บทที่ 1334 สังหารขุนนางเทวะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,334 สังหารขุนนางเทวะ

“อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม”

ฉู่เหินรีบกล่าวเร็วไว

“วู่วาม? อาจารย์ไม่รู้จักข้าเสียแล้ว”

หลินเป่ยเฉินที่กำลังจะเดินออกไปนอกถ้ำพลันหยุดชะงักเล็กน้อย “ข้านั้นเป็นบุคคลที่รักตัวกลัวตายที่สุด หากไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองกระทำ ข้าจะกล้าลงมือได้อย่างไร?”

ฉู่เหินคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็พบว่าเป็นความจริงตามนั้น

หลินเป่ยเฉินมีนิสัยขี้ขลาดตาขาว หากไม่มั่นใจในสิ่งใด ก็จะไม่ลงมือทำเด็ดขาด

ฉู่เหินทำท่าจะเดินตามออกไปด้วย แต่หลินเป่ยเฉินกลับหันมายกมือห้ามไว้ “ท่านอยู่ที่นี่คอยดูแลพี่ไต้เถอะ”

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

หลินเป่ยเฉินก็ก้าวเดินออกมานอกถ้ำ

ลูกสมุนของเขาทั้งห้าคนจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาประหลาดใจ

บัดนี้ ใต้เท้าอวิ๋นอิงพร้อมด้วยองครักษ์คู่กายของตนเองกว่ายี่สิบชีวิตกำลังยืนปิดล้อมปากทางเข้าถ้ำใต้ดินของคนบาปจุ่ยถู

กลุ่มองครักษ์คู่กายของใต้เท้าอวิ๋นอิงนอกจากทำหน้าที่เป็นองครักษ์ให้เขาแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยผู้คุมกฎ คอยลงโทษและทรมานบรรดาคนบาปในเหมืองใต้ดินอีกด้วย

ใต้เท้าอวิ๋นอิงเป็นชายร่างเตี้ย แต่ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าแดงก่ำ จมูกโต เบ้าตาลึกโหล จำกัดความได้ว่าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่น่าเกลียดที่สุดของใต้เท้าอวิ๋นอิงกลับเป็นเครายาวราวกับน้ำตกสีเหลืองทอง ความยาวของหนวดเคราใต้คางแทบจะเลยระดับหัวเข่า หนวดเคราได้รับการลงน้ำมันจนฉ่ำเยิ้ม มิหนำซ้ำ ยังถักเป็นเปียเส้นเล็ก ๆ อีกด้วย

และชุดเกราะที่ใต้เท้าอวิ๋นอิงสวมใส่อยู่นั้น ก็แทบจะรองรับมัดกล้ามตามร่างกายไม่ไหวแล้ว

ใต้เท้าอวิ๋นอิงระเบิดคลื่นพลังกดดันคุกคามไปรอบบริเวณ

ดวงตากลมเล็กของเขาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้าย

นับเป็นสายตาที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากขนลุกเกรียวด้วยความสะพรึงกลัว

“คิดไม่ถึงเลยนะว่าเจี๋ยนเซียวเหยาผู้โด่งดังจะให้เกียรติมาเยือนเหมืองใต้ดินของข้า”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงเปลี่ยนสีหน้าจากการแสยะยิ้มมาแสดงออกถึงความโกรธแค้นได้ในพริบตาเดียว

เสียงของเขากังวานไปรอบบริเวณจากการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์

แต่เห็นได้ชัดว่าพลังยังอ่อนด้อยกว่าใต้เท้าหมิงรั่ว

หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูและตัดสินใจได้ไม่ยาก

“จุ่ยถูและน้องชายของเขาที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นสหายของข้า ข้าอยากจะไถ่ตัวพวกเขาออกไป”

หลินเป่ยเฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ใต้เท้าอวิ๋นอิง ท่านเสนอราคามาเถอะ”

“ฮ่า ๆๆ มีเทพเจ้าเป็นสหายกับคนบาปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงระเบิดเสียงหัวเราะขบขัน

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของท่าน”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความเหยียดหยาม “นามเจี๋ยนเซียวเหยาของเจ้าบัดนี้โด่งดังไปทั่วเมืองเยี่ยเฉิง ในเมื่อเจ้ากล้าขอ ข้าก็กล้าให้ เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า ชีวิตของคนบาปสองคนนี้มีราคาหนึ่งพันล้านคะแนนศรัทธา จ่ายมาสิ แล้วข้าจะยกพวกมันให้เจ้าทันที”

หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อย

เชี่ยไรเนี่ย?

เจ้าเตี้ยนี่กล้าเสนอราคามาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

ตามบทมันไม่สมควรเป็นแบบนี้สิ

จากที่เขาฟังพฤติกรรมของใต้เท้าอวิ๋นอิงผ่านการบอกเล่าของอาจารย์ฉู่เหิน ผู้ดูแลเหมืองใต้ดินแห่งนี้จะต้องปฏิเสธการต่อรองราคาไม่ใช่หรือไง?

