บทที่ 1343 รักก็คือรัก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,343 รักก็คือรัก

คฤหาสน์ตระกูลฮัน

ในคฤหาสน์เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริง

ในฐานะหัวหน้าหน่วยนักรบเทวะผู้ประจำการอยู่ในพื้นที่เขตหนึ่งของแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ฮันฉวินไม่เคยรู้สึกมีความสุขมากเท่านี้มาก่อน บรรดาขุนนางจำนวนมากที่เคยตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาในอดีตกลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นอกจากยอมสงบศึกแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นยังนำของขวัญมามอบให้และยังร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเขาอีกด้วย…

ทั้งหมดนี้ย่อมมีเหตุผล

และเหตุผลนั้นก็คือการมีชื่อเสียงของฮันลั่วเซวี่ย นักเวทสาวหน้าใหม่แห่งเมืองเยี่ยเฉิง

ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่าอดีตบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมเก่าซอมซ่อในพื้นที่เขตสามจะกลายมาเป็นนักเวทคนโปรดของใต้เท้าเหลียน

วันนี้ แขกจำนวนมากมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่คฤหาสน์ตระกูลฮัน

เป็นการเลี้ยงฉลองที่ฮันลั่วเซวี่ยสามารถเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายได้สำเร็จ

ตามกฎที่ระบุไว้ในการแข่งขัน เมื่อเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้าย ผู้เข้าแข่งขันก็จะได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนจากสภาเทพเจ้า และยังมีสถานะเป็นเทพเจ้าระดับสามัญประจำสภาเทพเจ้าอีกด้วย ในอนาคตหากมีวาสนามากพอ ก็จะสามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นเทพเจ้าระดับสูงได้เช่นกัน

“ฮ่า ๆๆ พี่น้องทุกท่าน เชิญกินดื่มกันให้มีความสุข”

ชายฉกรรจ์ผู้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงชูจอกสุราขึ้นด้วยความเริงร่า

อันต้าหวงภรรยาของฮันฉวินก็สวมใส่ชุดเครื่องแบบนักรบสาวเต็มยศ นางสะพายกระบี่ทองคำ ดูมีความองอาจผ่าเผยมากยิ่งกว่านักรบบุรุษอกสามศอกเสียอีก

งานเลี้ยงจัดขึ้นบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์

มีผู้คนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงหนาแน่น

ฮันฉวินยืนถือจอกสุรากวาดตามองงานเลี้ยงของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ

โชคชะตาของตระกูลฮันได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อคนเราขึ้นสู่อำนาจ ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็จะมีแต่รอยยิ้มตอบรับกลับมาเสมอ

ให้ตายเถอะ

บัดนี้ ฮันลั่วเซวี่ยผู้เป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคนก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว

แขกเหรื่อจำนวนมากปรารถนาที่จะได้พบเห็นตัวเป็น ๆ ของนักเวทสาวสวยผู้นี้

เมื่อเห็นเด็กสาวปรากฏตัวออกมาในชุดสีขาวสะอาดตา ผู้คนจำนวนมากก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

“ช่างเป็นนักเวทสาวที่งดงามกระไรปานนี้”

“นอกจากมีความสามารถแล้ว ยังหน้าตาดีอีกด้วย… บุคคลเช่นนี้ ข้าอดอิจฉาไม่ได้จริง ๆ”

“ก่อนหน้านี้ นางยังต้องทำงานเป็นเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมอยู่เลยไม่ใช่หรือ? อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้มีความสามารถมากขนาดนี้นะ?”

บุรุษหนุ่มจำนวนมากหัวใจเต้นโครมคราม ปากอ้าค้างพูดอะไรไม่ออก พวกเขาตกตะลึงในความงดงามของฮันลั่วเซวี่ยจนแทบลืมหายใจ

ดังนั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงเงียบสงบลงในพริบตา

ราวกับว่ามีใครสักคนกดปุ่มหยุดภาพชั่วคราว

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาทำลายความเงียบด้วยความเร่งร้อน

“ใต้เท้าขอรับ มีแขก… มารออยู่ด้านนอก”

พ่อบ้านประจำตระกูลฮันวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นกลัว

ฮันฉวินหัวใจกระตุกวูบ ถามกลับไปว่า “ใครหรือ?”

