ตอนที่ 1934 ศิษย์พี่สาม

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1934 ศิษย์พี่สาม

 

หลิงฮันควงแขนจักรพรรดินี้กับฮุหนิวเดินทางกลับซึ่งหวีไฟหรงที่ทนต่อความคลั่งรักของหนิวกับหลิงฮันไม่ไหวก็แสร้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจซ่อนตัวอยู่ในความมืด

 

เพียงแต่ตราบใดที่ซูหนิวตกอยู่ในอันตราย นางจะปรากฏตัวออกมาในทันที

 

“โอ้ จริงสิ” หลิงฮั่นปรบมือนึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะสะบัดมือขวานําธิดาโรั่วออกมาจากอุปกรณ์มติศักดิ์สิทธิ์

 

ถึงแม้ธิดาโร่วจะสามารถออกมาด้วยตัวเองได้แต่นางก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าหากนางออกมาในขณะที่หลิงฮันอยู่บนยอดเขาสามตะวันล่ะก็ แรงกดดันของภูเขาจะบดขยี้ ร่างของนางจนตายแน่นอน

 

ธิดาโร่วชะงักแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองหลิงฮัน

 

บุรุษผู้นี้ยอมมอบสมบัติล้ําค่าให้กับนางโดยไร้เงื่อนไขใดๆแถมยังไม่แม้แต่รับคําขอบคุณจากนางด้วยซ้ํา ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการกระทําของอีกฝ่ายทําให้จิตใจของนางหวั่นไหวอย่างแท้จริง

 

หลังจากที่เวลาผ่านมาหลายใน แน่นอนว่านางย่อมดูดซับหยกต้นกําเนิดวิถีสวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว รากฐานพลังบ่มเพาะที่เคยเป็นเพียงการตัดนิพพานทั่วไป พัฒนากลายเป็นการตัดขาดกับสวรรค์และปฐพี ทําให้ศักยภาพของนางยกระดับขึ้นเป็นราชาในหมู่ราชา

 

เพียงแต่นางก็เผยสีหน้าตกตะลึงในทันทีที่เห็นซูหนิว

 

ภายใต้ดวงตะวันนี้ ยังมีสตรีที่งดงามเทียบเคียงกับจักรพรรดินีอยู่อีกงั้นรึ?

 

ฮูหนิวที่มีนิสัยหึงหวงจดจ้องสายตาไปยังธิดาโร่วอย่างเหยียดหยาม “หลิงฮัน นอกจากเจ้าจะมีจิ้งจอกมารแล้ว เจ้ายังมีจิ้งจอกจอมเสน่ห์อยู่อีกตัวด้วย!”

 

หลิงฮันยิ้ม “อย่าเข้าใจผิดไป นางเป็นเพียงสหายเท่านั้น”

 

ธิดาโร่วเผยรอยยิ้มมีเลศนัยและกล่าว “โอ้ เป็นเพียงสหายงั้นรึ?” รอยยิ้มของนางช่างยั่วยวนยิ่งนัก

 

“นังจิ้งจอก ลองยิ้มอีกครั้ง หนิวจะสับหัวจิ้งจอกของเจ้าทิ้งเดี๋ยวนี้!” ฮูหนวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

 

“นายน้อยหลิง นางช่างเป็นสตรีที่ป่าเถื่อนยิ่งนัก!” ธิดาโร่วกล่าวและจงใจขยับตัวไปหลบด้านหลังหลิงฮันด้วยท่าทางยั่วยวน

 

“อิ่ม! น่ารังเกียจ!” ฮูหนิวคํารามเสียงดังลั่นเปิดเผยนิสัยอันโหดเหี้ยมออกมา

 

“อย่าไปหยอกล้อนาง ไม่เช่นนั้นจะเจ็บตัว” จักรพรรดินีกล่าว แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะฮฺหนิวได้ เพราะงั้นไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าธิดาโร่วจะเป็นคู่ต่อสู้ของซูหนิวได้รึเปล่า

 

ธิดาโรวเกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ตัวนางในตอนนี้เป็นถึงตัวตนระดับโลกียนิพพานชั้นแนวหน้า ที่ด้อยกว่านิรันดร์ห้านิพพานเท่านั้น

 

มีความจําเป็นอันใดที่นางจะต้องหวาดกลัวฮูหนิว?