แล้วทำไมถึงได้คิดเปิดฉากเจรจาแล้วล่ะ?

หลินเป่ยเฉินไม่ได้วางแผนที่จะจ่ายเงินมาตั้งแต่แรก เขาเพียงพูดออกไปพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายกลับคิดเจรจาการซื้อขายจริง ๆ เด็กหนุ่มจึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

คะแนนศรัทธาหนึ่งพันล้านแต้มอย่างนั้นหรือ?

เพื่อแลกกับชีวิตของฉู่เหินและไต้จือฉุน จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย

แต่ทำไมหลินเป่ยเฉินต้องจ่ายเงินให้เจ้าเตี้ยนี่ด้วยล่ะ?

อาจารย์ฉู่และพี่ใหญ่ไต้ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็เพราะใต้เท้าอวิ๋นอิง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่หลินเป่ยเฉินสมควรจ่ายเงินออกไป

ฝันไปเถอะ

“คะแนนศรัทธาหนึ่งพันล้านแต้มแพงเกินไป…”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “สักห้าร้อยแต้มก็น่าจะพอแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง เพราะคิดว่าตนเองหูฝาด “เจ้าว่าเท่าไหร่นะ?”

“คะแนนศรัทธาห้าร้อยแต้ม”

หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ

บรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งเป็นลูกสมุนของเขาทั้งห้าคนได้แต่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

นายท่านเป็นยอดอัจฉริยะด้านการต่อรองจริง ๆ

“เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าอย่าได้มาล้อเล่นกับข้า”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์

ก่อนหน้านี้ เขาเองวิตกกังวลในชื่อเสียงของเจี๋ยนเซียวเหยาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นใต้เท้าอวิ๋นอิงจึงไม่เอาเรื่องเอาราวที่เจี๋ยนเซียวเหยาทำร้ายผู้คนของตนเองได้รับบาดเจ็บ เพราะไม่อยากจะมีปัญหากับเทพเจ้าดาวรุ่งผู้ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเยี่ยเฉิง

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะเลวทรามถึงขนาดนี้

“เป็นท่านมาล้อเล่นกับข้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็ต้องพาคนกลับไปให้ได้ หากท่านไม่ยอมรับราคานี้ก็เสียใจด้วย”

เด็กหนุ่มกล่าวเสียงแข็ง

ความจริง หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวนายเหนือหัวของใต้เท้าอวิ๋นอิง ป่านนี้ใต้เท้าอวิ๋นอิงก็คงถูกบดขยี้ติดพื้นดินไปแล้ว

“เจ้า…”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงกัดฟันยิ้มด้วยความโกรธแค้น “เฮอะ ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะไว้หน้าเจ้า ตราบใดที่เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง เจ้าก็สามารถพาตัวจุ่ยถูกับน้องชายพิการของมันไปได้แล้ว”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ “ท่านจะให้ข้ารับปากเรื่องใด?”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงยิงฟันยิ้ม “ตัดแขนของจุ่ยถูมาให้กับข้า แล้วเจ้าจะเอาตัวมันไปไหนก็ไป”

เมื่อได้ยินข้อเสนอของใต้เท้าอวิ๋นอิง หลินเป่ยเฉินก็แสดงสีหน้าอำมหิตออกมา

ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์คมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่

“ข้าจะให้โอกาสท่านได้ทบทวนคำพูดของตนเอง”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำราม

ใต้เท้าอวิ๋นอิงเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทาสรับใช้ของข้า ชีวิตของมันเป็นของข้า นับประสาอะไรกับแขนสองข้าง…”

ก่อนจะหันหน้าไปตะโกนใส่ปากถ้ำ “จุ่ยถู ยังไม่รีบออกมาอีก?”

ฉู่เหินค่อย ๆ เดินออกมาอย่างแช่มช้า

“ตัดแขนของเจ้าออกมาซะ”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงออกคำสั่งด้วยเสียงไร้อารมณ์

ฉู่เหินยิ้มและไม่พูดอะไร

เขาเพียงกำมือเป็นหมัดและกระแทกกำปั้นออกมาข้างหน้า

ครืน!

คลื่นพลังแผ่กระจายไปรอบทิศทาง

นี่คือคำตอบของฉู่เหิน

สีหน้าของใต้เท้าอวิ๋นอิงแปรเปลี่ยนไปทันที “เจ้าคนบาป เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ?”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าอาจารย์ฉู่เหินและกล่าวว่า “ให้ข้าจัดการเถอะ”

ฉู่เหินขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย ก็ผายมือเปิดทางให้แก่เด็กหนุ่ม

พรึ่บ!

