บทที่ 643.1 กระดาษขาวแผ่นหนึ่งของชุยตงซาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จูเหลี่ยนมาถึงร้านยาสุ้ยก็รังเกียจว่าร้านไม่ได้เปิดเตามานานเกินไป เตาไฟทำอาหารของที่ร้านกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น จึงบอกให้เผยเฉียนไปซื้ออาหารกลับมา บอกว่าจะทำอาหารมื้อหนึ่ง ให้ทุกคนได้กินกันอย่างคึกคัก

เผยเฉียนเป็นห่วงพี่หญิงซิ่วที่ไปเยือนแม่น้ำอวี้เจียง จึงไม่ค่อยเต็มใจจะขยับตัว คิดจะรอให้พี่หญิงซิ่วกลับมาก่อนค่อยว่ากัน จึงบอกว่าร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันทำอาหารทุกวัน พวกเราแค่ไปขอข้าวที่นั่นกินก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ฝีมือทำอาหารของพี่หญิงจิ่วเอ๋อร์ก็นับว่าไม่เลว ตลอดทั้งตรอกฉีหลงล้วนได้กลิ่นหอมของอาหาร จูเหลี่ยนไม่ยอมตอบตกลง บอกว่าร้านหนึ่งก็ต้องมีฮวงจุ้ยและกลิ่นอายผู้คนของร้านหนึ่ง อาหารสามารถขอกันได้ แต่กลิ่นอายของมนุษย์กลับไม่อาจนำกลับมาด้วยได้ กลิ่นอายมนุษย์นั้นมาจากไหน ก็หนีไม่พ้นการที่คนเราอยู่อาศัยกินดื่ม มีควันจากการทำอาหาร มีผ้าห่มที่เอามาตากแดด ทางที่ดีที่สุดคือควรต้องมีเสียงท่องตำรา ลำพังมีแต่เสียงดีดรางลูกคิดจะไปเข้าท่าอะไร เดิมทีโชคลาภในใต้หล้านี้ก็ยากที่จะรั้งเอาไว้ได้ ต้องอาศัยกลิ่นอายของผู้คนช่วยเก็บรวบรวมไว้ในบ้าน

เผยเฉียนจนปัญญา พ่อครัวเฒ่านี่ช่างมีกฎเกณฑ์เยอะนัก พิถีพิถันซะเหลือเกิน แล้วนางยังใช้เหตุผลเอาชนะเขาไม่ได้ด้วย เผยเฉียนจึงได้แต่พาหมี่ลี่น้อยผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาไปซื้อของด้วยกัน กะว่าจะซื้อพวกผักป่า ผักสดกลับมาจากตรอกที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในใจสือโหรวทั้งละอายใจทั้งหวาดกลัว มักรู้สึกว่าจูเหลี่ยนกำลังพูดกระทบกระเทียบตน รังเกียจที่ตนจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผี ทั้งไม่สามารถช่วยให้ภูเขาลั่วพั่วหาเงินก้อนใหญ่มาได้ ยังทำลายฮวงจุ้ยของที่ร้าน สือโหรวจึงแอบยัดเงินส่วนตัวของตนให้กับเผยเฉียน ตอนนั้นปากเผยเฉียนพูดว่าจะทำแบบนี้ได้อย่างไร ให้จดลงบัญชีของร้านน่าจะเหมาะสมกว่า แต่ไม่ทันรอให้สือโหรวเก็บถุงเงิน เผยเฉียนก็คว้าถุงเหรียญทองแดงใบนั้นมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ กระทืบเท้าพลางบ่นไปด้วยว่าพี่หญิงสือโหรวท่านช่างทำตัวเป็นคนอื่นคนไกลกันเกินไปแล้ว ห้ามให้มีคราวหน้าอีกนะ จากนั้นก็พาโจวหมี่ลี่เผ่นพรวดจากไปไกล พริบตาเดียวก็หายวับไม่เหลือแม้แต่เงา

