“ตื่น!”
หลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ เปล่งเสียงธรรมออกมา สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน
ฮูม!
บนเขาฝนดาวตกที่เดิมรกร้างราวซากปรักหักพัง พลันมีสัญลักษณ์ลายมรรคหนาแน่นดั่งกระแสธารผุดขึ้นมา รวมตัวเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่ เชื่อมโยงพลังแห่งฟ้าดิน
มองเห็นว่าพลังวิญญาณอันไพศาลหาใดเทียบราวมังกรตัวใหญ่ตื่นขึ้นจากใต้เขาฝนดาวตก จากนั้นก็พรั่งพรูออกมา!
ไอวิญญาณถาโถมนั้นช่างเหมือนคงคามหานที แปรสภาพเป็นมังกรพยัคฆ์คำรามยาวกลางฟ้าดิน เสียงสะท้านภูผาธาราแถบนี้
ด้านบนเขาฝนดาวตก ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง โอสถวิญญาณ ดอกไม้อัศจรรย์ พริบตาเดียวก็ผลิบานสุกงอมพลิ้วไหวไปตามลม เปล่งปลั่งเจิดจรัสงดงามสะดุดตา
ไอวิญญาณหลั่งไหลแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตก ไหลออกมาจากหน้าผาเหือดแห้งแตกระแหง ประหนึ่งมังกรขาวตัวหนึ่งเทลงมา
แม้แต่รากต้นไม้แห้งเหี่ยวที่หยั่งรากลึกอยู่กลางเศษซากส่วนหนึ่งยังมีพลังชีวิตเจิดจรัสอีกครั้ง เริ่มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า
เพียงครู่เดียวเท่านั้นบนเขาฝนดาวตกก็พลิกโฉมหน้าไปแล้ว ก็เห็นว่าเมฆมงคลรวมตัวบนเวิ้งฟ้า แสงมงคลไหลวน ไอวิญญาณอบอวลราวนิมิตมายา อาบชโลมเขาฝนดาวตกทั้งลูกเอาไว้
บนภูเขาพลังชีวิตเปี่ยมล้น ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ดอกไม้อัศจรรย์และโอสถประหลาดแต่งแต้มอยู่บนนั้น ทั้งมีน้ำพุน้ำตกไหลหลั่ง เป็นทิวทัศน์อุดมสมบูรณ์แห่งถ้ำสวรรค์แดนมงคล
เทียบกับภาพเศษซากหักพังและแห้งแล้งเงียบเหงาก่อนหน้านี้ เขาฝนดาวตกในตอนนี้ถึงเรียกได้ว่าเป็นเขาแดนมงคล!
ไกลออกไป เจ้าคางคก นกทมิฬและอาหลู่อึ้งไปแล้ว นี่ก็คือพลังของนักสลักลายมรรคหรือ
ก่อนหน้านี้หลินสวินเสียเวลาหนึ่งวันไปกับการวางกระบวนวิญญาณรอบเขาฝนดาวตก หมายจะฟื้นฟูให้เขาฝนดาวตกคืนสู่สภาพเดิมในอดีต พวกเขายังไม่เชื่ออยู่บ้าง
คิดว่าหากคิดจะหาที่ลงหลักปักฐาน ไปช่วงชิงยึดครองภูเขาแดนมงคลลือชื่อสักลูกหนึ่งก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้สักนิด
แต่ตอนนี้ต่างต้องยอมรับว่า พวกเขาตื่นตาไปกับฝีมือที่แทบจะเหนือล้ำธรรมชาติ แปลงสิ่งผุพังเป็นอัศจรรย์นั้นของหลินสวินเสียแล้ว
ซากปรักหักพังแห่งหนึ่งพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนชีพ!
“ตั้งแต่วันนี้ไป ที่นี่ก็จะเป็นที่พำนักฝึกปราณของพวกเรา!”
หลินสวินลงมาจากฟ้า เอ่ยปากแช่มช้า
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือเทียมฟ้า แต่เป็นเพราะใต้เขาฝนดาวตกแห่งนี้เดิมก็มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดฝังอยู่ ส่วนเขาเพียงใช้กระบวนรอยสลักวิญญาณลายมรรค ดึงพลังของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น
หาไม่แล้วต่อให้เขามีความสามารถมากมายเทียมฟ้า ก็ไม่อาจสรรสร้างถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่งดงามเลิศล้ำแห่งหนึ่งขึ้นมากลางความว่างเปล่าได้
แน่นอนว่าหากเขาไม่ได้ครอบครองพลังที่ใกล้เคียงกับนักสลักลายมรรคอยู่ ก็ย่อมทำถึงขนาดนี้ไม่ได้แน่
ก่อนหน้านี้เหตุใดเขาฝนดาวตกถึงรกร้างเช่นนี้ ไม่มีใครเหลียวแล
ง่ายดายนัก ในแดนเก้าบนนี้ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็มีเพียงหลินสวินที่ครอบครองพลังแห่งกระบวนวิญญาณลายมรรคเช่นนี้ ทำให้ภูเขาลูกนี้เปลี่ยนจากผุพังเป็นอัศจรรย์!
