ริมฝีปากของหวังจือเช่อปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน แววตาค่อนข้างเศร้า
ค่ำคืนที่เมืองเสวี่ยเหล่าถูกตีแตก ทันทีที่วิกฤตการณ์อันเกิดจากการรุกรานของดินแดนเซิ่งกวงได้รับการแก้ไข เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการล้อมจู่โจมของสี่ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
“ตามความเห็นของท่าน นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า ตามความเห็นของข้า ก็เฉกเช่นเดียวกัน”
เฉินฉางเซิงพูดต่อ “ข้าเคยอ่านบันทึกของท่าน อีกทั้งหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับท่าน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คืนนี้จะไม่เห็นท่าน เช่นนี้ท่านก็ยังคงเป็นตำนานในใจข้า”
หวังจือเช่อคลายมือออกจากคนชุดดำ แล้วก้าวลงบันไดศิลา มายืนอยู่ด้านล่าง มองดูผู้คน ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง “ขออภัย”
บรรยากาศตึงเครียดพลันถูกเสียงหนึ่งทำลายลง
“ข้าว่า…ทุกท่านให้ความเคารพข้าหน่อยได้ไหม ที่นี่คือบ้านข้า”
ราชามารก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วว่า “หรือไม่สมควรที่ข้าจะเป็นตัวเอกของโศกนาฎกรรมในคืนนี้”
ถังซานสือลิ่วนึกถึงจดหมายเหล่านั้น จึงยิ้มน้อยๆ “โศกนาฎกรรมมักมาจากการเล่นแง่ เจ้าอายุยังน้อย ไม่นับว่าเล่นแง่”
“ข้าถือว่านี่เป็นคำชมก็แล้วกัน”
ราชามารพูดจริงจังขณะจ้องมองเขา แล้วจึงหันกายไปทางคนชุดดำ ก่อนพูดจากใจจริง “เจ้าเตรียมไปจากที่นี่กับชายคนนี้จริงๆ หรือ”
คนชุดดำก้มหน้าลงเล็กน้อย มุมปากปรากฏรอยยิ้มอ้างว้าง แม้สีหน้าเป็นสีเขียวประหลาดๆ แต่ยังคงดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ
แล้วสายตาของราชามารก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมา “ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก!”
จู่ๆ ก็มีลมพัดมา ไม่เห็นหวังจือเช่อเคลื่อนไหว แต่เขากลับขึ้นไปอยู่ด้านบนและบีบคอราชามารไว้
อาวุธชิ้นหนึ่งตกลงบนเท้าของราชามาร ก่อนจะแหลกละเอียด
เมื่อครู่เขาคิดใช้อาวุธมารชิ้นนี้แทงคนชุดดำ แต่ยังไม่ทันจู่โจมออก ก็ถูกหวังจือเช่อสกัดไว้แล้ว
ราชามารหน้าแดง ใกล้หายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ แต่กลับหัวเราะไม่หยุด
หวังจือเช่อค่อยๆ คลายมือออก สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว
คนชุดดำล้มลงบนพื้น เสียชีวิตแล้ว
กระบี่ที่ดูเหมือนกระบี่ธรรมดาๆ เล่มหนึ่งแทงทะลุร่างนาง ตรงเข้าทำลายแดนลี้ลับของนาง
ผู้จับกระบี่ คือคนชุดเขียวคนหนึ่ง
คนชุดเขียวแอบอยู่ในเงามืดของราชามารมาโดยตลอด จนสบโอกาสเมื่อครู่ ค่อยแสดงฝีมือออกมา
แม้ได้รับความช่วยเหลือจากราชามาร แม้หวังจือเช่อใจจดใจจ่ออยู่แต่กับพวกหวังผ้อ ทว่าสามารถสังหารคนต่อหน้าหวังจือเช่อได้ คนชุดเขียวย่อมมิใช่นักฆ่าธรรมดา
เขาเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า หลิวชิง