ทุกวันนี้เมืองเล็กกลายเป็นอำเภอไหวหวง ตรอกเล็กถนนใหญ่มีร้านค้าตั้งเรียงราย ร้านค้าหลายแห่งเริ่มขายของโบราณ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ขอแค่ขายออกไปได้สักชิ้นกลับนำมาซึ่งเงินเทพเซียนหลายเหรียญ สามารถซื้อเรือนหลังหนึ่งที่เขตการปกครองแห่งใหม่ได้เลย อันที่จริงร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลงทุกวันนี้ก็มีชื่อเสียงไม่น้อย สิ่งของที่วางอยู่ในร้าน นอกจากจะแพงแล้ว อย่างน้อยก็เป็นของจริง ก็แค่แพงไปสักหน่อย ดังนั้นคนที่มาซื้อจึงมีไม่มาก แต่คนที่มาเยี่ยมดูกลับมีไม่น้อย

เพราะนักเรียนของต้าหลีที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่มีไม่ขาดสาย ทั้งมากราบไหว้ศาลบุ๋นบู๊ที่ตั้งอยู่บนภูเขาเครื่องกระเบื้องและสุสานเทพเซียน ภูเขาตระกูลเซียนส่วนใหญ่ที่มาท่องเที่ยวทางทิศตะวันตกมักจะไปเยือนภูเขาพีอวิ๋น ไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาหลินลู่ ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนมาลงบนท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็หนีไม่พ้นพวกบัณฑิตที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษา เส้นทางการชมทัศนียภาพจึงเป็นไปในทางตรงข้ามกัน ต้นท้อในตรอกเถาเย่ บ่อโซ่เหล็กที่อยู่ใกล้กับตรอกซิ่งฮวา ร้านยาสุ้ยที่ขายขนม ขายผลไม้เชื่อมของตรอกฉีหลง ร้านฉ่าวโถวที่มองดูเหมือนขายของเบ็ดเตล็ด แต่แท้จริงแล้วกลับแตะแต้มกลิ่นอายเซียน โรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง สถานที่เหล่านี้คนต่างถิ่นมักจะต้องเดินทางไปเยือนให้ได้สักครั้ง

ผู้คนสัญจรไปมา เมืองเล็กที่ขนาดไม่ใหญ่จึงแออัดจอแจ

จูเหลี่ยนไปที่ห้องครัว ในอ่างน้ำไม่มีน้ำแล้ว เขาจึงหาคานหาบมาอันหนึ่ง หาบถังน้ำสองใบขึ้นบ่า การตักน้ำในทุกวันนี้ไม่สามารถไปตักที่บ่อโซ่เหล็กได้ เพราะที่นั่นกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ราชสำนักต้าหลีได้ขุดเจาะบ่อน้ำแห่งใหม่ไว้ในเมืองเล็กหลายบ่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้การดื่มน้ำของชาวบ้านกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพียงแต่ว่าพวกคนเฒ่าคนแก่ในท้องถิ่นที่มีอายุมากแล้วต่างก็พากันบ่นว่ารสชาติของน้ำไม่ถูกต้อง ไม่หวานสดชื่นเหมือนน้ำที่ตักมาจากบ่อโซ่เหล็ก ชีวิตแต่ละวันต้องดื่มน้ำ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะคอยพร่ำบ่นเรื่องนี้ ก็เหมือนกับที่ไม่มีต้นไหวโบราณที่ให้ร่มเงาเย็นสบายต้นนั้น พวกคนเฒ่าคนแก่เสียใจกันยิ่งนัก แต่ทุกวันนี้พวกเด็กๆ รุ่นหลานที่บนใบหน้ายังมีขี้มูกย้อย ยังสวมกางเกงเปิดเป้าพวกนั้นก็มีชีวิตที่มีความสุขไร้ทุกข์ไร้กังวลไม่ใช่หรือ?

