บทที่ 642.3 จูเหลี่ยนมีหมัดให้ต้องถาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แน่นอนว่าเรื่องโชคด้านความสัมพันธ์กับผู้คนของหร่วนฉงก็ทำให้ซ่งเหอฮ่องเต้หนุ่มได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเข้าไปประชุมในห้องทรงพระอักษร ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพ บรรพจารย์ศาลลมหิมะ ผู้ฝึกกระบี่ผู้คุมกฎของภูเขาเจินอู่ หลิวเหล่าเฉิงแห่งสำนักเจินจิ้ง แม้แต่ซานจวินสี่ท่านที่มีเว่ยป้อ จิ้นชิงเป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงเจ้าประมุลสกุลสวี่ของนครลมเย็นก็ล้วนพูดคุยกับหร่วนฉงได้ถูกคอ แล้วพวกเขายังเป็นฝ่ายที่เปิดปากชวนคุยก่อนด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน นี่ถือว่าเป็นการปฏิบัติอย่างมีมารยาทมากพอแล้ว

มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

หร่วนฉงคุยไม่เก่งก็จริง แต่ผู้ฝึกตนบนภูเขา นิสัยใจคอเป็นอย่างไร เมื่อเวลานานวันเข้าก็ยากที่จะปกปิดได้

คนที่รู้จักกับหร่วนฉงล้วนหาข้อตำหนิของหร่วนฉงไม่เจอ ส่วนใหญ่ล้วนยินดีคบค้ากับเขาอย่างจริงใจ ส่วนคนที่ไม่รู้จัก ขอแค่เอ่ยถึงหร่วนฉงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหร่วนฉงของศาลลมหิมะในอดีต หรือเจ้าสำนักหร่วนในทุกวันนี้ ก็ล้วนยินดีเอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับอาจารย์หลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแจกันสมบัติทวีปท่านนี้

วันนี้หร่วนฉงปรากฏตัวอย่างที่หาได้ยาก เขาเรียกหาลูกศิษย์รุ่นแรกทุกคนให้มากินข้าวร่วมโต๊ะกัน

ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาในทำเนียบศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียน ต่งกู่ ในอดีตหลังจากเลื่อนเป็นโอสถทองแล้วก็เปิดยอดเขาเป็นของตัวเอง แต่จุดที่ชวนให้ต่งกู่กระอักกระอ่วนมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ รวมไปถึงรากฐานชาติกำเนิดของเขาก็ยิ่งยากจะเอามาเอื้อนเอ่ยได้ ทุกวันนี้ทางฝั่งราชสำนักต้าหลี รวมไปถึงภูเขาตระกูลเซียนบางแห่งต่างก็เริ่มมีคำซุบซิบนินทาบ้างแล้ว

แรกเริ่มสุดสวีเสี่ยวเฉียวคือผู้ฝึกกระบี่ของศาลลมหิมะ หลังจากทำความผิดใหญ่หลวงแล้วถูกขับไล่ออกจากสำนัก นางก็มาหาหร่วนฉง เมื่อตัดนิ้วโป้งมือขวาที่ใช้กุมกระบี่ด้วยตัวเอง นางถึงได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง

เซี่ยหลิงเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งมาได้นานแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากอาวุธเซียนที่ลู่เฉินมอบให้ชิ้นนั้น บรรพบุรุษเซี่ยสือก็ยังทยอยมอบสมบัติหนักอีกสองชิ้นให้แก่หลานชายในตรอกเถาเย่ผู้นี้ ชิ้นแรกคือของตกทอดของเซียนกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีป มีชื่อว่า ‘ใบท้อ’ (เถาเย่) ถูกเซี่ยหลิงนำมาหลอมเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิต และยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกลูกหนึ่งที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด มีชื่อว่า ‘จันทร์เต็มดวง’

อาจารย์และลูกศิษย์สี่คนนั่งม้านั่งยาวกันคนละตัวพอดี

ตอนนี้หร่วนซิ่วยังอยู่ในอาณาเขตของอดีตขุนเขากลาง หร่วนฉงคิดอยากจะคีบกับข้าวให้ใครก็ล้วนไม่มีโอกาส

แม้ว่าบุตรสาวที่รักจะไม่อยู่ แต่เพียงแค่คิดว่าทุกวันนี้เจ้าตะพาบผู้นั้นก็ไม่อยู่ภูเขาลั่วพั่วเหมือนกัน หร่วนฉงก็สบายใจได้หลายส่วนแล้ว

หร่วนฉงเอ่ย “ต่งกู่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกกับข้าว่าจะพยายามเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดให้ได้ภายในร้อยปีใช่ไหม?”