เฉินฉางเซิงกับหวังผ้อหันมาสบตากัน
คนสามคนในเรื่องเล่าขานที่สวินหยางล้วนมากันครบแล้ว
……
……
คนชุดดำก็เสียชีวิตไปเช่นนี้
หวังจือเช่อยืนนิ่งอยู่หน้าร่างของนาง ไม่รู้กำลังคิดอะไร
จนท้ายที่สุด เขาก็มิได้ลงมือ
เขาอุ้มศพของคนชุดดำขึ้น ก้าวออกนอกตำหนักมารไป แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ถังซานสือลิ่วพูดกับราชามาร “ขอบใจนะ”
ราชามารตอบ “ข้าเคยบอกว่าข้ารักนาง เมื่อเกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกับนางไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องตายวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน”
ถังซานสือลิ่วว่า “รับพวกเจ้าไม่ได้”
ราชามารยิ้มน้อยๆ “ต่อไปก็ไม่ต้องรับแล้ว ลาก่อน”
เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงจัง “ไปสู่สุคติ”
ถังซานสือลิ่วลุกจากเก้าอี้รถเข็น ขึ้นมายืนอย่างยากเย็น ก่อนพูดกับเขา “ลาก่อน”
หลังจากก้าวเข้าไปในเพลิงมารที่มืดดุจราตรีกาล ร่างของราชามารก็ค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่า
จนพริบตาสุดท้าย ใบหน้าของเขาก็ยังมีรอยยิ้มที่ค่อนข้างพอใจ ค่อนข้างแปลก ไม่รู้หมายความว่าอะไร
……
……
หิมะตกแล้ว ละอองหิมะลอยละล่องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
เศษแสงเหล่านั้นยังคงล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ราวกับดอกไม้ไฟอย่างไรอย่างนั้น
หวังจือเช่ออุ้มคนชุดดำออกจากเมืองเสวี่ยเหล่า
ครึ่งเมืองมีดอกไม้ไฟ ครึ่งเมืองมีหิมะ
เนินหิมะที่อยู่ไกลออกไป แกะดำตัวหนึ่งกำลังมองมาทางนี้
……
……
ราตรีกาลอย่างไรก็ต้องผ่านพ้น เช้าวันใหม่ต้องมาเยือน
ในที่สุดทหารกบฏก็ถูกจู่โจมจนแตกพ่าย หนีออกนอกเมืองหลวง ค่ายผิงเป่ยกับทหารอวี่หลินรวมตัวกันในที่แห่งหนึ่ง เริ่มออกไล่ล่า
เซวียนหยวนผ้อมอบอำนาจบัญชาการให้ทหารเผ่ามนุษย์ ก่อนพักอยู่ในสำนักฝึกหลวง
หลังจากสู้รบอย่างหนักมาหนึ่งคืน แม้ผู้ซึ่งอยู่ในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวอย่างเขาก็ยังบาดเจ็บไปหลายแห่ง โดยเฉพาะขณะถูกยอดฝีมือสกุลเทียนไห่ล้อมจู่โจม ไหล่ซ้ายถูกฟันเป็นแผลเปิดขนาดใหญ่ ตอนนั้นโลหิตไหลราวน้ำตกก็มิปาน แม้แต่เขาเองก็ยังค่อนข้างแปลกใจว่า เหตุใดจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
แน่นอน ยอดฝีมือสกุลเทียนไห่เหล่านั้นล้วนเสียชีวิตภายใต้คมกระบี่โลหะของเขา
นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของสำนักไม้เลื้อย ตนถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทุบตีจนพิการ ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
เขารู้ว่า เทียนไห่หยาเอ๋อร์เสียชีวิตแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ว่ากันว่าตายอย่างไม่เต็มใจนัก
พอเซวียนหยวนผ้อก้าวเข้าไปในสำนักฝึกหลวง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเกรงขามที่เหล่าศิษย์อาจารย์จ้องมองมา จึงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
