ว ลู่โจวก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก โอเคครับ ถ้าคุณคิดว่าเรื่องชีวิตผมเหมาะกับการเอาไปทำเป็นภาพยนตร์ก็ทำได้ตามสบายเลย จะทำออกมาอย่างไรก็ได้ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ส่วนเรื่องแคสติ้ง ผมมีเรื่องจะขออยู่นิดหน่อย”

ไม่ใช่ว่าเขาสนใจหรอกว่านักแสดงคนไหนจะมารับบทเป็นเขา…

เรื่องก็มีอยู่แค่ว่าเขากังวลว่านักแสดงจะไม่สามารถสะท้อนความหล่อเหลาของตัวเขาเองออกมาได้ ก็แค่นั้นเอง ถึงแม้เรื่องหน้าตาจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเป็นนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่นัก แต่เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองมีชื่อเสียเรื่องหน้าตาของเขาเหมือนกัน

หลิวเหว่ยบอกว่า “สบายใจได้ครับ! ตราบใดที่คุณยอมให้เราทำภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเราจะให้คุณได้เลือกนักแสดงทุกคนเลย!”

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ” ลู่โจวโบกมืออย่างรวดเร็วแล้วพูดต่อ “ผมไม่มีเวลาไปเลือกนักแสดงทุกคนหรอก ผมขอเลือกแค่ตัวละครหลักคนเดียวก็พอแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นคุณมีข้อกำหนดหรือข้อแนะนำอะไรเรื่องการแคสติ้งนักแสดงที่จะมาเล่นบทตัวละครหลักไหมครับ? จะแนะนำอะไรก็ได้ พวกเราจะได้ช่วยคุณประหยัดเวลา จะขออะไรอย่างเรื่องวุฒิการศึกษา เรื่องนิสัยใจคอ…”

“อ๋อ…เรื่องพวกนั้นผมไม่สนหรอก”

ลู่โจวคิดอยู่แป๊บหนึ่งก็บอกว่า “เลือกคนที่ดูเหมือนเป็นนายแบบได้ก็พอแล้วครับ”

หลิวเหว่ย “…? “