 

“นางสามารถกําราบเจ้าได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว” หลิงขั้นพยักหน้าเห็นด้วย “ซูหนิวคือนิรันดร์ห้านิพพานที่เหนือกว่าข้า” เพราะอย่างไรเขาก็พึ่งทะลวงผ่านระดับห้านิพพานสําเร็จแต่ซูหนิวนั้นบรรลุระดับห้านิพพานมาก่อนแล้ว

 

ห้านิพพานงั้นรึม

 

เพียงแต่ธิดาโร่วก็สงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ตัวนางคือจอมยุทธที่ฝึกฝนทักษะยั่วยวน ที่ไม่ได้ส่งผลต่อบุรุษเพศเพียงอย่างเดียว นางทําการเผยรอยยิ้มอันทรงเสนี้ให้กับฮูหนิวในอย่างรวด เร็ว

 

“นั่งจิ้งจอก อย่าคิดว่าหนิวไม่รู้ว่าเจ้ากําลังยั่วยวนหนิวอยู่ แต่เห็นแก่ว่าเจ้าดูเจริญหูเจริญตาหนิวจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง” ซูหนิวกล่าวอย่างไม่แยแส

 

หลิงฮันน้ําสตรีนกอมตะออกมาเช่นกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าฮูหนิวย่อมเกิดความหึงหวงอีกครั้งเพียงแต่หลังจากถูกหลิงฮันกอดปลอมประโลมอยู่สักพัก นางก็ต้องยอมระงับความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้เพราะอย่างไรความรู้สึกคิดถึงที่นางมีต่อหลิงฮัน หลังจากที่ต้องแยกจากกันเป็นเวลานาน นั้นมีมากเหลือเกิน

 

พวกหลิงฮันเดินทางกลับเมืองวิดีโอสถด้วยมังกรอินทรี ความเร็วในการเดินทางจึงรวดเร็วกว่าตอนมาและกลับไปถึงเมืองวิดีโอสถเพียงแต่ในระยะเวลาหนึ่งเดือน

หลิงฮันมุ่งหน้าไปพบปรมาจารย์จื่อเฉิงหลังจากอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ ให้ฟังแล้ว เขาก็ทํา การเก็บตัวฝึกฝน

 

สิ่งที่เขาต้องทํานั้นมีมากมายเหลือเกิน

 

อย่างแรก เขาต้องการยกระดับความสามารถศาสตร์ปรุงยาของตนเอง ให้เลื่อนขั้นเป็นนักปรุงยาสามดาวให้เร็วที่สุด อย่างที่สอง เขาต้องขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้บรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานขั้นสูงสุดให้ได้

 

ส่วนหลังจากที่สํารวจเขตแดนลี้ลับเสร็จ เขาถึงจะทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณ

 

ในดินแดนแห่งเซียน ทุกๆ การทะลวงผ่านระดับใหญ่จําเป็นต้องไปยังสถานที่พิเศษ แต่กับระดับแบ่งแยกวิญญาณนั้น ทุกๆ ขั้นพลังย่อยสี่ขั้นจําเป็นที่จะต้องไปยังสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปเพื่อทะลวงผ่าน ไม่เหมือนกับระดับโลกียนิพพานที่ไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้น

 

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ การทะลวงผ่านในสถานที่ที่แตกต่างกัน จะมีผลกระทบไปถึงพลังต่อสู้ ในอนาคต

 

เพราะงั้นในตอนที่จะทะลวงผ่าน จึงจําเป็นต้องเลือกสถานที่ให้ดี

 