เห็นชัดว่า ศิษย์อาจารย์ในสำนักฝึกหลวงมองเขาอย่างคนแปลกหน้า
ทั้งๆ ที่เขาเป็นศิษย์เก่าของสำนักฝึกหลวง กระทั่งคล้ายมีตำแหน่งพ่วงด้วย
ที่หอตำราเงียบสงบกว่ามาก กำแพงเตี้ยถูกรื้อออกไปแล้ว หอเล็กยังคงอยู่ในสภาพเดิม เว้นเสียแต่ซูม่ออวี๋มิได้สอน และนักเรียนอยู่ในนั้นได้
ห้องหับเหล่านั้นมีไว้ให้เจ๋อซิ่ว ถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิง และเขา
หน้าหอเล็กมีต้นไม้มากมาย ยิ่งในป่าทิศที่ใกล้กับพระราชวัง ก็ยิ่งมีต้นไม้ใหญ่มาก
เซวียนหยวนผ้อหวนคิดถึงอดีต แล้วรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
เมื่อก่อนเขามักมาชกต้นไม้ในป่าแห่งนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าทำเช่นนั้นอีก เพราะถ้าเขาเที่ยวชกต้นไม้ตามอำเภอใจ ต้นไม้หนาขนาดไหน ก็ล้วนต้องหักโค่นลง
พอเดินไปอีกด้านของทะเลสาบ เซวียนหยวนผ้อก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่ตนคุ้นเคยที่สุด…ห้องครัว
ห้องครัวเดิมถูกอู๋ฉยงปี้ทำลายไป ตอนนี้ได้รับการซ่อมแซมแล้ว ทว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม
เซวียนหยวนผ้อก้าวเข้าไปในห้องครัว ขณะมองดูหม้อไหจานชามเหล่านั้น ก็นึกถึงเฉินฉางเซิงที่มาขอให้เขาใส่น้ำมันกับเกลือให้น้อยลงหน่อย จึงรู้สึกจืดชืดในปากขึ้นมา จากนั้นก็นึกถึงตอนกินข้าวขาวกับกุ้งมังกรสีน้ำเงินนึ่งร่วมกับถังซานสือลิ่วหลายครั้ง จึงรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา
ในห้องครัวไม่มีของกิน เห็นทียามปกติที่นี่คงไม่มีคนมาใช้ เซวียนหยวนผ้อรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ก่อนจากไป เขามองดูกองฟืนที่เป็นระเบียบ แล้วเงียบอยู่สักพัก ค่อยใช้กระบี่โลหะเสียบเข้าไป
หลายปีก่อน ตอนที่เขาก่อฟืนทำกับข้าวอยู่ในนี้ ก็คุ้นชินกับการทำเช่นนี้
เพียงแต่วันนี้ เขาไม่เตรียมที่จะชักกระบี่ออกอีก เพราะเขาอยากทำตามถังซานสือลิ่วกับเฉินฉางเซิง
หลังจากนี้หลายสิบปี กระทั่งหลายร้อยปี ถ้ามีนักเรียนใหม่ในสำนักฝึกหลวงคนหนึ่งถูกรังแกและค้นพบกระบี่โลหะในนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เซวียนหยวนผ้อตั้งตารอคอย
พอลั่วลั่วได้ยินเรื่องนี้ ก็อยากรู้มากเช่นกัน จึงหัวเราะออกมา
แต่แล้วเสียงหัวเราะก็หยุดลงกะทันหัน นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อคืนเป็นคืนที่ยาวนานมาก เริ่มจากอาจารย์ลุงจักรพรรดิได้กลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง จากนั้นท่านอาจารย์ซึ่งอยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่าก็ติดต่อมา บอกไม่ให้นางขยับไปไหน
เกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองเสวี่ยเหล่ากันแน่ ในเมื่ออาจารย์ลุงจักรพรรดิร้ายกาจเช่นนี้ แล้วพวกข้าเข้าเมืองหลวงมาทำไม
“เรื่องที่เราทำ ไร้ความหมายหรือเปล่า”
