บทที่ 1340 เพื่อช่วยชีวิตบุตรสาว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,340 เพื่อช่วยชีวิตบุตรสาว

คฤหาสน์ตระกูลเจียง

บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน

“เสี่ยวไป๋ นาง… จะปลอดภัยใช่หรือไม่?”

ฮูหยินเจียงจ้องมองไปที่ประตูห้องซึ่งปิดสนิทด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เจียงจิวเหอตอบว่า “ถึงผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถรักษาชีวิตนางเอาไว้ได้แล้ว เฮ้อ… นี่ถือเป็นคราวเคราะห์ของตระกูลเจียงอย่างแท้จริง ฮูหยิน หากเจ้าเป็นห่วงเสี่ยวไป๋จริง ๆ เจ้าก็ไม่ควรก่อเรื่องราวตั้งแต่แรก รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังจะทำให้สามีของตนเองต้องทุกข์ทรมานในอนาคตมากเพียงใด”

“แต่ข้าน้อยก็ทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลเจียงนะเจ้าคะ”

ฮูหยินเจียงตอบกลับมา แววตาตัดพ้อ

นางยังคงปรารถนาให้โชคเข้าข้างตนเอง

ฮูหยินเจียงไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องราวนี้อีกแล้ว นางเพียงอยากให้เรื่องราวทุกอย่างสลายหายไปคล้ายกับเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่ง

“เพื่อช่วยชีวิตเสี่ยวไป๋จากการแข่งขันในครั้งนี้ ข้าถึงกับต้องมอบคัมภีร์กุหลาบเพชฌฆาตและสวนโอสถกุหลาบออกไป เมื่อไม่มีคัมภีร์เล่มนั้นและสวนกุหลาบของเรา ตระกูลเจียงก็ไม่มีความแข็งแกร่งที่จะสู้ผู้ใดได้อีก แน่นอนว่าเราไม่สามารถเลี้ยงดูบ่าวรับใช้เป็นจำนวนมากอีกต่อไป และหากเรายังอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ อีกไม่นานทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียงที่คงอยู่มายาวนานหลายพันปีก็จะต้องหมดลง และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราก็คงไม่มีทางกลับมาอยู่ในจุดเดิมได้อีกแล้ว”

เจียงจิวเหอกล่าวด้วยเสียงเศร้าโศก

ฮูหยินเจียงพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ “แต่บรรดาเพื่อนสนิทของท่านต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น…”

“ฮูหยิน ยามที่เจ้ามีชื่อเสียงเงินทอง ทุกคนต่างก็อยากเป็นสหายกับเราทั้งนั้น แต่เมื่อตระกูลเจียงสูญเสียอำนาจ ยังจะเหลือสหายที่พร้อมยืนหยัดอยู่ข้างเราอีกสักกี่คน? และหากเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็อย่าได้ไปรบกวนพวกเขาเลย”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เจียงจิวเหอก็จับมือภรรยาด้วยความรู้สึกผิด “ต้องโทษว่าข้าไร้ความสามารถมากเกินไป แทนที่จะเป็นรากฐานให้กับตระกูลเจียง ข้ากลับต้องอาศัยความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋เพียงผู้เดียว เพียงเท่านี้ตระกูลเจียงของเราก็มาได้ไกลมากแล้ว… เมื่อถึงคราวที่ตระกูลต้องล่มสลาย เกรงว่าในอนาคตหลังจากนี้ พวกเราคงต้องพบเจอกับความยากลำบากไม่ใช่น้อย”

“ท่าน…”

ฮูหยินเจียงน้ำตาคลอเต็มสองเบ้าด้วยความเศร้าสลด “ต้องโทษว่าเป็นความผิดของข้าน้อยที่ตามใจหลินเอ๋อร์มากเกินไป ต้องโทษว่าข้าน้อยสายตามืดบอด ต้องโทษว่าข้าน้อยรู้เท่าไม่ถึงการณ์… แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่…”

บัดนี้ นางกล่าวด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ

ฮูหยินเจียงเคยเข้าใจว่าตระกูลเจียงเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งเมืองเยี่ยเฉิง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จึงก่อกรรมทำเข็ญกับผู้คนไว้มากมาย

เมื่อมองย้อนกลับไป หญิงวัยกลางคนถึงได้รู้ว่าตนเองโง่เขลามากเพียงใด

ตามใจบุตรสาวคนเล็กจนหลงระเริง ไม่พอใจสามีของตนเองและดูหมิ่นบุตรสาวคนโต… ทุกคนต่างก็ทำงานหนักเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตระกูล มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นที่ก่อปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ฮูหยิน เจ้าวางใจเถอะ ตระกูลเจียงของเราจะต้องกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง”