ต่งกู่รีบวางตะเกียบและถ้วยข้าวลง เช็ดมุมปาก ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ขอรับอาจารย์”

หร่วนฉงเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้ความช้าความเร็วในการเดินบนเส้นทางการฝึกตนของผู้อื่นส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของตัวเอง บีบให้ตัวเองเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดก่อนกำหนด ฝึกตนพิสูจน์มรรคา ล้วนถือเป็นความสามารถของตัวเองทั้งสิ้น ตัวอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร คนนอกหัวเราะเยาะแล้วอย่างไร ต่อให้วันหน้าถูกสวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิงแซงหน้า แล้วจะอย่างไร? เจ้าก็จะไม่ใช่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนข้าแล้วหรือ? เมื่อไหร่กันที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนจำเป็นต้องอาศัยหมัดมากำหนดลำดับความอาวุโส ข้าไม่เคยสอนมาก่อน? หรือว่าเจ้าเองที่จำไม่ได้?”

หร่วนฉงมองต่งกู่ “กินข้าวต่อเถอะ”

ต่งกู่รีบหยิบตะเกียบขึ้นมาทันที

หร่วนฉงหันหน้ามาเอ่ยว่า “สวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิง พวกเจ้าสองคนกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปยังอาณาเขตของอดีตขุนเขากลางต้าหลี หากซิ่วซิ่วไม่ยินดีจะกลับมา โน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยตามใจนาง”

สวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้ารับ

หร่วนฉงพลันเอ่ยว่า “จำไว้ว่าไปที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง ซื้อขนมมาเยอะๆ หน่อย”

สวีเสี่ยวเฉียวที่มีนิสัยเงียบขรึมเผยรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก

เซี่ยหลิงก็ยิ่งมิอาจปกปิดความดีใจของตัวเอง ในที่สุดก็จะได้พบพี่หญิงซิ่วแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนสองคนขี่กระบี่ไปยังเมืองเล็กอำเภอไหวหวง ไปถึงนอกตรอกฉีหลง สวีเสี่ยวเฉียวก็เข้าไปซื้อขนมทุกรูปแบบที่มีในร้านยาสุ้ย โดยเลือกขนมอบดอกท้อมามากที่สุด ซื้อกลับมาถึงสองห่อกระดาษน้ำมันใหญ่ๆ

เถ้าแก่คือสือโหรว

พอเห็นสวีเสี่ยวเฉียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยหลิงที่ทั้งสำนักและชาติตระกูลล้วนโดดเด่น สือโหรวก็มีท่าทีระมัดระวังตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

พอได้ยินว่าพวกเขามาซื้อขนมให้หร่วนซิ่ว สือโหรวก็คิดจะไม่เก็บเงิน

เพราะถึงอย่างไรสือโหรวก็สนิทกับแม่นางซิ่วซิ่วมาก เพียงแต่ว่าไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว

เซี่ยหลิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เถ้าแก่สือ ขอบคุณมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องจ่ายเงิน”

สือโหรวจึงกล้าพูดให้มากความอีก

เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ตนอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ หากจะคิดเอาจริงเอาจังกันขึ้นมาก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนัก

จากนั้นคนทั้งสองก็ขี่กระบี่มุ่งไปยังเขตอิทธิพลแห่งใหม่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน

ตอนอยู่เหนือทะเลเมฆ เซี่ยหลิงยิ้มถาม “ศิษย์พี่หญิงรอง ได้ยินมาว่าข้างกายพี่หญิงซิ่วซิ่วมีภูตน้อยเพิ่มมาหนึ่งตนหรือ?”

สวีเสี่ยวเฉียวอืมรับหนึ่งที

เซี่ยหลิงจึงไม่ถามให้มากความอีก

ท่ามกลางป่าเขาที่หิมะทับซ้อนกันหนาชั้น คนทั้งสองเดินลงไปบนทางภูเขา แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ในอ้อมอกกอดร่มกระดาษน้ำมันกระโจนตัวออกไป จากนั้นก็กลิ้งหลุนๆ ไปตามเส้นทางลาดเอียง ทั่วร่างเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน

หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเดินตามมาช้าๆ

หลังจากแม่นางน้อยลุกขึ้นยืน นางก็ใช้ร่มกระดาษน้ำมันในมือต่างค้อนเหล็ก พูดพึมพำว่า “ผู้เฒ่าเหวี่ยงค้อนเหล็ก อิ๋งฮว่อ (สมัยโบราณหมายถึงดาวอังคาร) มีเศษถ่านเพิ่มมากขึ้น โอ๊ะโอ โอ๊ะโอ! เทพพิรุณเทพวาโยต่างก็คอยช่วยเหลือ เทพสายฟ้าเจ้าแม่ฟ้าแลบต่างก็มาช่วยกัน เปรี้ยงปร้าง เปรี้ยงปร้าง!”

สตรีเอ่ยว่า “คาถาหลอมกระบี่ไม่ได้ท่องกันแบบนี้”

แม่นางน้อยหยุดท่าเหวี่ยงค้อนที่ทำอยู่ เงยหน้ามองภูเขาใหญ่ที่อยู่ห่างไปไกลแล้วกดเสียงลงต่ำถามว่า “พี่หญิงซิ่ว นั่นคือเทพภูเขาเชียวนะ คืออดีตซานจวินของราชวงศ์ต้าหลีพวกเรา! ผายลมหนึ่งทียังเหมือนฟ้าผ่า สามารถระเบิดให้เด็กตัวน้อยๆ อย่างข้าตายได้เลย เหตุใดพอพบเจอท่านถึงยังเกรงใจขนาดนั้นเล่า? ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนแค่เกรงใจ เหมือนจะกลัวพี่หญิงซิ่วด้วยซ้ำนะ”

หร่วนซิ่วเอ่ย “เจ้าฉลาดขนาดนี้ ในเมื่อรู้คำตอบแล้วจะยังต้องถามทำไม พูดมากเข้าเดี๋ยวก็หิวหรอก”

แม่นางน้อยกลอกตา “พี่หญิงซิ่ว แล้วท่านจะไม่ฉลาดยิ่งกว่าข้าหรอกหรือ?”

หร่วนซิ่วส่ายหน้า “ข้าไม่ค่อยชอบคิดเรื่องอะไร ค่อนข้างโง่”

แม่นางน้อยจงใจทำเป็นแกล้งกลัว “พี่หญิงซิ่ว ท่านหิวง่ายขนาดนั้น คงไม่ใช่ว่าพอหิวมากๆ เข้าจะกินข้าเข้าไปหรอกนะ”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “ก็เป็นไปได้”

แม่นางน้อยวิ่งตุปัดตุเป๋มาอยู่ข้างกายหร่วนซิ่ว คราวนี้นางตกใจกลัวจริงๆ แล้ว กระตุกชายแขนเสื้อของนางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิงซิ่ว อย่ากินข้าเลยนะ”

หร่วนซิ่วไม่ค่อยอยากพูดมากนัก

แม่นางน้อยโอบร่มกระดาษน้ำมันที่ตั้งชื่อเล่นให้ว่ากางดอกไม้ “พี่หญิงซิ่ว ระวังข้าจะเอาไปฟ้องนะ…”

ผลคือแม่นางน้อยถูกหร่วนซิ่วตบเบาๆ ไปหนึ่งฝ่ามือ ร่างของนางหมุนติ้วอยู่หลายสิบรอบ ก่อนจะกระแทกลงกลางกองหิมะที่ห่างไปไกลหนักๆ ตลอดทางที่กลิ้งไปทับให้กิ่งไม้แห้งนับไม่ถ้วนหักออก

เพียงแต่ว่าไม่นานแม่นางน้อยก็วิ่งตะบึงกลับมาอยู่ข้างกายหร่วนซิ่ว ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์แม้แต่น้อย น่าจะเป็นเพราะเจอมาบ่อยจนชินแล้ว

ขยับเข้าใกล้ตีนเขา แม่นางน้อยก็รีบมาหลบอยู่ด้านหลังหร่วนซิ่ว

สวีเสี่ยวเฉียวกับเซี่ยหลิงพลิ้วกายลงบนพื้น สอดกระบี่กลับใส่ฝัก ลำพังเพียงแค่ท่าเก็บกระบี่ คนสองคนที่มาจากสำนักเดียวกันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งคล่องแคล่วฉับไว อีกคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น

คนหนึ่งเอ่ยเรียกอย่างเคารพว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่

คนหนึ่งเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้มว่าพี่หญิงซิ่วซิ่ว

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ เอ่ยประโยคเดียวว่า “มาแล้วหรือ”

แม่นางน้อยที่อยู่ด้านหลังซิ่วซิ่วยื่นหัวออกมา ประหลาดยิ่งนัก พอเซียนกระบี่มาเยือนทีก็มาถึงสองคน ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่คู่รักเทพเซียน เด็กหนุ่มที่หน้าตาคมคายผู้นั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าชอบพี่หญิงซิ่ว

เมื่อครู่นี้เรียกว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วงั้นหรือ?

จุ๊ๆๆ

แม่นางน้อยรู้สึกว่าเซียนกระบี่น้อยผู้นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

สวีเสี่ยวเฉียวปลดห่อสัมภาระลงมา ยื่นส่งให้หร่วนซิ่ว ยิ้มเอ่ยว่า “ขนมจากร้านยาสุ้ย”

หร่วนซิ่วคลี่ยิ้ม รับห่อผ้านั้นมาชั่งน้ำหนักก็อารมณ์ดีทันใด

แม่นางน้อยนินทาในใจไม่หยุด เห็นไหม ยังทำให้พี่หญิงซิ่วดีใจเท่ากับได้ขนมมาห่อหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ

อยากจะตีหัวเด็กหนุ่มคนนี้ให้สลบแล้วลากเข้าถ้ำไปเป็นฮูหยินรังโจรในอนาคตซะจริง เอาเลี้ยงไว้ก่อน ความน่ามองสามารถเอามากินแทนข้าวได้จริงๆ ส่วนในถ้ำรังโจรที่ว่านั้นก็มีแค่นางคนเดียวเท่านั้น

หร่วนซิ่วหยิบขนมอบดอกท้อชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง ใส่ไว้ในปาก ใบหน้าก็พลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นส่งให้แม่นางน้อย แม่นางน้อยเขมือบเข้าไป รสชาติเป็นอย่างไร ไม่รู้เลย

หร่วนซิ่วถาม “จ่ายเงินหรือไม่?”

สวีเสี่ยวเฉียวเอ่ย “จ่ายแล้ว”

หร่วนซิ่วพยักหน้า แต่กลับเอ่ยว่า “ข้าไปที่นั่น ไม่ต้องจ่ายเงิน”

สวีเสี่ยวเฉียวบื้อใบ้พูดไม่ออก

อารมณ์ของเซี่ยหลิงยิ่งซับซ้อน

สวีเสี่ยวเฉียวเอ่ย “อาจารย์ให้ข้าถามศิษย์พี่หญิงใหญ่ว่าจะกลับไปหรือไม่”

หร่วนซิ่วเอ่ย “กลับสิ ทำไมจะไม่กลับล่ะ ข้ายังต้องไปฟังหมี่ลี่น้อยเล่าเรื่อง ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ หมี่ลี่น้อยคงแต่งเรื่องเหลวไหลอะไรได้มากแล้ว”

สวีเสี่ยวเฉียวรู้สึกว่าเหตุผลแบบนี้ หร่วนซิ่วเป็นคนพูด กลับกลายเป็นว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากที่สุด

……

ในร้านหนังสือแห่งหนึ่งของเมืองในแคว้นเล็กซึ่งเป็นแคว้นใต้อาณัติเก่าของราชวงศ์จูอิ๋ง คนขายหนังสือคือหญิงสาวรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง มีนามว่าเหอเจี๋ย ทว่ากลับมีเรือนกายงดงาม ต่อให้ใบหน้าไม่โดดเด่นมากพอ แต่ก็ยังสามารถทำให้พวกเสเพลหลายคนมาเตร็ดเตร่แถวร้านหนังสือได้บ่อยๆ ทว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาเปรียบนางได้ อย่างมากก็แค่พูดจาแทะโลมเท่านั้น หญิงสาวพูดไม่เก่ง ยิ่งกับคำพูดพวกนี้ก็ยิ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วก็มีบัณฑิตหนุ่มที่ฐานะทางบ้านมั่นคง แต่กลับไม่ถือว่าเป็นตระกูลชั้นสูงมาซื้อหนังสือที่นี่ด้วยเจตนาที่ไม่ได้อยู่ที่ตำรา

ยามสนธยาของวันนี้ เหอเจี๋ยนั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน กำลังเปิดตำราเล่มหนึ่งอ่าน มองสีท้องฟ้า นางก็เตรียมจะลุกขึ้นมาปิดร้านกลับไปพักผ่อนยังที่พัก ห่างไปไม่ไกล อยู่ห่างไปแค่สองตรอกเท่านั้น

นางเพิ่งจะวางตำราลงก็พบว่านอกประตูร้านมีบุรุษหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่ ต่อให้ไม่สนใจเรื่องการแต่งตัว ก็ยังยากจะปกปิดรูปลักษณ์อันหล่อเหลา บุคลิกดุจต้นไม้หยกรับลม รูปงามมีชีวิตชีวาของเขาได้

นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “คุณชายท่านนี้ ขอโทษด้วย ร้านเล็กๆ ของเรากำลังจะปิดแล้ว”

