บทที่ 1338 ได้เวลาทวงแค้นอีกครั้ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,338 ได้เวลาทวงแค้นอีกครั้ง

เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ไม่ได้ขัดขวาง

พลังกดดันคุกคามกระจายหายไป

มนุษย์ก้อนหินยักษ์แตกสลายกลายเป็นกองเศษหินเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน

และลูกสมุนผู้แข็งแกร่งของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็ไม่ได้อยู่เพื่อช่วยเหลือใต้เท้าอวิ๋นอิงอีกต่อไป เพียงพริบตาเดียว กลุ่มคนเหล่านั้นก็หายไปในความมืด

ผู้ที่เหลืออยู่ยังคงเป็นลูกสมุนระดับสามัญของใต้เท้าอวิ๋นอิงเท่านั้น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนมองด้วยความห่วงใยอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้ามาช่วยเหลือ

เพราะก่อนหน้านี้มีนักรบเทวะส่วนหนึ่งพยายามจะเข้ามาช่วยเหลือใต้เท้าอวิ๋นอิง แต่สุดท้ายก็โดนฉู่เหินซัดลอยกระเด็นกลับไป

หลินเป่ยเฉินรัวหมัดใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายจนพอใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ขยับเข็มขัดที่เอวเล็กน้อย ยกมือจัดแต่งทรงผมของตนเอง ก่อนหันไปกวักมือเรียกฉู่เหิน

“อาจารย์ฉู่ขอรับ เรามาสร้างช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกันเถอะ”

คุณชายหลินยิ้มกริ่ม “บรรดาผู้ติดตามของข้าจะช่วยจับตัวเขาไว้ให้เอง”

“เจ้านี่ช่างรู้ใจข้าเหลือเกิน”

ฉู่เหินรับคำโดยไม่เกรงใจและกระโดดเข้ามาตามคำเรียกร้อง

เขารอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว

กร๊อบ!

เพียงหมัดแรกของฉู่เหินก็ทำให้กระดูกบนใบหน้าของใต้เท้าอวิ๋นอิงยุบลงไป

ใต้เท้าอวิ๋นอิงไม่สามารถทนทานพลังหมัดของฉู่เหินได้ บัดนี้จึงหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ

“เฮ้อ…”

ฉู่เหินส่งเสียงครางในลำคอและกล่าวว่า “จบสิ้นกันสักที”

ต้องทราบก่อนว่าใต้เท้าอวิ๋นอิงหมดสติไปตั้งแต่หมัดแรก อีกหลายหมัดต่อมาหลังจากนั้นของฉู่เหินจึงไม่ต่างจากชายวัยกลางคนกำลังต่อยกระสอบทรายที่ไร้ชีวิต ใต้เท้าอวิ๋นอิงไม่อาจต่อสู้ขัดขืนได้อีกแล้ว

ฉู่เหินลุกขึ้นยืน ขยับเข็มขัดที่เอวเล็กน้อยและยกมือเสยผม ก่อนจะเดินออกจากร่างของใต้เท้าอวิ๋นอิงพร้อมกล่าวว่า “ข้ารอคอยเวลานี้มานานแล้ว ในที่สุดก็ได้แก้แค้นสักที… เฮ้อ หลังจากได้ระบายเช่นนี้ ค่อยรู้สึกโล่งหน่อย”

“ในที่สุด ข้าก็รู้แล้วว่าคนบาปผู้นี้กับนายท่านเป็นสหายกันได้อย่างไร” ดวงตาของเฉียนหลงเป็นประกายระยิบระยับ

“เพราะอะไรหรือ?” ซือเกินตั๋งถามกลับมาด้วยความไม่รู้

“ท่านยังมองไม่ออกอีกหรือ?” มู่หลินเซินเป็นคนให้คำตอบ “คนบาปผู้นี้กับนายท่านของเราเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน นอกจากกิริยาจะเหมือนกันแล้ว แม้แต่ท่าทางก็เหมือนกันอีกด้วย เมื่อทุบตีผู้คนเสร็จ พวกเขาจะต้องขยับเข็มขัดที่เอวเล็กน้อย ซ้ำยังยกมือเสยผมเหมือนกันอีกด้วย”

“มียิ่งกว่านั้นอีกนะ”

กวนรั่วเฟยส่งเสียงกระซิบออกมา “เขายังมีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่ต่างไปจากนายท่าน คนบาปผู้นี้ถึงกับกล้าเผชิญหน้ากับผู้เป็นเจ้านายของตนเอง เป็นเจ้าจะมีความกล้าหาญเช่นนี้หรือไม่?”

กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น

จริงด้วยสินะ

คนบาปจุ่ยถููมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน

ก่อนหน้านี้ ด้วยความที่จุ่ยถููมีสถานะเป็นคนบาป กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าจึงอดรู้สึกเหยียดหยามอยู่ในใจไม่ได้ แต่เมื่อลองมาคิดทบทวนดูอีกที พวกเขาถึงนึกออกว่าคนบาปจุ่ยถููมีสถิติในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่น่ากลัวมากเพียงใด อีกทั้งเขายังทำผลงานได้โดดเด่นเป็นรองก็แต่เพียงเจี๋ยนเซียวเหยาเท่านั้น…

นอกจากความแข็งแกร่ง จุ่ยถููยังมีจิตใจที่กล้าหาญ

หากบุคคลเช่นนี้ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ทราบเลยว่าจะได้ดำรงตำแหน่งเทพเจ้าที่สูงส่งขนาดไหน?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าก็ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อฉู่เหินโดยไม่รู้ตัว

“อ้อ!”

อยู่ดี ๆ ลู่ปิงเหวินก็ร้องตะโกนออกมา

ทุกคนสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองหน้า

“ข้าเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้เรื่องหนึ่ง” ลู่ปิงเหวินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เรื่องอะไรหรือ?”

หลินเป่ยเฉินก็พลอยเคร่งเครียดขึ้นมาด้วยเช่นกัน

หมอนี่ลืมอะไรที่สำคัญไปหรือ?

ลู่ปิงเหวินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่หันไปมองหน้าพวกของเฉียนหลงทั้งสี่คน “พวกเราเติบโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทุบตีขุนนางเทวะเลยนี่นา?”

“ใช่ อย่าว่าแต่พวกเราเลย แม้แต่ต้นตระกูลของพวกเราก็ไม่มีผู้ใดขวัญกล้าบังอาจถึงเพียงนั้น…” เฉียนหลงตอบออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วคำพูดก็หยุดชะงักอยู่ในลำคอ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

ลู่ปิงเหวินกระโดดเข้าไปรัวกำปั้นใส่ใต้เท้าอวิ๋นอิงผู้สลบไสล

“สำเร็จแล้ว ข้าทำได้สำเร็จแล้ว”

เขาตัวสั่นเทาร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

“บัดซบ”

เฉียนหลงกระโดดเข้าไปรัวกำปั้นใส่เช่นกัน “งั้นขอข้ารับช่วงต่อจากเจ้าเอง”

ซือเกินตั๋งเบิกตาโตด้วยความตะลึงลาน

มู่หลินเซินกับกวนรั่วเฟยได้สติหลุดออกจากภวังค์ พวกเขาส่งเสียงร้องอุทานแปลกประหลาด ก่อนจะวิ่งไปข้างกายใต้เท้าอวิ๋นอิงและเริ่มต้นทุบตีด้วยความบ้าคลั่ง…

พลั่ก!

พายุกำปั้นโหมกระหน่ำ

“นี่”

ในที่สุด ซือเกินตั๋งก็สลัดหลุดออกจากความตกตะลึง

เขาสั่นเทาไปทั้งตัว รีบกระโดดเข้าไปผลักลู่ปิงเหวินออกให้พ้นทาง ก่อนกระโดดขึ้นคร่อมใต้เท้าอวิ๋นอิงและคำรามว่า “ข้าจะเป็นคนปิดท้ายให้พวกเจ้าเอง…”

“ให้ตายสิ…”

หลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่ที่ด้านข้างได้แต่ยกมือกุมขมับ “ดูลูกสมุนของข้าแต่ละคนเถอะ”

ฉู่เหินกับไต้จือฉุนต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

หลังจากได้ชำระแค้นต่อใต้เท้าอวิ๋นอิงอย่างสะใจ อารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งสองก็เปลี่ยนไปมาก