“พี่ใหญ่ เจ้าแน่ใจแล้วจริงหรือว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะฝึกตนที่นี่”
เจ้าคางคกถามอย่างอดไม่ได้
หลังจากช่วยอาหลู่กลับมาจากแดนโบราณหมื่นลักษณ์ได้ พวกเขาก็รีบออกจากแดนอสนีบูรพาเฉกเช่นม้าไม่หยุดฝีเท้า กลับมายังแดนอัคคีทักษิณ
ตามที่หลินสวินว่าไว้ เขาต้องการฝึกตน จำศีลสักพักหนึ่ง นั่งดูสถานการณ์วุ่นวายของโลกภายนอก
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกราวหนึ่งปีเท่านั้นแดนมกุฎก็จะปิดฉากลง คาดเดาได้ว่าช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายในแดนเก้าบนต้องยิ่งโกลาหล แม้ข้าไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวในนั้นด้วย ไหลตามกระแสคลื่นก็ไม่สู้เป็นผู้สังเกตการณ์”
หลินสวินเอ่ย
ตกตะกอน!
ไม่กี่ปีก่อนไม่ว่าจะอยู่ที่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหรือแดนธรรมสถูป เขาได้ศุภโชคและวาสนาครั้งแล้วครั้งเล่า พลังปราณก็รุดหน้าฉับพลัน เกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดินเป็นพักๆ
ความเร็วในการเลื่อนขั้นไม่ถึงกับทำให้โลกตะลึง แต่ก็รวดเร็วมากพอแล้ว
อีกทั้งด้านมรรคาตอนนี้ เขาไม่ได้ขาดวาสนาและไม่ต้องการศุภโชคอะไร ที่ขาดเพียงอย่างเดียวก็คือการตกตะกอนความรุ่งเรืองและร่วงโรยสักครั้ง!
วาสนาก็เหมือนของนอกกาย หากยึดมั่นกับสิ่งนี้ก็จะติดอยู่กับของนอกกาย ไม่ต่างอะไรกับปีนต้นไม้ไปหาปลา ผิดฝาผิดตัว!
ฝึกปราณถึงระดับปัจจุบัน หลินสวินยิ่งเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง การฝึกปราณก็คือกระบวนการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง
หากจิตใจถูกวัตถุนอกกายและอารมณ์ภายในก่อกวน แม้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศหรืออัจฉริยะไร้ใครเทียบ ก็ต้องกลืนหายไปกับมวลมนุษย์!
ใคร่ครวญถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว ก็เพราะหลินสวินรู้ดีว่าในมรรคาสิ่งที่ตนต้องการคืออะไร และควรจะละทิ้งอะไรไป
ระหว่างรับเอาและละทิ้ง คือกระบวนการควบคุมใจตน!
“เจ้าเฒ่าดำ เจ้าล่ะ”
เจ้าคางคกเห็นหลินสวินท่าทีแน่วแน่ ก็เอ่ยถามนกทมิฬอย่างอดไม่ได้
นกทมิฬทอดถอนใจ สองปีกไขว้หลังแล้วพูดว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ล้าแล้ว สำรวจความรุ่งเรืองทางโลกราวภาพฝันนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่สู้เมามายในโลกมนุษย์สักครั้งแล้วรีบถอนตัวตอนยังรุ่งโรจน์ เร้นกายในภูเขาลำเนาไพร ร่ำสุราต้มชาถกเรื่องมรรค ไม่ใช่เป็นสุขแล้วหรือ”
เจ้าคางคกกับอาหลู่พากันกลอกตา ถ่มน้ำลายครั้งหนึ่ง เหยียดหยามยิ่งนัก
“อาหลู่ เจ้าว่าไง”
เจ้าคางคกเบือนหน้าถาม
อาหลู่ฉีกยิ้ม “ข้าเพิ่งหลุดพ้นจากสุสานจักรพรรดิที่ทุกคนหมายปองตาร้อนผ่าวมา ยังจะไปหาวาสนากับศุภโชคหาพระแสงอะไร!”