“คนผู้นี้… บอกว่าใต้เท้าออกไปดูเดี๋ยวก็รู้เองขอรับ” พ่อบ้านลังเลเล็กน้อยและไม่ได้บอกถึงตัวตนแขกที่รออยู่ด้านนอก

ฮันฉวินทราบดีว่าพ่อบ้านของตนเองไม่ใช่บุคคลหยาบคาย แขกที่รออยู่ด้านนอกต้องเป็นบุคคลพิเศษแน่นอน ฮันฉวินจึงวางจอกสุราลงบนโต๊ะ หันกลับไปประสานมือกล่าวต่อแขกผู้ร่วมงานว่า “ทุกท่านเชิญกินดื่มกันต่อไปก่อน… ข้าขอออกไปต้อนรับแขกปริศนาสักครู่”

ในที่สุด ความเงียบสงัดของบรรยากาศงานเลี้ยงก็ถูกทำลายลงไป

ความสนุกสนานและรื่นเริงกลับมาปกคลุมบรรยากาศอีกครั้ง

ฮันฉวินเดินตามหลังพ่อบ้านตรงไปยังประตูรั้วคฤหาสน์

“ไม่ทราบว่าแขกผู้สูงส่ง…”

ฮันฉวินเดินออกไปพร้อมกับปั้นหน้ายิ้มแย้ม

แต่เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ฮันฉวินก็หัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง ไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้อีก

ชุดเกราะสีดำทมิฬ ผมสีดำ

สวมใส่หน้ากากสัตว์อสูรลวดลายเปลวไฟ

สำหรับบุคคลที่แต่งตัวเช่นนี้ในดินแดนทวยเทพ หากไม่ใช่เจ้าปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยาแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?

เจี๋ยนเซียวเหยามาที่นี่ทำไมกันนะ?

ฮันฉวินเริ่มคิดด้วยความร้อนรน

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคู่แข่งคนสำคัญของฮันลั่วเซวี่ยในรอบต่อไป แต่เรื่องราวที่เจี๋ยนเซียวเหยาบุกถล่มเหมืองใต้ดินกำลังได้รับการกล่าวถึงไปทั่วเมืองเยี่ยเฉิง เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่จะทำให้ฮันฉวินรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูนับพันเสียอีก

และต้องไม่ลืมว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้สังหารขุนนางเทพเจ้า

“คารวะคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยา”

ฮันฉวินเลือกที่จะเป็นฝ่ายประสานมือคำนับเด็กหนุ่มก่อน

ในหัวใจรู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะก่อนหน้านี้ ภรรยาของฮันฉวินปฏิเสธคำร้องขอจากเจี๋ยนเซียวเหยาในการบรรจุชื่อของเขาเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ และอย่าว่าแต่ฮันฉวินเลย หากเจี๋ยนเซียวเหยาไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงคืนนี้ แขกเหรื่อทุกคนก็ต้องก้มหัวให้แก่เด็กหนุ่มเช่นเดียวกับเขาเหมือนกัน…

“ท่านลุงฮัน”

หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยความสุภาพ “ข้ามาหาลั่วเซวี่ย”

ฮันฉวินรีบถามกลับไปอย่างเร็วไว “ไม่ทราบว่าคุณชายมีเหตุผลอันใดถึงมาหาลั่วเซวี่ยหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากนาง”

“เรื่องอันใดหรือ?”

“ข้าอยากให้นางถอนตัวออกจากการแข่งขัน”

“เรื่องนี้…”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันฉวิน “เรื่องนี้… ไม่ใช่สิ่งที่ลั่วเซวี่ยจะสามารถตัดสินใจได้เองขอรับ เพราะการเข้าร่วมการแข่งขันของนาง เป็นคำสั่งโดยตรงจากใต้เท้าเหลียน ดังนั้น…”

หลินเป่ยเฉินพูดขัดจังหวะขึ้นมาว่า “นี่ก็เพื่อผลดีต่อตัวลั่วเซวี่ยเอง หากนางถอนตัวออกจากการแข่งขัน นางก็ยังสามารถรักษาความรุ่งเรืองของตระกูลฮันเอาไว้ได้ แต่หากนางยังดึงดันเข้าร่วมการแข่งขันต่อไป เกียรติยศและความรุ่งเรืองของตระกูลฮันก็จะแหลกสลายลงไปในพริบตา”

ฮันฉวินตื่นตระหนกไม่น้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…

“ข้ารับปากกับท่านว่าข้าจะถอนตัว”

เสียงหนึ่งดังขึ้น

ไม่ทราบเลยว่าฮันลั่วเซวี่ยมาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นางเดินออกมาจากประตูรั้วของคฤหาสน์ สวมใส่ชุดสีขาวสะอาดตาราวกับหิมะ ก่อนที่สองเท้าจะหยุดนิ่งและยืนจ้องมองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้เขาราวกับดอกเบญจมาศแรกแย้ม

ฮันฉวินหันขวับกลับไปมองที่หลานสาวของตนเอง “ลั่วเซวี่ย เจ้า…”

