บทที่ 1528 ขโมยภาพวาด + ตอนที่ 1529 มนุษย์ไม่อาจเปรียบเปรยกับเดรัจฉานได้

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1528 ขโมยภาพวาด + ตอนที่ 1529 มนุษย์ไม่อาจเปรียบเปรยกับเดรัจฉานได้ Ink Stone_Romance

 

ตอนที่ 1528 ขโมยภาพวาด

ภาพวาดในมือของเจิ้งซื่อหลินไม่ได้ใหญ่นัก ขนาดราวหนึ่งตารางฟุตดูเหมือนจะเป็นภาพเหมือน

ฉีฉีเก๋อชะงักแล้วขยี้ตาอย่างเหลือเชื่อ ไม่ได้ดูผิดไปเพราะในมือของเจิ้งซื่อหลินคือภาพวาดที่เหมยเหมยมอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด ภาพเหมือนที่เธอยังไม่ทันใส่กรอบเลย

“ภาพวาดของฉันไปอยู่มือคุณได้อย่างไร? คุณมันไอ้แก่หัวขโมย คืนภาพวาดฉันมานะ!”

ฉีฉีเก๋อพุ่งเข้าไปโดยไม่คิดเลยสักนิดเพื่อต้องการแย่งภาพของเธอคืนมา เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็เอาไม่อยู่ หนำซ้ำเธอยังแปลกใจมาก ภาพสุดที่รักของฉีฉีเก๋อไปอยู่ในมือคนคนนั้นได้อย่างไร?

เหมยเหมยเห็นว่าเป็นภาพวาดของตนตั้งแต่แรก รวมถึงเสียงตะโกนของฉีฉีเก๋อที่ได้ยินจึงรู้ว่าภาพนั่นเธอไม่ได้เป็นคนให้ก็พลันนึกโล่งใจแต่ก็แปลกใจไม่น้อย เจิ้งซื่อหลินได้ภาพวาดนั้นมาอย่างไร?

แต่เธอนึกคำตอบออกมาได้อย่างรวดเร็วจึงหันไปมองทางเจิ้งเสวี่ยซาน แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำทีเหมือนไม่มีอะไร แต่เธอกำหมัดเอาไว้แน่นและยังกัดปากล่างไว้แน่น บ่งบอกได้ว่าตอนนี้เธอกำลังกังวลมาก

ต้องเป็นเจิ้งเสวี่ยซานที่ขโมยภาพวาดมาแน่!

แต่เจิ้งเสวี่ยซานขโมยเอาภาพวาดไปทำไม?

ฉีฉีเก๋อพุ่งตัวไปหาเจิ้งซื่อหลิน ต้องการจะแย่งภาพวาดของเธอคืน เจิ้งซื่อหลินเบี่ยงหลบทัน

ถามขึ้นยิ้ม ๆ “นี่คือภาพวาดของเธอเหรอ?”

“แน่นอน ไม่เห็นหรือไงว่าบนภาพนั่นคือฉัน? ไอ้แก่หัวขโมย กล้าขโมยภาพวาดของฉัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ฉีฉีเก๋อโมโหเป็นอย่างมาก เหมยเหมยพูดถูกทั้งหมด เขาเป็นสัตว์ชั้นต่ำตัวหนึ่งที่อยากจะถลกหนังคน!

“ภาพวาดนี่ฉันไม่ได้ขโมยมานะแต่มีคนเอาไปขายที่ตลาดมืด ฉันเห็นว่าเป็นภาพวาดของลูกหลานท่านอาจารย์จึงซื้อกลับมาด้วยราคาที่สูง แม่สาวน้อยเธออย่าใส่ร้ายคนดีหน่อยเลย”

เจิ้งซื่อหลินมีท่าทีสงบพร้อมกับชี้ไปที่ลายเซ็นต์ด้านบนที่มีชื่อของจ้าวเหมยอยู่จริง

ฉีฉีเก๋อเป็นคนใส่ซื่อ เข้าใจว่าตนเองใส่ร้ายผู้อื่นเข้าจริงจึงเอ่ยขึ้นว่า “คน ๆนี้เป็นขโมย คุณเอาภาพฉันคืนมาเงินที่คุณซื้อภาพวาดมาฉันคืนให้ก็ได้”

“ไม่ต้องรีบ ฉันไม่อยากได้เงินของเธอ ภาพวาดก็คืนให้เธอก็ได้แต่เธอตอบฉันมาก่อนหนึ่งคำถาม” เจิ้งซื่อหลินพูดกลั้วหัวเราะ

ฉีฉีเก๋อมองเขาอย่างเอือมระอา หากไม่เป็นเพราะกลัวทำภาพพัง เธอคงลงมือแย่งมานานแล้ว

“ภาพวาดนี้จ้าวเหมยวาดเองกับมือใช่ไหม?” เจิ้งซื่อหลินถาม

“เมื่อกี้คุณก็พูดเองว่าเป็นเหมยเหมยวาด ตอนนี้จะมาถามฉันเพื่ออะไรอีก?”