เจียงจิวเหอบีบมือภรรยาแน่นและใช้อีกมือลูบหลังมือของนางแผ่วเบา “ครั้งนี้ ข้าขอให้ทางเบื้องบนช่วยเหลือเรา แม้ว่าราคาที่เราต้องจ่ายออกไปจะเป็นจำนวนที่ไม่ใช่น้อย แต่เมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีของตระกูลเจียงก็นับว่าคุ้มค่า เราจะมีโอกาสได้กำจัดตระกูลที่เป็นศัตรูสำคัญ และอาจจะต้องเผชิญหน้าการทำสงครามขนาดย่อม… แต่สำหรับตระกูลเจียงแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง”

ฮูหยินเจียงกล่าวว่า “พวกเราจะพึ่งพาความสามารถของเสี่ยวไป๋ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” เจียงจิวเหอตอบรับด้วยความภาคภูมิใจ “เสี่ยวไป๋คือผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลเจียง ตราบใดที่นางสามารถรอดชีวิต ตระกูลเจียงก็มีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่ได้เสมอ”

“แต่ว่าอาการบาดเจ็บของนาง…”

ฮูหยินเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

เจียงจิวเหอหันหน้ามองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทแน่น “จงเชื่อมั่นในตัวเสี่ยวไป๋เถอะ ไม่ว่านางจะได้รับบาดเจ็บขนาดไหน แต่นางคืออัจฉริยะตัวจริง นางจะต้องกลับมาแข็งแกร่งได้ดังเดิมแน่นอน”

คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู

ชิงเล่ยเดินทางไปฝึกวิชา ไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์

กลุ่มชายหนุ่มจึงกินดื่มกันอย่างมีชีวิตชีวา

“ว่าไงนะขอรับ?”

เฉียนหลงอุทานออกมา “นายท่านหมายความว่ากุหลาบเทวะเจียงรั่วไป๋ไม่ได้เสียชีวิตในการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง นางเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกนำตัวออกไปโดยลำแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง”

หลินเป่ยเฉินตอบ “เมื่อร่างของนางหายไป ข้าก็ถูกประกาศให้เป็นผู้ชนะ… ข้าเองก็ตกใจไม่แพ้พวกเจ้าหรอก ก็ไหนบอกว่าการแข่งขันครั้งนี้ตัดสินกันที่ความเป็นตายไงล่ะ? แล้วเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

เฉียนหลงกล่าว “มีเพียงเทพเจ้าระดับสูงในสภาจึงจะสามารถช่วยชีวิตผู้เข้าแข่งขันออกจากสะพานหินแห่งนั้นได้… แต่ข้าน้อยไม่ทราบเลยว่าเป็นเทพเจ้าองค์ใดลงมือกันแน่”

“เฮอะ หากเจ้าหาข้อมูลให้มากกว่านี้ เจ้าก็คงรู้คำตอบแล้ว”

มู่หลินเซินพลันพูดแทรกขึ้นมาด้วยความยิ้มย่อง

เพราะว่าเขารู้คำตอบ

“เป็นฝีมือของใต้เท้าฉางขอรับ”

มู่หลินเซินอธิบายอย่างวางมาด “เจียงจิวเหอประมุขตระกูลเจียงคนปัจจุบันยอมสละคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลที่ตนเองครอบครองอยู่ให้แก่ใต้เท้าฉาง อีกทั้งยังมอบกรรมสิทธิ์ในสวนโอสถกุหลาบทั้งหมดให้แก่ใต้เท้าฉางอีกด้วย”

เฉียนหลงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นเช่นนี้ชะตากรรมของตระกูลเจียงก็คงถึงคราวอวสานแล้วกระมัง?”

“ภายนอกอาจจะเป็นเช่นนั้น”

กวนรั่วเฟยกล่าว “แต่พวกเขายอมทุ่มทุกอย่างเพื่อแลกกับชีวิตของเจียงรั่วไป๋ เราจึงกล่าวไม่ได้หรอกว่าตระกูลเจียงถึงคราวอวสานแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเจียงรั่วไป๋เป็นนักรบหญิงรุ่นใหม่อันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงเชียวนะ และนางก็เพิ่งมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น”

ซือเกินตั๋งระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่นายท่านของพวกเราอยู่ดีไม่ใช่หรือ? หากพูดถึงในเรื่องของความจั๊ดง่าว…”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองด้วยแววตาอำมหิต

ซือเกินตั๋งรีบหยุดชะงักคำพูดของตนเองทันที

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดดูขีดสัญญาณของการแบ่งปันสัญญาณไวไฟ

หลังจากค้นหารายชื่ออยู่เล็กน้อย เขาก็ได้เห็นว่าเฉียนหลงมีสัญญาณเต็มห้าขีด

หลังจากนั้น เขาก็เห็นว่ารายชื่อของมู่หลินเซิน ซือเกินตั๋ง กวนรั่วเฟยและลู่ปิงเหวินต่างก็มีสัญญาณเต็มห้าขีดด้วยกันทั้งหมด