ตลอดทั้งร่างกายของหลินเป่ยเฉินพลันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสว่างไสว

ตัวคนแผ่รัศมีร้อนผ่าวราวกับดวงตะวัน ทำให้เหมืองใต้ดินที่มืดมิดแห่งนี้สว่างไสวและอบอุ่นไม่ต่างจากตอนกลางวัน

ลำแสงสีทองคำปกคลุมที่มือขวาและศีรษะของหลินเป่ยเฉิน

เป็นการสวมใส่หมวกเหล็กอมตะและถุงมือเทวฤทธิ์อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์

และโจมตีอย่างไม่ลังเล

ครืน!

กำปั้นทมิฬแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นมังกรไฟ

ใต้เท้าอวิ๋นอิงร้องอุทานออกมาว่า “เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าโอหังเกินไปแล้ว…”

แต่ด้วยความตื่นกลัว ผู้ดูแลเหมืองร่างเตี้ยจึงไม่กล้าเผชิญหน้าตรง ๆ เขาม้วนตัวเป็นก้อนกลมกลิ้งหลบไปข้างทาง…

ตู้ม!

พลังทำลายล้างจากกำปั้นมังกรไฟทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

พื้นดินเกิดรอยแตกร้าวยาวไกลราวกับใยแมงมุม แม้แต่บนกำแพงหินที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ยังเกิดรอยแตกร้าวเช่นกัน

“เสี่ยวหลง เสี่ยวปิง เสี่ยวมู่ พวกเจ้ารีบพาสหายของข้าหลบหนีไปก่อน”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกน “ใครกล้าขัดขวางพวกเจ้า เดี๋ยวข้าจะซัดมันเอง”

“นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ”

เฉียนหลงตอบรับกลับไปด้วยความตื่นเต้น

“นายท่านได้โปรดวางใจ”

ลู่ปิงเหวินและพรรคพวกก็หลุดออกจากภวังค์แห่งความสับสน รับคำสั่งด้วยความกระตือรือร้นเช่นกัน

สมแล้วที่เป็นนายท่านของพวกเขา

เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง กลุ่มลูกสมุนของหลินเป่ยเฉินจึงเข้าไปพาตัวไต้จือฉุนออกมาจากถ้ำใต้ดินและเดินทางหลบหนีไปพร้อมกับฉู่เหินด้วยความรวดเร็ว

บรรดาผู้คุ้มกันในเหมืองใต้ดินไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาขัดขวาง

“จับตัวพวกมันไว้”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงทนไม่ไหวต้องระเบิดเสียงคำรามออกมา “ลั่นระฆังเรียกกำลังเสริม อย่าให้พวกมันหลบหนีออกไปจากเหมืองใต้ดินได้เด็ดขาด…”

ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังกังวานไปทั่วเหมืองใต้ดิน

ในความมืดมิด ม่านพลังลักษณะแปลกประหลาดถูกเปิดผนึกการใช้งาน

ค่ายอาคมจำนวนมากฉายแสงกลางความมืด

“บังอาจนัก”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าดุดันและกระแทกกำปั้นออกไปอีกครั้ง “ใครขวางทางข้า มันต้องตาย”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงคำรามตอบกลับมา “เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้าอย่าได้รังแกผู้คนให้มากเกินไป… ฮั่วจู ออกมาฆ่าคนให้กับข้า”

และเขาก็ประทับสองมือลงไปบนพื้นดิน

อักขระโบราณเรืองแสงขึ้นมาจากพื้นดินเป็นเส้นวงกลม

หลังจากนั้น พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผิวดินเคลื่อนไหวราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต เพียงพริบตาเดียว มันก็รวมตัวเป็นมนุษย์หินยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกห้าชั้น ยืนหยัดเผชิญหน้าขวางทางหลินเป่ยเฉิน

สามารถรวมร่างมนุษย์หินได้ด้วยหรือ?

หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดของตนเองต่อยออกไปรัว ๆ

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

มนุษย์หินพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

เมื่อหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะมนุษย์หินได้ ก็เท่ากับเขาสามารถเอาชนะใต้เท้าอวิ๋นอิงได้ในเวลาเดียวกัน และลมหายใจต่อมา กระบี่เงินก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเขาตวัดฟันออกไปอีกสองกระบวนท่า

ลำแสงกระบี่สว่างวูบวาบ

หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งถือกระบี่เงินขณะวิ่งไล่ตามพวกของฉู่เหินไปทางด้านหลัง

ร่างของใต้เท้าอวิ๋นอิงยืนแข็งทื่ออยู่ในตำแหน่งเดิม

“โอ๊ะ โอ๊ะ…”

ในลำคอของเขาเกิดเสียงขลุกขลักราวกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ

ใต้เท้าอวิ๋นอิงยกมือขึ้นกุมลำคอของตนเองด้วยสองมือ

โลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมาตามง่ามนิ้วอย่างไม่อาจควบคุมได้

“เจ้า… กล้าดีอย่างไร… ถึงสังหารข้า?”

ใต้เท้าอวิ๋นอิงยืนโงนเงน ก่อนที่ร่างจะล้มคว่ำลงในที่สุด