เจ้าคางคกถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด จริงด้วย เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าคนเถื่อนนี่เพิ่งได้มหาศุภโชคอันล้ำเลิศมา
กลับเห็นว่าดวงตานกทมิฬพลันส่องประกาย “ปัดโธ่ พวกเรายังจะยึดติดกับศุภโชคอะไรอีก ตอนนี้ก็ไม่ได้มีมหาศุภโชคชิ้นหนึ่งแล้วหรือ”
สายตามันดูเจ้าเล่ห์ ยามมองอาหลู่ก็เหมือนจดจ้องหญิงงามเหนือโลกาที่กึ่งเปลือยแสร้งปฏิเสธผู้หนึ่ง บนหน้าผากแทบจะเขียนคำว่าสับปลับไว้แล้ว
เจ้าคางคกอึ้งไปก่อน จากนั้นพลันตัวสั่นสะท้านตกตะลึง โอบอาหลู่ไว้อย่างตื่นเต้นดีใจแล้วร้องว่า “น้องสาม ศุภโชคสุสานจักรพรรดิถูกเจ้าชิงเอาไปได้แล้วหรือ”
รอยยิ้มของอาหลู่แข็งทื่อ ในใจรู้สึกไม่สู้ดียิ่ง พอกำลังเตรียมจะปลีกตัวชิ่งหนีก็ถูกนกทมิฬกับเจ้าคางคกหนีบแขนทั้งซ้ายทั้งขวาไว้ ใช้ท่าทาง ‘สนิทชิดเชื้อ’ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่ายพาเขาขึ้นไปบนเขาฝนดาวตก
“จุ๊ๆๆ สมกับเป็นน้องสามคนดีของข้า เจ้าบอกพี่ชายมาหน่อยสิว่าตกลงในสุสานจักรพรรดิมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
“ใช่ อาหลู่ คราวนี้เพื่อมาช่วยเจ้า พวกเราไม่สนใจแม้แต่ชีวิต ต่อให้ข้าไม่ได้ไขว่คว้าหาสิ่งอื่น แต่ถ้าเจ้ารู้สึกเกรงใจก็เอาวาสนาอะไรมาตอบแทนข้าเสียหน่อย…”
“ถุย! เมื่อกี้นกหัวขโมยอย่างเจ้าไม่ได้แหกปากว่าสำรวจความรุ่งเรืองทางโลกจนทั่วแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการแล้วหรือไง”
“เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเพียงถกมรรคกับสหายอาหลู่เท่านั้นเอง!”
“ถกมรรคบ้านปู่เจ้าสิ!”
…ไกลออกไปเพียงได้ยินเสียงเจ้าคางคกกับนกทมิฬด่าทอกัน ส่วนอาหลู่เหมือนคนนอก สับสนงงงวยไปหมด
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็บื้อใบ้ไปอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงก้าวย่างขึ้นไป
ตอนนี้แดนเก้าบนสำหรับเขาไม่มีสิ่งใดที่ต้องการแล้ว เหลือเพียงรอโอกาสฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋ครั้งหนึ่งเท่านั้น!
……
พี่น้องได้พานพบ ย่อมต้องร่ำสุรา!
ผ่านไปหลายปีพวกหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ถึงได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ในชั่วขณะนี้ก็มีเพียงดื่มกินจนหนำใจถึงจะควรค่ากับช่วงเวลาอันดีงามเช่นนี้ได้
หลังจากดื่มเหล้าจนกรึ่มแล้ว สุดท้ายอาหลู่ก็รับ ‘มิตรจิตรมิตรใจชั้นเลิศ’ ของเจ้าคางคกกับนกทมิฬไม่ไหว เล่าประสบการณ์หลายปีมานี้ออกมาอย่างหมดเปลือก
ที่แท้ตอนอยู่ในแดนเผาเซียน อาหลู่จากไปเพียงลำพัง วิ่งเต้นตลอดทางผ่านไปหลายเขตแดน สุดท้ายถึงได้ข่าวเกี่ยวกับแดนโบราณหมื่นลักษณ์
กระทั่งช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก เดิมเขาคิดจะกลับไปรวมตัวกับหลินสวินและเจ้าคางคก แต่เวลาไม่พอแล้ว จึงทำได้เพียงออกเดินทางคนเดียว
หลังจากมาถึงแดนเก้าบนอาหลู่ก็เข้าไปในแดนอสนีบูรพาทันที สำหรับคนนอกแล้ว ผนึกแดนโบราณหมื่นลักษณ์ยังไม่หายไป ไม่มีใครเข้าไปได้
แต่อาหลู่กลับเป็นข้อยกเว้น เพราะ ‘สุสานจักรพรรดิ’ ที่เก็บเงียบอยู่ในแดนโบราณหมื่นลักษณ์ ก็คือสิ่งที่ ‘จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ’ หลงเหลือไว้
และ ‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา’ ที่อาหลู่ฝึกฝนก็เป็นมรดกของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพบรรพกาล
“ให้ตายสิ ไอ้หนูเจ้าโชคดีเย้ยฟ้าจริงเชียว!”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อนไม่ว่างเว้น
“น้อยหน่อยเถอะ มรดกเซียนผลาญตอนนั้นก็ไม่ใช่เจ้าได้ไปหรือ”
อาหลู่แค่นเสียงเย็น พูดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาพลันขุ่นเคืองขึ้นอย่างบอกไม่ถูก “ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าไม่รู้เลยว่าหลายปีมานี้ข้าผ่านมาได้อย่างไร!”