โดยเฉพาะฉู่เหิน ความโกรธแค้นที่เขาต้องอดทนอดกลั้นต่อใต้เท้าอวิ๋นอิงมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อย และชายวัยกลางคนก็รู้สึกว่าแขนกลของตนเองดูเหมือนจะเกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาอีกครั้ง

“ต้องอธิบายก่อนนะว่า ตอนที่รับตัวมาเป็นลูกสมุน พวกเขาไม่ได้โง่เขลาเช่นนี้”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ก่อนจะส่งบุหรี่ให้แก่ไต้จือฉุนกับฉู่เหินคนละมวน เมื่อเขายกมือดีดนิ้ว เปลวไฟก็สว่างไสวในอากาศ และปลายบุหรี่ของทุกคนก็สว่างวาบ

นี่คือข้อดีของการมีพลังปราณธาตุไฟ

เพราะเอาไว้ใช้จุดบุหรี่ได้อย่างสะดวกสบาย

“บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาใกล้ชิดกับเจ้านานมากเกินไปกระมัง”

ฉู่เหินพ่นควันออกมาจากปากและกล่าวต่อ “คนที่อยู่ใกล้หมูย่อมอ้วนพี คนที่อยู่ใกล้น้ำหมึกย่อมดำปี๋”

“อาจารย์ฉู่ ท่านยังคงปากคอเราะร้ายเช่นเดิม”

หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้

ฉู่เหินเคาะขี้เถ้าบุหรี่ “ข้าก็เรียนรู้มาจากเจ้านี่แหละ ข้าพบว่าการกระทำตัวเป็นบุคคลปากร้ายมักดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เสมอ มิหนำซ้ำ ยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนได้อีกด้วย โดยเฉพาะกับกลุ่มสตรี”

“หา? อายุท่านก็ปูนนี้แล้ว ยังจะคิดถึงเรื่องสตรีอีกหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินเย้ยหยันกลับไปอย่างไม่ปรานี

ตอนที่ฉู่เหินยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีนางใดเหลียวมองเช่นเดียวกับติงซานฉือ

แต่ในภายหลังกลับปรากฏว่าอาจารย์ติงของหลินเป่ยเฉินมีตำแหน่งเป็นถึงราชบุตรเขยของชาวทะเล อีกทั้งยังนำกองทัพชาวทะเลมาบุกยึดเมืองหยุนเมิ่ง และเคยมีคนรักเก่าเป็นถึงยอดสาวงามประจำเมืองไป๋หยุนอีกด้วย

“มีบุรุษผู้ใดบ้างไม่คิดสนใจสตรี”

ฉู่เหินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ลูกสมุนทั้งห้าของข้าพาท่านไปพบเจอกับสาวงามในดินแดนทวยเทพเอง”

หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ที่มุมปาก ก่อนจะตบมือเสียงดังและกล่าวต่อ “เอาล่ะ วันนี้ข้าจะคิดเสียว่าเป็นโอกาสให้ทุกคนได้ระบายความโกรธแค้น แต่หลังจากนี้ ข้าจะจัดการกับศัตรูอย่างช้า ๆ เพราะเรายังมีเรื่องราวบางอย่างที่ยังต้องเจรจากันต่อ”

พวกของลู่ปิงเหวินรีบผละออกมาจากร่างที่หมดสติของใต้เท้าอวิ๋นอิงทันที

สำหรับพวกเขาแล้วนี่คือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน

การได้ทุบตีขุนนางเทวะครั้งนี้ ทำให้พวกเขาสามารถไปคุยโวในหอสุราได้อีกเป็นสิบปี

“ปลุกเขาขึ้นมา ได้เวลาที่เจ้าหมอนี่จะต้องมอบสัญญาทาสมาให้กับข้าแล้ว”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

“เราจะปลุกอย่างไรดีขอรับ?”

ซือเกินตั๋งถามออกมาด้วยความสงสัย

พวกเขาจะปลุกคนที่สลบให้ฟื้นคืนสติได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มก่อนจะหันไปหาไต้จือฉุนและถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านอยากจะลองดูบ้างหรือไม่?”

“ข้าอยากจะลองดู”

ไต้จือฉุนสูบบุหรี่หมดมวนอย่างรวดเร็ว รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก้าวปราดเข้าไปหาใต้เท้าอวิ๋นอิง ก่อนยืนคร่อมไปที่ใบหน้าและปลดเข็มขัดของตนเองออก…