ทางด้านของจักรพรรดินีกับซูหนิวนั้น พวกนางทั้งสองทําการปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง เนื่อ งจากต่างฝ่ายต่างต้องการกําราบอีกฝ่าย โดยเฉพาะซูหนิว มีหลายครั้งที่นางแอบลอบโจมตีอย่างเงียบๆ เพื่อพยายามสังหารจักรพรรดินี แต่ก็ถูกหลิงฮันหยุดเอาไว้

 

ในการต่อสู้ระหว่างสตรีทั้งสอง ถึงแม้ความต่างชั้นจะไม่ได้มีมากนัก แต่แน่นอนว่าผู้ชนะย่อมเป็นซูหนิว

 

ประการแรกคือจักรพรรดินีนั้นเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับห้านิพพาน ประการสองคือซูหนิวนั้นมีทักษะนิรันตร์ กายหยาบและพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่สูงกว่า เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่จักรพรรดินีจะพ่ายแพ้

 

เพียงแต่หลังการที่ประลองกันหลายต่อหลายครั้ง สตรีทั้งสองก็เลิกตั้งตนเป็นศัตรูกันในที่สุดแม้พวกนางจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่ก็ตกลงกันว่าจะไม่ขัดแข้งขัดขากันตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว

 

หลิงฮันสามารถสงบจิตสงบใจได้ในที่สุด และตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาและขัดเกลาพลังบ่มเพาะในระดับห้านิพพาน

 

ยิ่งกว่านั้นภายในหอคอยทมิฬ ก็ยังมีอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังทั้งสามให้ฝึกฝนด้วยเพียงแต่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ที่มีเพียงหลิงฮันคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้พวกมันได้

 

ทางด้านของธิดาโรวนั้น นางเองก็ผ่านการทดสอบเป็นที่เรียบร้อย หลิงฮันจึงนํานางเข้ามาในหอคอยทมิฬ หากเป็นกับสหายล่ะก็หลิงฮันไม่คิดจะขี้เหนียว

 

ส่วนทางด้านของหวีไฟหรง นางไม่ได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่ทําการตรวจสอบที่พักของหลิงฮันอยู่เป็นระยะ พร้อมกับมองไปยังตําแหน่งของหอคอยทมิฬอย่างรําพึงรําพัน

 

เมื่อเวลาด้านนอกผ่านไปเจ็ดปี หลิงฮันก็ยังคงล้มเหลวในการยกระดับตนเองเป็นนักปรุงยาสามดาว เพียงแต่ว่าหากเป็นทักษะหัวงจิตปรับแต่งล่ะก็ ความสามารถของเขาพัฒนาเป็นห้วงจิตปรับแต่งขั้นสามได้เป็นที่เรียบร้อย

 

หลิงฮันเข้าใจเลยว่าทําไมนักปรุงยาสามดาวถึงเป็นที่เคารพ และไม่น่าแปลกใจที่ทําไมหัวงจิตปรับแต่งขั้นถึงเป็นขีดจํากัดของนักปรุงยาแทบทั้งหมด เพราะต่อให้มีเวลามากมายแค่ไหนการจะบรรลุให้ได้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลําบากมาก

 

เมื่อเวลาผ่านไปเก้าปี ในที่สุดหลิงฮันก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ

 

ในระยะเวลาเพียงเก้าปีนั้น แน่นอนว่าเมืองวิถีโอสถย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เหล่าอดีตผู้สืบทอดคนอื่นๆ เองก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไร เนื่องจากมีปรมาจารย์จื่อเฉิงคอยควบคุมเมืองนี้อยู่ใคร กันจะกล้าสร้างความวุ่นวาย?

 

หลิงฮันเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง แต่ก็ถูกปรมาจารย์จื่อเฉิงเรียกตัวเสียก่อน

 

“มานี้ ข้าจะแนะนําให้รู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์หลานของเจ้า” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชี้นิ้วไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้า “เผิงฮวาเหนียน เขาเป็นศิษย์ของศิษย์พี่สามของเจ้า และเป็นนักปรุงยาสามดาว”