เขายืนอยู่ด้านนอกธรณีประตู ราวกับว่าไม่กล้าก้าวข้ามมาแม้แต่ก้าวเดียว ริมฝีปากสั่นระริก พยายามอย่างยิ่งที่จะให้น้ำเสียงของตนฟังดูสงบนิ่ง “ผ่านทางมาพอดี อยากจะซื้อหนังสือสักสองสามเล่ม ไม่ได้ตั้งใจมาพบเจ้า”

เหอเจี๋ยถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เหตุผลตื้นเขินแบบนี้ ตัวเจ้าเองยังไม่เชื่อ แล้วจะหลอกคนอื่นได้หรือ?

เพียงแต่เหอเจี๋ยไม่ได้เอ่ยอะไรมาก นางนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เอ่ยเบาๆ ว่า “หากคุณชายอยากซื้อหนังสือก็เชิญเลือกเองได้เลย ร้านปิดช้าหน่อยก็ได้”

บุรุษหนุ่มยังคงไม่ข้ามธรณีประตูเข้ามา

เหอเจ๋อเอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ อาศัยแสงอาทิตย์อัสดงที่เหลืออยู่ ต่อให้ทุกวันนี้ขอบเขตจะต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา ยังคงไม่รู้สึกว่าการอ่านหนังสือในเวลานี้ยากลำบากตรงใด

เขาปลุกความกล้า พูดเสียงสั่นว่า “ตามข้าไปที่สวนลมฟ้าเถอะนะ? ได้ไหม ซูเจี้ย?”

ต่อให้นางร่ายเวทอำพรางตาน้อยนิดนั่น ต่อให้นางเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตอนนี้จริงๆ เขาก็ยังคงจำนางได้เพียงแค่มองปราดเดียว

ต่อให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาหมุนย้อนกลับ นางพลันกลายไปเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง หรือต่อให้จู่ๆ นางกลายไปเป็นหญิงชราที่เส้นผมขาวโพลน หลิวป้าเฉียวก็ไม่มีทางคลาดสวนกับนางท่ามกลางฝูงชน

เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านี้ เขาจะพูดออกมาได้อย่างไร แล้วอาศัยสิทธิ์อะไรถึงจะพูดออกมาได้

เหอเจี๋ยเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้ว “แม้ข้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์อีกต่อไปแล้ว แต่ชื่อยังคงอยู่บนทำเนียบฝ่ายนอกของภูเขาตะวันเที่ยง เขียนระบุไว้อย่างชัดเจน คุณชายหลิว เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”

เหอเจี๋ยหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอีกว่า “แต่ตอนนี้ถือว่าข้าลงจากเขามาฝึกประสบการ์ณ์ คุณชายหลิวก็อย่าเรียกข้าว่าซูเจี้ยอีกเลย”

หลิวป้าเฉียวรู้สึกเพียงว่าทั้งหัวใจทั้งอวัยวะภายในถูกบีบเค้นเข้าด้วยกัน ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองที่มีหวังบนมหามรรคา แต่นาทีนี้ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออก อยากจะก้มตัวลงหอบหายใจแรงๆ

หลิวป้าเฉียวถาม “ตอนนี้เจ้าชื่อว่าอะไร?”

เหอเจี๋ยเริ่มหงุดหงิด “คุณชายหลิว เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยหรือ?”

หลิวป้าเฉียวก้มหน้าลง พูดพึมพำเสียงเบา “ข้าชอบเจ้านี่นา ตามหาเจ้ามานานหลายปีแล้ว”

เหอเจี๋ยเถ้าแก่ร้านหนังสือ หรือควรจะเรียกว่าซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “คุณชายหลิว ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ โปรดเหลือพื้นที่สงบแห่งสุดท้ายให้ข้าได้หรือไม่? ข้ามาเปิดกิจการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบ ก็ต้องเผาผลาญทรัพย์สินส่วนสุดท้ายไปหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าเลย คุณชายหลิว เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เคยชอบเจ้า คุณชายหลิว เจ้าถามใจตัวเองดูเถิด เจ้าและข้าเคยพบหน้ากันกี่ครั้ง เคยพูดคุยกันกี่ประโยคเชียว?”

หลิวป้าเฉียวเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อก่อนไม่เคยคุยกัน มีเพียงวันนี้ที่เพิ่งได้พูดคุยกัน”

ซูเจี๋ยทอดน้ำเสียงให้ผ่อนคลายลง “คุณชายหลิว เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบเจ้า ใช่หรือไม่?”

หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