คราวนี้อยู่ดีๆ ในร้านยาสุ้ยก็ไม่เหลือใคร สือโหรวนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินเพียงลำพัง นางรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง จึงคิดว่าเผยเฉียนจะซื้อผักอะไรกลับมาบ้าน จากนั้นพอคิดถึงภาพที่ว่าอีกเดี๋ยวจูเหลี่ยนจะสวมผ้ากันเปื้อน ในมือถือกระทะและตะหลิว สือโหรวก็เกือบอดไม่ไหวอยากหัวเราะ นางชำเลืองตามองแสงสนธยานอกประตูที่ก็เหมือนว่ากำลังค่อยๆ ก้าวเดินกลับบ้านมาทีละนิด ยุ่งง่วนอยู่ทั้งวัน จึงถึงเวลาที่ต้องหยุดงานและกลับไปพักผ่อนแล้ว

ร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันซึ่งอยู่ในนามของภูเขาลั่วพั่วเช่นเดียวกัน รายได้ที่เข้าบัญชีมา อันที่จริงเมื่อเทียบกับร้านของตนที่สมุดบัญชีเล่มหนากว่า รายการยิบย่อยมากกว่าแล้ว รายได้กลับดีกว่ามากนัก เพียงแค่ขายของได้สักชิ้นหนึ่งก็สามารถเทียบเท่ากับบัญชีรายรับหลายปีของร้านยาสุ้ยแล้ว ผู้เฒ่าตาบอดนามว่าเจี่ยเฉิง ตอนนี้ก็ไม่ค่อยชอบปรากฏตัวแล้ว เพราะฝึกตนมาถึงช่วงคอขวด จึงมอบกิจการร้านค้าให้ลูกศิษย์สองคนอย่างจ้าวเติงเกาเด็กหนุ่มขากะเผลกที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้ม และเถียนจิ่วเอ๋อร์ที่เป็นเด็กดีว่าง่ายให้คอยจัดการดูแล

ปีๆ หนึ่งมีเวลาเกินครึ่งปีที่ผู้เฒ่าจะไปฝึกตนบนภูเขาหวงหูซึ่งเป็นภูเขาใต้อาณัติแห่งใหม่ของภูเขาลั่วพั่วโดยไม่สนใจเรื่องราวทางโลก

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้

มนุษย์ธรรมดาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนเตียง ส่วนผู้ฝึกลมปราณจะใช้ชีวิตเกินครึ่งอยู่กับการนั่งนิ่งฝึกบำเพ็ญตน อยู่ห่างไกลจากกลิ่นควันไฟในโลกมนุษย์ ตัดขาดเรื่องราวทางโลก คำว่าลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ก็แค่เป็นการใช้จิตใจของคนอื่นมาขัดเกลาจิตแห่งมรรคาของตนเท่านั้น ตามคำที่จูเหลี่ยนคุยเล่นกับเผยเฉียนก่อนหน้านี้ ขอแค่ขึ้นเขามาฝึกตนก็หนีไม่พ้นต้องใช้จิตแห่งเต๋าไปสืบเสาะค้นหาจิตแห่งสวรรค์ นั่งนิ่งอยู่เฉยๆ เท่านั้น สามารถฝึกตนประสบความสำเร็จ แต่ยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นเมื่ออยู่นิ่งจนถึงที่สุดแล้วจึงเริ่มมีความคิดอยากจะเคลื่อนไหว จึงเป็นฝ่ายเดินเข้าสู่ฝุ่นผงแห่งโลกโลกีย์ด้วยตัวเอง

เทพเซียนบนภูเขาที่อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์เช่นนี้คือคนนอกโลกที่ได้ยินได้ฟังเสียงสายลมภูเขาเสียงใบต้นสนร่วงหล่นมาจนเคยชินแล้ว ตามคำบอกของจูเหลี่ยน จิตใจเป็นอย่างไร? ไม่เป็นอย่างไร พูดถึงแค่หมัดเล็กใหญ่ ขอบเขตสูงต่ำ พูดถึงแค่ความยาวไกลของเส้นทางในหัวใจ กาลเวลาหลายร้อยปีบนภูเขาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเดินทางไปได้ไกลยิ่งกว่าชาวบ้านด้านล่างภูเขาที่มีชีวิตสั้นๆ เส้นทางหัวใจไกลหรือไม่ไกล ก็ต้องคอยคบค้าสมาคมกับผู้อื่นบ่อยๆ ด้วย ถึงอย่างไรบนภูเขาก็มีคนอยู่น้อย

สือโหรวรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่พอใคร่ครวญอย่างละเอียดกลับเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง

ส่วนเจ้าขุนเขาหนุ่มของบ้านตนนั้นค่อนข้างจะผิดแผกไปสักหน่อย ไม่เคยอยู่ว่าง ปล่อยกิจการขนาดใหญ่เช่นนี้เอาไว้ไม่สนใจใยดี ทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งไม่สนใจร้านอยู่ตลอดทั้งปี ช่วงเวลาที่ออกไปหาประสบการณ์ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกมากกว่าเวลาที่นอนเสวยสุขหรือฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองมากนัก

ว่ากันว่าการที่เขาสามารถเก็บรวบรวมภูเขาลูกใหญ่ที่โชคชะตาน้ำดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดลูกนั้นมาไว้เป็นของในกระเป๋าได้ ก็เป็นเฉินหลิงจวินที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวง ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาหวงหู สองฝ่ายคนหนึ่งมอบเงินคนหนึ่งมอบโฉนด ในบันทึกที่จวนผู้ว่าจังหวัดหลงโจว กรมพิธีการของราชสำนักและกรมครัวเรือนเป็นผู้เขียน ภูเขาหวงหูก็ได้กลายมาเป็นกิจการภายใต้นามของเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเงียบเชียบแล้ว สำหรับนักพรตเฒ่าเจี่ยที่ใจคิดอยากครอบครองภูเขาสักลูกหนึ่งมาโดยตลอด สือโหรวไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมด้วยนัก เพราะนางมักจะรู้สึกว่าเขาหน้าเลือดเกินไป

ฮวงจุ้ยของภูเขาหวงหูไม่ธรรมดา เจ้าเจี่ยเฉิงก็สามารถมองอย่างกระหายหวังครอบครองได้ด้วยหรือ?

ก่อนและหลังจะกลายเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว นักพรตเฒ่าเจี่ยก็คือคนสองคนที่แตกต่างกัน เมื่อก่อนเขามักจะเกรงอกเกรงใจสือโหรวอยู่เสมอ หมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน ต่อให้ไม่มีเรื่องให้คุยก็จะต้องมานั่งอยู่ที่นี่เป็นนาน พยายามประจบเอาใจอย่างอ้อมๆ ทำให้สือโหรวปวดหัวยิ่งนัก หลังจากที่อาจารย์และศิษย์สามคนต่างก็กลายเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อแล้ว นักพรตเจี่ยก็ไม่เคยมาเยือนร้านยาสุ้ยอีกเลย สือโหรวรู้ดีว่าเขากำลังวางมาดใส่ตน คิดจะให้ตนเป็นฝ่ายไปนั่งในร้านที่อยู่ติดกัน เอ่ยถ้อยคำสรรเสริญยกยอเขาสักสองสามคำ แต่สือโหรวไม่คิดจะทำเช่นนั้น

เมื่อก่อนเอาแต่หวาดหวั่นเกรงกลัว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องการคิดให้มากความ โดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้มานานหลายปี ในที่สุดก็ทำให้สือโหรวขบคิดความนัยที่แฝงอยู่ออกบ้างแล้ว

เจ้าขุนเขาหนุ่มซื้อภูเขา นับว่าเขาฉลาดเป็นกรด แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่ได้กำไรก้อนใหญ่ก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มยากจนจากตรอกหนีผิงที่ก้มหน้าก้มตาหาเงินไม่โอ้อวดผู้ใดคนนั้นมาโดยตลอด เด็กหนุ่มที่ไม่เคยได้ร่ำเรียน หลังจากที่ร่ำรวยก็ไม่เคยมีความคิดที่จะอวดรวย ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก แต่หากจะบอกว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มใจแคบขี้เหนียว กลับไม่ใช่เลย ต่อให้จะเป็นกับสือโหรวที่ไม่ถือว่ามีคุณความชอบแม้แต่น้อย ก็ยังถือว่าเขาใจกว้างมากแล้ว ภูเขามากมายขนาดนั้นล้วนเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ซื้อมาในราคาต่ำถูกแสนถูก ไม่เพียงเท่านี้ ภูเขาหวงหูยังมีจวนตระกูลเซียนหลายหลังที่สร้างสำเร็จแล้ว ซึ่งก็ถูกถ่ายโอนให้เข้ามาอยู่ในมือของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วพร้อมกันทีเดียว ภูเขาจูซาก็ไม่ต่างกัน ภูเขาหนิวเจี่ยวก็ไม่เพียงแต่มีท่าเรือขนาดใหญ่สำเร็จรูป แม้แต่ร้านผ้าห่อบุญร้านตระกูลเซียนที่ต้องทุ่มเงินเทพเซียนมหาศาลสร้างขึ้นมาแห่งนั้นก็ยังตกมาอยู่ในกระเป๋าของภูเขาลั่วพั่วเช่นกัน