มองเจิ้งซื่อหลินราวกับคนโง่ จ้องมองภาพวาดในมือเจิ้งซื่อหลินไม่วาง

เจิ้งซื่อหลินหัวเราะแก้เก้อ แต่ก็พอใจในคำตอบของฉีฉีเก๋อมาก ชูภาพวาดในมือยกสูงให้คนอื่นได้เห็นอย่างจัดเชน

“ทุกคนเห็นชัดแล้วใช่ไหม? นี่คือภาพวาดที่ลูกสาวน้องเหยียนวาดเองกับมือ เมื่อครู่แม่สาวน้อยนี่ก็พูดแล้ว เธอจะทำให้สำนักเหยียนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ว่า…”

เจิ้งซื่อหลินเงียบไปพักหนึ่งเพื่อกระตุ้นให้คนฟังอยากรู้ แล้วถึงพูดต่อ “ฝีมือการวาดภาพเป็นอย่างไรผมขอไม่พูด ทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพดูออกอยู่แล้ว ที่ผมอยากจะบอกคือ แม่เด็กกะโปโลที่ชื่อจ้าวเหมยมีภาวะความคิดที่ซับซ้อนเกินไป ทำทั้งภาพวาดตะวันตก ทั้งเขียนหนังสือการ์ตูน ทั้งยังเรียนเต้นรำ ทุกท่านรู้กันดีการจดจ่อไม่ควรแบ่งออกไปหลายทาง อยากทำเรื่องใดให้สำเร็จต้องแน่วแน่และจดจ่ออยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”

เขาหันมองเหมยเหมยอีกครั้ง พูดแฝงอย่างมีนัยยะ “ปณิธานความคิดของเจ้าเด็กนี่ปกติดี แต่ผมก็ยังสงสัยว่าความสามารถของจ้าวเหมยจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้สำนักเหยียนได้จริงหรือ?”

เจิ้งซื่อหลินถอนหายใจอีกครั้งด้วยท่าทีราวกับห่วงใยเป็นกังวล หร่วนหวาไฉ่เองก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน

เหมยเหมยแสยะยิ้ม ที่แท้ก็วางแผนจะทำแบบนี้นี่เอง!

ขยันวางแผนเก่งไม่เบานะเนี่ย!

“ฉันเรียนหลายอย่างนั่นเพราะตอนที่คุณตายังอยู่มักพูดเสมอว่าศิลปะทุกแขนงล้วนเชื่อมโยงกัน ดูเหมือนว่าการเต้นรำหรือศิลปะการแสดงพื้นบ้านจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ความเป็นจริงนั้นล้วนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการวาดภาพหมด ดังนั้นงานอดิเรกของคุณตาจึงมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแปล การแกะสลัก เขียนพู่กันจีน แต่งเพลง…ท่านเรียนรู้หลายแขนง…”

เจิ้งซื่อหลินพูดประชด “ท่านอาจารย์เป็นผู้มีพรสวรรค์ ร้อยปีก็ยากที่จะหาได้ แม่สาวน้อยเธอโอ้อวดโดยไม่กระดากปากบ้างเหรอ กล้าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับอาจารย์ท่าน!”

………………………………………………………

ตอนที่ 1529 มนุษย์ไม่อาจเปรียบเปรยกับเดรัจฉานได้

คำพูดของเจิ้งซื่อหลินได้รับความเห็นชอบจากคนจำนวนมาก เหยียนตานชิงเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยาก คนอื่นหากเรียนมากเกินไปคงเลอะเลือนไปแล้ว แต่เหยียนตานชิงกลับเรียนรู้ได้หมดทุกอย่างและเรียนรู้เป็นอย่างดี

สามารถพูดได้ว่าเป็นดาวินชีของฮวาเซี่ยเลยล่ะ!

จนถึงปัจจุบันอย่าว่าแต่ในประเทศเลย ต่อให้ทั่วโลกก็ยากที่หาใครสักคนที่โดดเด่นได้เท่าเหยียนตานชิง เด็กกะโปโลอย่างจ้าวเหมยกล้าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเหยียนตานชิง ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง!

เหมยเหมยหัวเราะเยาะไปที “ฉันพูดว่าจะเทียบชั้นกับคุณตาตั้งแต่เมื่อไร ฉันแค่เลียนแบบวิธีการเรียนรู้ของคุณตาเท่านั้นเอง เจิ้งซื่อหลินคุณพูดพล่ามอะไรอยู่?”

“เหอะ วิธีการของท่านอาจารย์ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเลียนแบบได้!” เจิ้งซื่อหลินพูดเหน็บแนมใส่ กล้าเรียกอาจารย์ได้เต็มปาดเต็มคำ คนที่ไม่รู้ความจริงคงเข้าใจว่าเขาเป็นศิษย์รักของเหยียนตานชิงจริง ๆสิท่า!

เหมยเหมยฟังจนเอือมจึงด่าโต้กลับว่า “คุณไม่มีสิทธิ์เรียกคุณตาว่าอาจารย์ คุณกับหร่วนหวาไฉ่ไม่ใช่คนของสำนักเหยียนมานานแล้ว ในเมื่อไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานคนเราก็ควรมียางอายบ้าง!”