ตอนเขาพูดน้ำตาก็จะไหลอยู่รอมร่อ
ในสุสานจักรพรรดิแห่งนั้น มีศุภโชคที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพหลงเหลือไว้จริงๆ แต่กลับเป็นการเคี่ยวกรำและทดสอบที่น่ากลัวถึงที่สุดครั้งหนึ่ง
แต่ละวันอาหลู่ถูกเคี่ยวกรำอย่างเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แทบจะขาดใจตาย ต้องตรากตรำและทดสอบเพียงเพื่อรีบออกไปจากสถานที่เฮงซวยนั่นเร็วขึ้นหน่อย
แต่ที่ทำให้อาหลู่สิ้นหวังก็คือ พลังปราณของเขาบรรลุไม่หยุดหย่อนในการเคี่ยวกรำอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งพลังต่อสู้ก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ยามหลุดพ้นการทดสอบแต่ละครั้ง กลับพบกับการเคี่ยวกรำและทดสอบครั้งใหม่อีก…
ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เขาเข้าไปในแดนเก้าบนก็ติดอยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งนั้น จนกระทั่งพวกหลินสวินมาช่วยชีวิต เขาถึงเพิ่งหลุดพ้นจากความยากลำบาก
ถึงตรงนี้พวกหลินสวินก็พอจะเข้าใจประสบการณ์หลายปีมานี้ของอาหลู่แล้ว ในใจทอดถอนใจไม่ว่างเว้นอย่างห้ามไม่ได้ ต่างไม่รู้ว่าจะพูดว่าอาหลู่โชคดีหรือโชคร้าย
จะบอกว่าเขาโชคร้าย ในช่วงหลายปีมานี้แม้เขาถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่ก็ได้มหาศุภโชคที่หายากหาใดเทียบชิ้นหนึ่งมาอยู่ดี
ครั้นจะบอกว่าเขาโชคดี แต่หลายปีมานี้เขาก็ติดอยู่ในสุสานจักรพรรดิมาโดยตลอด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่ละวันที่ผ่านไปก็เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่…
เจ้าคางคกสีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น “พูดแบบนี้ สุสานจักรพรรดินั่นเป็นสถานที่ตายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพจริงๆ หรือ นี่เป็นถึงจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคบรรพกาลคนหนึ่งเลยนะ ทำไม… ทำไมถึงร่วงหล่นลงได้”
นกทมิฬกลับพูดอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “ประสบการณ์อันทุกข์ตรมของเจ้าก็ถูกยกขึ้นมาแล้ว พูดแล้วก็ดีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ รีบบอกมาดีกว่าว่าคราวนี้เจ้าได้ของดีอะไรมากันแน่ นี่จึงจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ”
เดิมทีอาหลู่เตรียมจะบอกเล่าความน่าสงสาร เจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหล เมื่อได้ยินก็พลันถลึงตาโต “พวกเจ้าสองคนช่วยเห็นใจกันหน่อยได้ไหม ข้าน่าอนาถถึงเพียงนั้น พวกเจ้ายังเอาแต่คิดถึงวาสนากับศุภโชคอีกหรือ”
เจ้าคางคกกับนกทมิฬพากันถ่มถุยเหยียดหยามครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยกัน เริ่มข่มขู่และหลอกล่ออาหลู่อีกรอบหนึ่ง
ในที่สุดอาหลู่ก็ชูมือขึ้นโบกด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เสียงครืดดังขึ้น แผ่นหินมหึมาแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ กระแทกลงมาบนพื้น
“นี่ก็คือศุภโชคสุสานจักรพรรดิที่พวกเจ้าเฝ้าฝัน!” อาหลู่พูดอย่างอ่อนแรง
แผ่นหินยาวหลายจั้ง ด้านบนมีภาพแน่นขนัดสลักอยู่ กลิ่นอายเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานประทับอยู่บนนั้น มีท่วงทำนองยิ่งใหญ่ที่ผ่านการตกตะกอนของเดือนปี
เพียงแต่เมื่อพวกหลินสวินได้เห็น ทำไมถึงรู้สึกว่าสิ่งนี้เหมือนฝากระดานโลงศพขนาดยักษ์แผ่นหนึ่ง…
——