จูเหลี่ยนหาบน้ำกลับมา เท้าของเขาเพิ่งจะเหยียบเข้ามาถึง เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ที่ต่างคนต่างหิ้วตะกร้าไม้ไผ่คนละใบก็ก้าวเท้าตามเข้ามาติดๆ

โจวหมี่ลี่ช่วยก่อไฟ พองแก้มช่วยเป่าลมใส่กระบอกเร่งไฟ เผยเฉียนเลือกผักพลางเอ่ยสัพยอกหมี่ลี่น้อยว่าระวังหน่อย ระวังว่าจะเป่าเตาไฟทั้งแท่นให้ปลิวไปด้วย หมี่ลี่น้อยหัวเราะ แล้วก็สูดเอาขี้เถ้าใบไม้เศษฟืนเข้ามาในปาก เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก โจวหมี่ลี่หัวเราะฮ่าๆ บอกว่าเกือบจะกินอิ่มแล้วเลย พ่อครัวเฒ่าผูกผ้ากันเปื้อนไว้ตรงเอว ใช้น้ำในบ่อล้างเขียงจนสะอาด หยิบมีดหั่นผักที่ลับไว้จนคมนานแล้วขึ้นมา เตรียมจะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่

สือโหรวอยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร นางยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนเกิน แต่ก็ไม่กล้าเดินจากไป ก็เลยยืนนิ่งเป็นเทพทวารบาลอยู่อย่างนั้น

อันที่จริงสือโหรวเองก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร ถึงอย่างไรตนก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มองดูความครึกครื้นในห้องครัว แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายปียังไม่ทันถึงเวลาฉลองปีใหม่ แต่กลับมีกลิ่นอายของวันปีใหม่แผ่อบอวลแล้ว

จูเหลี่ยนใช้มีดหั่นผัก คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วสบายตาสบายใจ

เผยเฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นวิชามีดที่ดียิ่งนัก พ่อครัวเฒ่าเหตุใดเจ้าไม่ใช้มีดรับมือกับศัตรูเล่า?”

จูเหลี่ยนไม่แม้แต่จะเงยหน้า ยิ้มกล่าวว่า “มีดหั่นผักน่ะหรือ? หากจะให้มีอาวุธติดกายให้ได้ พกกระบี่เดินทางไกลจะไม่น่ามองกว่าหรือไร?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างระอาใจ “ข้าล่ะแปลกใจนัก พ่อครัวเฒ่าตอนหนุ่มเจ้าคงไม่มีทางหล่อเหลาไปยังไงแน่ๆ ไม่รู้ไปหาลูกเล่นอะไรพวกนี้มาจากไหนนักหนา”

จูเหลี่ยนเอ่ย “ก็เพราะว่าไม่หล่อ ถึงได้ต้องพิถีพิถันเข้าไว้ยังไงล่ะ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยเลยตามเลยจะไม่ยิ่งหาเมียไม่ได้หรอกหรือ?”

เผยเฉียนกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าหาเจอแล้วหรือยัง? อยู่ในยุทธภพแห่งนั้น ลำดับอาวุโสของพวกเราสองคนห่างกันไกลยิ่งนัก อีกทั้งเจ้ายังไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไร เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าในยุทธภพ ข้าจึงได้ยินมาน้อย”

จูเหลี่ยนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ขนมพุทรากวนก้อนทอง เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ไม่ใช่ว่าเคยได้ยินมาตั้งนานแล้วหรอกหรือ?”

เผยเฉียนรีบถลึงตาลดเสียงกระซิบ “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ไหนว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ ทำไมไม่ระวังเอาเสียเลย! ก่อนหน้านี้ยุทธภพน้อยอย่างข้าพูดถึงแคว้นอะไรเมืองหลวงอะไรนั่น ก็รู้สึกเสียใจจนไส้เขียวแล้ว ตอนนั้นเจ้าไม่แก้ให้ถูกก็ถือว่าผิดแล้ว เหตุใดตอนนี้ถึงพูดซะเองเล่า?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “มีเหตุผลๆ คราวหน้าข้าจะต้องระวังให้มาก”

เผยเฉียนถาม “ไม่รู้ว่าปีนี้อาจารย์จ้งกับเจ้าตอไม้เฉาจะกล้ากลับมาหรือไม่?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ยาก บัณฑิตพอไปถึงทักษินาตยทวีปก็เหมือนสตรีไปถึงร้านค้าตรงตีนเขาหน้าผาหมีลู่ของภูเขาห้อยหัว มีที่ให้เดินเที่ยวมากมาย”

เผยเฉียนถามขึ้นมาอีก “ถ้าอย่างนั้นปีนี้ใครจะเขียนกลอนคู่? บ้านบรรพบุรุษของอาจารย์พ่อ ภูเขาลั่วพั่ว ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ เรือนไม้ไผ่ บวกกับเรือนพวกนั้น แล้วยังมีเรือนแห่งอื่นๆ บนภูเขามากมายขนาดนั้น ดูเหมือนว่าต้องเขียนอีกเยอะเลยนะ”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “หากเจ้ายุ่งมากจริงๆ ข้ากับพี่น้องต้าเฟิงก็สามารถช่วยได้”

เผยเฉียนขมวดคิ้ว “พ่อครัวเฒ่าเจ้ามาช่วย ข้ายังพอจะฝืนตอบตกลงได้ แต่ให้เจิ้งต้าเฟิงเขียนตัวอักษร จะดูได้จริงรึ? ข้ากลัวว่าตัวอักษรของเขาจะขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ดีเกินไป ภูตผีปีศาจตกใจจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่หากทำให้ความโชคดีและโชคลาภตกใจหนีไปด้วยจะทำอย่างไรล่ะ?”

จูเหลี่ยนเอ่ย “อันที่จริงพี่น้องต้าเฟิงงดงามจากภายใน นอกจากเล่นหมากล้อมแล้ว ความรู้ด้านการเขียนตัวอักษรก็ดีมากเหมือนกัน”

แต่จู่ๆ จูเหลี่ยนก็กล่าวว่า “ช่างเถิด อย่าให้พี่น้องต้าเฟิงต้องออกแรงเลยดีกว่า”

เผยเฉียนอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด

โจวหมี่ลี่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กข้างเตาไฟคอยใช้กระบอกไม้ไผ่เป่าลมใส่กองไฟตลอดเวลา นางมีสีหน้ากังขา เผยเฉียนที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างจึงอธิบายเบาๆ ว่า “ชมคนอื่นว่างามจากภายใน แท้จริงแล้วเป็นการด่าว่าคนเขาหน้าตาอัปลักษณ์”

โจวหมี่ลี่มองพ่อครัวเฒ่าแวบหนึ่ง แล้วจึงหันมามองสือโหรว พอนึกถึงสารรูปของเจิ้งต้าเฟิงก็หัวเราะปากกว้าง ในบ้านอย่างภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ก็มีแค่รูปโฉมของซานจวินเว่ยเท่านั้นกระมังที่พอจะทัดเทียมกับทัศนียภาพงดงามบนภูเขาได้?

จูเหลี่ยนบอกให้สือโหรวมาผัดกับข้าวจานเล็กๆ สองจาน

สือโหรวอยากปฏิเสธ แต่นางหรือจะกล้า

ฝ่ายจูเหลี่ยนรวบผ้าพันเปื้อนยกขึ้นแล้วนั่งลงบนธรณีประตูห้องครัว