“เธอกล้ามากนักนะ…เหอะ ปากดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ฝีมือการวาดภาพของเธอมันไม่ได้เรื่องก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดสำนักเหยียน” เจิ้งซื่อหลินไม่ได้โกรธแต่กลับหัวเราะร่า ในที่สุดก็พูดจุดประสงค์ของตัวเองออกมาเสียที

“ไร้ยางอายที่สุด…” เหยียนซินหย่าดวงตาแดงก่ำ

เธอเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเจิ้งซื่อหลินในทันที หากไม่เกินคาดล่ะก็คงรู้ว่าพ่อของเธอเก็บของล้ำค่าไว้มากมายขนาดนี้ถึงมีใจคิดโลภขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นวงการเพลง อักษรและการวาดภาพ หากผ่านขั้นตอนเข้าเป็นศิษย์แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับลูกชายเลย แม้ว่าในทางกฎหมายจะไม่รับรองสิทธิการสืบทอดมรดกของพวกเขา แต่ในวงการศิลปะนั้นเป็นกฎที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร

หากว่าคุณยังคิดที่จะอยู่ในวงการศิลปะต่อไปก็ต้องทำตามกฎของสายอาชีพนี้ มิเช่นนั้นคงต้องโดดเดี่ยวและกระทำการใดอย่างยากเข็ญ

เจิ้งซื่อหลินกับหร่วนหวาไฉ่ทำทุกอย่างเป้าหมายสูงสุดก็คือการกลับเข้าสู่สำนักเหยียน แบบนี้พวกเขาก็จะสามารถสืบทอดมรดกของเหยียนตานชิงได้ตามธรรมเนียม อีกทั้งยังมีอำนาจเหนือกว่าเหยียนซินหย่าด้วย

เหมยเหมยเองก็เข้าใจเป็นอย่างดีจึงแอบด่าพวกชั้นต่ำไร้ยางอายในใจ

เธอไม่มีทางปล่อยให้ไอ้ชั่วสองคนนี้สมปรารถนาแน่นอน!

“ฉันเป็นหลานสาวแท้ ๆของเหยียนตานชิง ใครบอกว่าฉันไม่มีสิทธิ์สืบทอดมรดก? คุณทำตามกฎที่ไหนไม่ทราบ?” เหมยเหมยเยาะเย้ย

“แน่นอนว่าตามกฎของวงการศิลปะ สำนักเหยียนไม่ได้มีแค่แม่ของเธอคนเดียว คนมีความสามารถปรากฏตัวขึ้นมาไม่ขาดสาย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กกะโปโลอย่างเธอมาตัดสินใจ!” เจิ้งซื่อหลินไม่ปกปิดความโลภของตนอีกต่อไป

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเห็นแล้วยังนึกโมโห ก่นด่าเสียงต่ำ “เหอะ…ไอ้แก่นี่ไม่คิดจะอาศัยความสามารถตัวเองเลย พ่อของฉันยังไม่หน้าด้านหน้าทนเท่ามันเลย!”

ฉีฉีเก๋อโกรธจนทนไม่ไหว หากไม่ใช่เพราะว่าตัวเธอนั้นต่ำต้อยคำพูดไร้น้ำหนักล่ะก็ เธอคงวิ่งเข้าไปช่วยเพื่อนด่าอีกแรงให้หายโมโห

“ต่อให้พ่อเธอจะหน้าด้านก็ยังเป็นคน จะไปเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแบบนั้นทำไม?”

ฉีฉีเก๋อด่าอย่างโหดร้าย เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตบหน้าขาไปทีหนึ่ง “ถูกต้อง อย่างน้อยพ่อของฉันก็เป็นคนนี่ ไม่อาจเทียบกับสัตว์เดรัจฉานได้เลย!”

พอเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดจบก็รู้สึกว่าผิดปกติ จึงใช้หลังมือตบฉีฉีเก๋อไปทีหนึ่ง “พ่อเธอสิที่หน้าด้านหน้าทน!”

พ่อของเธอจะหน้าด้านแค่ไหนก็เป็นผู้ใหญ่ เธอด่าได้ แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์ด่า!

ฉีฉีเก๋อลูบท้ายทอยปอย ๆอย่างน้อยใจที่สุด

ไม่ใช่เธอที่พูดก่อนเสียหน่อย ทั้ง ๆที่เป็นยัยอ้วนนี่พูดก่อนแท้ ๆเลย!

สีหน้าเจิ้งเสวี่ยซานแย่มาก แทบอยากจะฉีกปากของนางโง่สองตัวนี้เสีย แต่เธอก็ไม่อาจเปิดเผยสถานะได้ ช่างอึดอัดใจเสียจริง

เพียงแค่รอให้คุณปู่สืบทอดสำนักเหยียนได้ ถึงเวลานั้นเธอจะสั่งสอนพวกโง่นี่ให้สาสม ให้พวกมันได้รู้ว่าตามติดจ้าวเหมยไม่มีทางมีอนาคตที่ดีได้หรอก!

………………………………………………………………..