“ท่านลุง ถึงพี่ใบ้ไม่บอก ข้าก็จะถอนตัวอยู่แล้ว”

ฮันลั่วเซวี่ยยิ้มตอบอย่างอ่อนหวาน

ฮันฉวินลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “แต่ใต้เท้าเหลียน…”

ฮันลั่วเซวี่ยพูดสวนกลับมาทันที “นี่เป็นคำสั่งจากใต้เท้าเหลียนเองเจ้าค่ะ นางสั่งให้ข้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน”

ฮันฉวินได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

อันที่จริงก็ดีเหมือนกัน เพราะหากฮันลั่วเซวี่ยเข้าร่วมการแข่งขันต่อไป พวกเขาก็ต้องเป็นห่วงนางระหว่างการต่อสู้บนสะพานหินโบราณเสมอ

แม้ว่าเด็กสาวจะสามารถแสดงพลังได้อย่างน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างไรคุณสมบัติของฮันลั่วเซวี่ยก็ยังต่ำต้อยมากเกินไป นางยังแข็งแกร่งไม่พอที่จะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน

“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว”

เมื่อหลินเป่ยเฉินบรรลุเป้าหมาย เขาก็หมุนตัวกำลังจะเดินจากไปทันที

“พี่ใบ้…”

ฮันลั่วเซวี่ยส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง “ไม่เข้าไปดื่มสุราสักหน่อยหรือเจ้าคะ?”

“ไม่จำเป็น ข้ามาบอกลาเท่านั้น”

แล้วร่างของหลินเป่ยเฉินก็หายวับไปในพริบตา

หลังจากนั้น ข่าวเรื่องการถอนตัวออกจากการแข่งขันของฮันลั่วเซวี่ยก็ได้รับการบอกต่อไปถึงงานเลี้ยงด้านใน

อันต้าหวงและแขกจำนวนมากรีบวิ่งออกมาที่ประตูรั้ว

“เป็นผู้ใดกันมาบีบบังคับให้ลั่วเซวี่ยถอนตัว?”

อันต้าหวงคำรามออกมาด้วยความฉุนเฉียว กลิ่นสุราลอยคลุ้งออกมาจากร่างกาย

“นั่นสิ เป็นผู้ใดขวัญกล้าบังอาจถึงเพียงนี้?”

“แม้แต่เทพเจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้ผู้ใดถอนตัวเลยด้วยซ้ำ…”

“นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันชัด ๆ”

แขกบางส่วนที่เป็นมิตรสหายกับตระกูลฮันอดระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นไม่ได้

ฮันฉวินหันไปมองหน้ากลุ่มคนทั้งหมดและตอบว่า “เป็นเจี๋ยนเซียวเหยา”

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที

อันต้าหวงเบิกตาโตและอุทานว่า “อ้อ ข้าดื่มหนักเกินไปแล้ว…”

หลังจากนั้น นางก็ล้มลงไปในอ้อมแขนของสาวรับใช้สองคน

ส่วนแขกคนอื่น ๆ ก็ใบหน้ากระตุก รีบหันกลับไปเข้าร่วมงานเลี้ยงต่อโดยไม่พูดอะไรอีก

เฮ้อ

ที่แท้ก็เป็นปีศาจน้อยผู้นั้นเอง

ในสายตาของชาวเมืองเยี่ยเฉิง ณ ปัจจุบัน เจี๋ยนเซียวเหยามีความดุดันน่าเกรงขามยิ่งกว่าเทพเจ้าด้วยกันเองเสียอีก หากผู้ใดไม่เห็นด้วยกับเจี๋ยนเซียวเหยาก็จะต้องประสบพบเจอชะตากรรมเช่นเดียวกับใต้เท้าหมิงรั่ว หรือย่ำแย่มากกว่านั้นก็ต้องถูกฆ่าตายอย่างใต้เท้าอวิ๋นอิง…

ทุกคนทราบดีว่าเจี๋ยนเซียวเหยาเป็นผู้สังหารขุนนางเทพเจ้า…

มีใครบ้างจะกล้าขัดขวางเขา?

เรื่องราวเช่นนี้ อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า

ทุกคนต่างก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

มีเพียงฮันลั่วเซวี่ยผู้เดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่หน้าประตูรั้วดังเดิม นางจ้องมองไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินหายตัวไป เด็กสาวยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นครึ่งค่อนวัน ไม่อยากจะถอนสายตาของตนเองไปทางอื่น

รักก็คือรัก แม้มันจะเป็นความรักข้างเดียว

รักก็คือรัก แม้มันจะเป็นความรักที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ก็ตาม