ดูเหมือนว่าการเดินทางไปยังเหมืองใต้ดินในวันนี้จะทำให้กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์เชื่อมั่นในตัวของหลินเป่ยเฉินหมดหัวใจแล้ว

“เสี่ยวหลง เจ้ารีบขายซากราชาหมาป่าศิลาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรับเป็นคะแนนศรัทธา ขอรับเป็นศิลาเทวะเลยดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงเข้ม

“นายท่านได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง”

เฉียนหลงยกมือตบหน้าอกด้วยความมุ่งมั่น

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อยก็กล่าวต่อ “บรรดาซากสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ ที่ข้าสามารถล่ามาได้และฝากเจ้าขายนั้น ขอให้รับมาเป็นศิลาเทวะทั้งหมดเช่นกัน”

กวนรั่วเฟยมีหัวการค้ามากที่สุดในกลุ่ม จึงพอจะคาดเดาความคิดของหลินเป่ยเฉินได้ไม่ยาก “นายท่านทำเช่นนี้คงเป็นเพราะได้ยินเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ประกาศว่าจะไม่ส่งศิลาเทวะให้แก่เมืองเยี่ยเฉิง เพราะฉะนั้น ความต้องการศิลาเทวะในอนาคตก็จะสูงมากขึ้นใช่ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “แต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น หากเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่กล้าตัดขาดการส่งทรัพยากรให้แก่สภาเทพเจ้าจริง ๆ ราคาของศิลาเทวะก็จะพุ่งสูงมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า”

นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเด็กหนุ่มล้วน ๆ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเหมือนกับว่า…

ดินแดนทวยเทพกำลังจะพบเจอกับปัญหาใหญ่

หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ลู่ปิงเหวินและพรรคพวกก็เดินทางกลับไปพร้อมกับเฉียนหลง

“พี่ฉู่ พี่ไต้ พวกท่านพักผ่อนก่อนเถอะ รอคอยอีกไม่กี่วัน เมื่อเรื่องราวทุกอย่างสงบดีแล้ว พวกเราห้าพี่น้องจะพาพวกท่านไปผ่อนคลายที่หอนางโลมเอง” ลู่ปิงเหวินเป็นหนุ่มเสเพลที่สุดในกลุ่ม ก่อนเดินทางกลับยังไม่วายหันมาพูดกำชับบอกแก่ฉู่เหินและไต้จือฉุนว่าจะพาพวกเขาออกไปเที่ยวย่านเริงรมย์

เมื่อกลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์กลับไปแล้ว คฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูจึงกลับมาอยู่ในความเงียบสงบในที่สุด

หลินเป่ยเฉินและฉู่เหินกับไต้จือฉุนไม่ได้พบเจอกันเนิ่นนาน พวกเขาย่อมมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉู่เหินกับไต้จือฉุนไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่จักรวรรดิเป่ยไห่ หลินเป่ยเฉินบอกเล่าทีละเรื่อง เมื่อทั้งสองท่านได้รับฟังจบก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าในระยะเวลาสั้น ๆ จักรวรรดิเป่ยไห่กลับต้องพบเจอกับวิกฤตการณ์มากมาย

ฉู่เหินและไต้จือฉุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องราวการตายอย่างวีรบุรุษของฮันปู้ฟู่

โดยเฉพาะฉู่เหิน

ฮันปู้ฟู่เป็นลูกศิษย์โดยตรงของเขา เขาย่อมรู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ดีมากกว่าใคร

ตระกูลฮันนับเป็นตระกูลที่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติมากที่สุดแล้ว

บิดาของฮันปู้ฟู่ที่เป็นทหารก็ต้องเสียชีวิตในสนามรบเช่นเดียวกัน

“สรุปก็คือ แม้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิเราจะสงบลงชั่วคราว แต่สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังคงเกิดความโกลาหลอย่างต่อเนื่องสินะ?” ฉู่เหินมีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย

การก่อกบฏของเว่ยหมิงเฉินและการเรืองอำนาจของบุรุษหนุ่มผู้นี้คือภัยคุกคามที่แท้จริงต่อจักรวรรดิเป่ยไห่

“เว่ยหมิงเฉินซ่อนเร้นสถานะที่สูงส่งของตนเองเอาไว้ หรือว่าเขาจะสามารถติดต่อกับผู้คนบนดินแดนทวยเทพได้?”

ไต้จือฉุนเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็นและสงบสุขุมมากที่สุด จึงสามารถตั้งคำถามออกมาได้อย่างมีเหตุมีผล

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากเดินทางมาถึงดินแดนทวยเทพแล้ว ข้าก็ยังไม่พบเจอหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้เลย ข้าจึงกำลังจะ…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง

“เปิดประตู เปิดประตู เปิดประตู”

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้”

ใครบางคนรัวกำปั้นใส่ม่านพลังหน้าคฤหาสน์ พูดด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน