เบื้องหน้าค่ายของทัพไร้คาดเดานั้นผางเจิ้นเดินมากล่าวต่อเยว่เฟิงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้หยิ่งยโสแต่ก็ไม่ได้อ่อนน้อมใด “เจ้าไม่ต้องคุกเข่าใดๆ แล้ว นายท่านบอกว่าหากเจ้าอยากชดใช้ก็จงไปติดตามท่านหนี่ซวนเสีย เข้าร่วมสงครามต่อสู้กับศัตรูเพื่ออนาคตของหลากเผ่าพันธุ์”
ผางเจิ้นในตอนนี้ไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโสหลงตัวเองใดๆ
ก่อนหน้านั้นเขามักจะใช้นามของเต๋าบรรพกาลสายฟ้าเพื่อจะดูถูกคนทั้งโลกหล้า
แต่เวลานี้เขากำลังใช้กำลังของตัวเองในการเย้ยหยันคนทั้งโลกหล้าแทน
ในฐานะมือขวาของเย่หยวน ตัวเขานั้นย่อมจะมีสิทธิวางตัวอย่างเท่าเทียมกับยอดฝีมือทุกผู้คนบนโลกนี้
เขานั้นมีทั้งเบื้องหลังที่ลึกล้ำและความสำเร็จอันมากมาย
เมื่อเยว่เฟิงได้เห็นผางเจิ้นนั้นดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นทันที “เจ้า… เจ้าคือทายาทของเต๋าบรรพกาลสายฟ้า?”
ผางเจิ้นพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว บรรพบุรุษของข้านั้นคือท่านเต๋าบรรพกาลสายฟ้า!”
เยว่เฟิงต้องสูดหายใจเข้าลึก ตำแหน่งของเต๋าบรรพกาลสายฟ้านั้นยิ่งใหญ่ปานใด? ทั้งอย่างนั้นผางเจิ้นนี้กลับยังมายอมก้มหัวรับใช้เย่หยวน!
เดิมทีความเคารพของเขาต่อนักบุญฟ้าครามนั้นมันเกิดขึ้นจากการสั่งสอนอันหนักแน่นของบรรพบุรุษ
แม้ว่าจะได้เห็นฝีมือของเย่หยวนกับตาแต่ตัวเขานั้นก็ยังไม่อยากเชื่อว่าคนระดับเต๋าบรรพกาลนั้นกลับจะกล้าลดตัวลงมาเทียบเคียงเขาคนนี้
เต๋าบรรพกาลนั้นมันแตกต่างจากหลินหวู่ซวง!
เพราะหลินหวู่ซวงนั้นเป็นคนตายไปแล้ว แต่เต๋าบรรพกาลนั้นยังเป็นยอดคนที่มีชีวิต!
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ นายท่านนั้นคือนักบุญฟ้าครามผู้สร้างคุณประโยชน์อันเป็นนิรันดร์ให้แก่มนุษย์เราด้วยตัวคนเดียว! ต่อให้จะเป็นบรรพบุรุษข้าเองก็ยังต้องเรียกท่านว่าท่านนักบุญฟ้าครามด้วยความเคารพเช่นกัน! หากเจ้าคิดอยากชดใช้สิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้วก็จงแสดงมันด้วยการกระทำมิใช่คำพูด ทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าฟ้าดินห้าทลายนั้นเสียแล้วไปต่อสู้เคียงข้างคนทั้งหลายในแนวหน้า! ในวันหน้ามันย่อมจะเกิดตำนานของเจ้าขึ้นอย่างแน่นอน แต่หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้อยู่อีกแล้ว หึๆ แม้จะเป็นจักรพรรดิหยกเองก็คงช่วยเจ้าไม่ได้แน่!” พูดจบผางเจิ้นก็เดินมือไพล่หลังจากไป
เยว่เฟิงนั้นได้แต่ทำหน้าเหยเกแต่เวลานี้เขาได้เข้าใจถึงตำแหน่งของนักบุญฟ้าครามอย่างชัดเจนแล้ว
แม้ว่ากำลังของตัวเขาเองมันจะยังไม่เหนือล้ำแต่เหล่าเจ้าฟ้าดินห้าทลายทั่วฟ้าดินต่างยกย่องและทำตามคำสั่งของนักบุญฟ้าคราม
ศึกก่อนหน้านี้มันยังทำให้เขาตกตะลึงไม่หาย
แม้น้ำทุกสายย่อมไหลลงมาบรรจบที่ทะเล ทะเลที่ว่านั้นมันคงเป็นเย่หยวนแล้ว?
เขานั้นใช้กำลังของตัวเองเพียงผู้เดียวเปลี่ยนกระแสของสงครามทำลายเผ่าเทวาสิ้น
เรื่องราวยิ่งใหญ่เช่นนี้มันย่อมจะถูกกลายขายไปชั่วกาลนาน!
สงครามสิ้นโลกนี้ยังไม่จบสิ้นลง หากเผ่ามนุษย์จะแพ้พ่ายลงในที่สุดเรื่องราวต่างๆ มันคงไม่ต้องคิดถึงใด
แต่หากสุดท้ายเผ่ามนุษย์กลับชนะมาได้แล้วตำนานของเย่หยวนย่อมจะถูกถ่ายทอดไปจนกว่ามหาพิภพถงเทียนนี้จะแตกสลาย!
ถึงเวลานั้นมันจะมีใช่แค่เผ่ามนุษย์ แต่ทุกๆ เผ่าพันธุ์ก็ย่อมจะมาก้มหัวลงต่อเขาด้วย!
เย่หยวนนั้นจะได้กลายเป็นนักบุญอันเป็นนิรันดร์!
แน่นอนว่าความเป็นเจ้าฟ้าดินห้าทลายนั้นมันดูเหนือล้ำ แต่ต่อหน้าเย่หยวนแล้วเขาย่อมจะไม่มีค่าใด
ในโลกหล้านี้มันเป็นดินแดนที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทุกสิ่งตัดสินด้วยพลังอำนาจ
แต่เย่หยวนนั้นกลับก้าวข้ามหัวเขาไปได้ กลับมีตำแหน่งและอำนาจสูงล้ำทุกสิ่งอย่างไป!
แค่เรื่องที่เขาเคยลบหลู่ว่าเย่หยวนนั้นไป เขาก็คงไม่อาจจะมีที่อยู่เหลือในดินแดนมนุษย์ได้แล้ว
ถึงเวลานั้นต่อให้โลกหล้านี้มันจะกว้างใหญ่แค่ไหนตัวเขาก็คงไม่มีที่อยู่!
ผลที่ตามมานี้มันมากล้นเกินกว่าที่เขาจะแบกรับ!
เขานั้นไม่เคยคิดฝันว่าความอยากรู้อยากเห็นชั่ววูบนั้นกลับจะสร้างปัญหาที่ใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ทิ้งศักดิ์ศรีของเจ้าฟ้าดินห้าทลายมาคุกเข่าหน้าค่ายของเย่หยวน
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดออกมาพบเจอใดๆ
เขานั้นได้แต่มองดูเงาแผ่นหลังของผางเจิ้นที่เดินไกลออกไป ก่อนที่เยว่เฟิงจะเรียกนั่งเหม่อ
เขาและผางเจิ้นนั้นมีความคล้ายคลึง
แต่เขาและผางเจิ้นนั้นกลับมีเส้นทางที่แตกต่างกันสุดขั้ว
คนหนึ่งนั้นถูกคนนับพันเคารพนับถือ
อีกคนนั้นถูกคนนับพันเกลียดชังไสส่ง!
“หรือว่า… ข้าจะคิดผิดไปแล้วจริง?” เยว่เฟิงได้แต่กล่าวบ่น
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าใดสุดท้ายเยว่เฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปทางค่ายหลักของกองทัพ
…
“ท่านนักบุญฟ้าคราม เยว่เฟิงนั้นคุกเข่ามานานถึงสามวันสามคืนแล้วท่านจะไม่สนใจเขาจริงๆ หรือ?” หนี่ซวนถามขึ้น
เขานั้นจะอย่างไรก็เป็นเจ้าฟ้าดินห้าทลายคนหนึ่ง มันย่อมจะไม่อาจเมินเฉยได้
เย่หยวนตอบกลับไป “เวลามันย่อมทำให้ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไป คนมากมายคิดหลบหลีกไม่สู้ใด ข้าไม่ว่าหรอก แต่บรรพบุรุษของมันนั้นกลับเป็นคนของยุคก่อน ทั้งหลายนั้นมันกลับคิดทิ้งชีวิตการเสียสละของบรรพบุรุษตน ข้ายกโทษให้ไม่ได้จริงๆ! ข้าว่าพวกเจ้าทั้งหลายเองก็คงมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่เช่นกัน แต่หากพวกเจ้าได้เห็นความตายของนักบุญมายาล้ำแล้วพวกเจ้าจะไม่มีทางคิดเช่นนี้เด็ดขาด คนตระกูลเจียนทั้งร้อยคนนั้นสละชีวิตของตนเองตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นเพื่อความถูกต้อง เรื่องราวในตอนนั้นมันจะดูยิ่งใหญ่ล้ำและเป็นโศกนาฏกรรมที่เศร้าโศกปานใด? พวกเขานั้นเลือกที่จะยอมตายทั้งๆ ที่ร่างกายยังแข็งแรงพร้อมสิ้น!”
“สองนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำ? มันควรจะเป็นสองนักบุญมายาล้ำและฟ้าครามต่างหาก! นักบุญมายาล้ำนั้นสร้างคุณไว้มากเหนือล้ำข้านัก! นักบุญผู้นี้แค่เดินทางผ่านมิติเวลาไปทิ้งสมบัติสืบทอดไว้ แต่นักบุญมายาล้ำนั้นได้ทิ้งจิตวิญญาณแห่งการดิ้นรนที่ไม่มีวันมอดดับไว้! ความถูกต้องนั้นอยู่ที่ใด เจตจำนงของท่านนั้นยังคงอยู่ในจิตใจคนแม้จะต้องแลกชีวิตมาก็ตาม! ยอดคนในยุคนั้นต่างสละชีวิตเพื่อความถูกต้อง สร้างคุณงามที่เป็นนิรันดร์ไว้! นี่มันคือที่มาของคำว่ายอดคนที่แท้จริง!”
“พวกเจ้าทั้งหลายคิดว่ามหาบรรพกาลทั้งสิบแปดนั้นก้าวขึ้นถึงพลังของกฎได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าเพียงเพราะสมบัติสืบทอดที่ข้าทิ้งไว้นั้น? ไม่! มันเป็นเพราะว่านักบุญมายาล้ำท่านได้สั่งสอนคำพูดหนึ่งลงในจิตใจของผู้คน เพื่อความถูกต้อง! นี่มันคือคำที่เป็นแรงผลักให้พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดอยากแข็งแกร่ง แต่ละคนนั้นจึงได้ก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดขุมกำลังของมนุษย์เรา! และมันก็เป็นคำพูดนั้นที่นำพาพวกเขาเข้าสู่ศึกขับไล่เผ่าเทวา ไม่ยอมแพ้จนกว่าชีวิตจะหาไม่! หลังจากพวกเขาทั้งหลายตายลงแล้วเหตุผลที่มันไม่มีนักยุทธระดับกฎโผล่ขึ้นมาอีกก็เพราะเรื่องนั้น!”
พูดมาจนถึงตรงนี้ดวงตาของเย่หยวนก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
คนทั้งหลายนั้นได้แต่ต้องก้มหัวลงอย่างอับอาย คนที่เย่หยวนกล่าวถึงนี้มันมิใช่แค่ตัวเยว่เฟิง แต่รวมไปถึงพวกเขาทั้งหลายนี้ด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะชนะศึกนี้ได้แต่ในทัพผสมหลากเผ่าพันธุ์นั้นมันก็มีหลายต่อหลายคนที่มาเพราะจำใจต้องสู้
มันไม่มีใครที่คิดสู้เพื่อความถูกต้องอย่างแท้จริง
นักบุญมายาล้ำนั้นไม่ได้ช่วยไว้แค่เผ่ามนุษย์!
บรรพบุรุษของพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างเคยได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่ามนุษย์มาก่อน ต่อสู้จนตัวตายก็ไม่หวาดกลัว
แต่ทุกสิ่งอย่างนั้นมันกลับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
“นายท่าน ผู้น้อยอับอายนัก!” หนี่ซวนกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงอ่อน
เขานั้นสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเย่หยวนที่พูด
นี่มันเป็นสิ่งที่เย่หยวนแทบไม่เคยแสดงออก
การทำให้นักบุญฟ้าครามแสดงอารมณ์ได้ขนาดนี้มันย่อมจะหมายความว่าเรื่องราวในคราวนั้นได้กินใจของเขาไปมาก
และคุณของนักบุญมายาล้ำนั้นมันไม่มีใครลบเลือนได้
“นายท่าน เราผิดไปแล้ว!”
…
เหล่ายอดคนทั้งหลายต่างก้มหัวลงขอโทษตามๆ กัน
แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาโบกปัด “ช่างเถอะ เรื่องที่แล้วไปแล้วก็คือแล้วไปแล้ว! ไม่ว่านักบุญผู้นี้จะพูดกล่าวอีกสักเท่าใดมันก็คงไม่อาจฝังคำพูดนั้นลงในใจพวกเจ้าได้ ในชีวิตนี้ นักบุญผู้นี้มีแต่ต้องทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเท่านั้น”
เวลานั้นมันเปลี่ยนเรื่องราวได้ จิตใจของหลากเผ่าพันธุ์มันไม่ได้เหมือนวันวาน
เย่หยวนนั้นพูดกล่าวออกมาก่อนหน้าแต่เขาก็รู้ดีว่าคำพูดนี้มันคงไม่มีทางไปถึงจิตใจของคนทั้งหลายได้
เวลานี้คำพูดมันไร้ค่าใด
หากไม่ได้มีสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ต่อให้จะพูดบอกไปเท่าไหร่มันก็เปล่าประโยชน์
คนทั้งหลายนั้นต่างก้มหัวลงอย่างอับอายไม่กล้าจะพูดกล่าว
หนี่ซวนที่เห็นสภาพอึดอัดเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้นมา “นายท่าน หลังจบศึกนี้แล้วฝ่ายทัพเผ่าเทวามันคงไม่กล้าเข้าโจมตีเราอีก จากนี้จะวางแผนรับมืออย่างไรดี?”
เย่หยวนตอบกลับไป “ชนะแล้วก็ต้องติดตามไล่ล่ามัน เอาดินแดนที่เสียไปคืนมา ไล่พวกมันให้กลับไปถึงมิตินรก!”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินพวกเขาต่างก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาพร้อมความประหลาดใจ
ผู้นำคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “นายท่าน เรื่องนั้น… มันจะดีหรือ? หากเราไปทำให้บรรพบุรุษของเผ่าเทวานั้นโกรธเคืองเอาแล้วผลที่ตามมามันคงมากเกินกว่าจะรับไหว!”
เย่หยวนที่ได้ยินนั้นก็ยิ้มตอบ “ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว มันมิใช่ว่าบรรพบุรุษของมันยังไม่โกรธเคือง แต่ว่าพวกมันทั้งหลายนั้นก็กำลังเกรงเต๋าบรรพกาลอยู่ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ออกมารบใด! พวกเจ้าคิดว่าชนะศึกเดียวนี้แล้วจะนอนตีพุงฉลองกันได้หรือ? เวลานี้สงครามสิ้นโลกมันเพิ่งจะเริ่มขึ้นต่างหาก! เวลาการกำเนิดแห่งเต๋าสวรรค์นั้นต่างหากมันจะเป็นเวลาหายนะของหลากเผ่าพันธุ์! พวกเจ้าลืมเสียงหัวเราะของเทียนเหอมันแล้วหรือ? เมื่อเหล่าบรรพบุรุษเผ่าเทวาลงมือแล้วพวกเจ้าทั้งหลายก็คงเป็นได้แต่เศษธุลี! เพราะฉะนั้นจงอย่าได้คิดว่าตัวเองจะโชคดีหลบรอดผลของสงครามนี้ไปได้!”
….