นางยืนอยู่บนต้นไทรขนาดใหญ่ มองเซวียนหยวนผ้อพลางถามอย่างจริงจัง
เซวียนหยวนผ้อยืนอยู่ใต้ต้นไทร เป็นห่วงว่าองค์หญิงจะตกลงมา “ทรงมิได้ปีนต้นไทรมาสิบกว่าปีแล้ว ระวังลื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วลั่วทำหน้าทะเล้น ก่อนกระโดดไปอีกกิ่งหนึ่งอย่างคุ้นเคย แล้วเดินไปยังปลายกิ่ง มองดูทะเลสาบ
ต้นไม้เจริญเติบโต แต่รูปร่างเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
“ท่านเจ้าสำนักเคยบอกว่า กระบวนการสำคัญกว่าเป้าหมาย เช่นนั้นข้าคิดว่า…เรามาเมืองหลวงย่อมมีความหมาย”
เซวียนหยวนผ้อชะงักเล็กน้อย ก่อนว่า “ซึ่งจริงๆ แล้วข้าก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้”
“เจ้าช่างโง่เง่าเต่าตุ่นเสียจริง”
ลั่วลั่วว่า
เซวียนหยวนผ้อคิดในใจ ถ้าเจ้ามิใช่องค์หญิง แต่เป็นถังซานสือลิ่ว ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่
ลั่วลั่วอธิบาย “ความหมายของท่านอาจารย์ง่ายมาก พวกเราล้วนต้องตาย เป้าหมายถูกกำหนดไว้แล้ว เช่นนั้นกระบวนการก็ต้องสำคัญกว่าอย่างไรเล่า”
เซวียนหยวนผ้อคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วว่า “ดูเหมือนมีเหตุผลมากจริงๆ”
ลั่วลั่วมองดูทะเลสาบ เห็นปลาหลีฮื้อตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช่ตัวที่เมื่อก่อนเคยเห็นหรือไม่
ปลาหลีฮื้อตัวนั้นค่อยๆ ว่ายลงก้นทะเลสาบ
แต่จู่ๆ มันก็ส่ายหาง แล้วเริ่มว่ายกลับขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างเริงร่า ทำให้เกิดละอองน้ำมากมาย
ลั่วลั่วสุขใจจนหัวเราะขึ้นมา
……
……
หลังจากนั้นอีกหลายวัน กลุ่มของเฉินฉางเซิงก็กลับถึงเมืองหลวง
บนท้องถนนยังมีร่องรอยของการสู้รบอยู่ สิ่งก่อสร้างมากมายถล่มลงมา ได้ยินว่ากระทั่งโถงรับแขกในจวนขุนพลเทพตงอวี้ก็พังย่อยยับ ดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร
โรงเตี๊ยมในตรอกไป๋ฮวายิ่งเสียหายหนัก หลังผ่านฝนฤดูใบไม้ร่วงไปสองครั้ง ก็ยังไม่รู้ว่าควันลอยออกมาจากส่วนไหน
เฉินฉางเซิงมิได้กลับพระราชวังหลีก่อน แต่ตรงไปยังสำนักฝึกหลวง
ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ย่อมคิดถึงมาก
ขณะลั่วลั่วกำลังจะโผเข้าไปในอ้อมอกของเขา พลันรู้สึกว่าบนร่างเขามีบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิม จึงทำตาลุกวาวโดยไม่รู้ตัว
เฉินฉางเซิงพยักหน้าหงึกๆ
ลั่วลั่วส่งเสียง อา เบาๆ ออกมา แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนดีใจ
เฉินฉางเซิงหัวเราะพลางลูบศีรษะนาง
ลั่วลั่วเอียงคอ หรี่ตามอง คล้ายเสือน้อยตัวหนึ่ง น่ารักน่าชังยิ่ง
เฉินฉางเซิงเก็บมือลง
ขณะลั่วลั่วเตรียมโผเข้าไปในอ้อมอกท่านอาจารย์ต่อจากเมื่อครู่ ก็พลันเห็นชุดขาวชุดหนึ่ง
จึงรีบเก็บรอยยิ้ม ก่อนพูดจาขึงขัง “คารวะอาจารย์หญิง”
……
……
สวีโหย่วหรงกลับมาแล้ว ถังซานสือลิ่วก็กลับมาแล้ว ซูม่ออวี๋ ชูเหวินปินและเหล่าศิษย์อาจารย์ก็กลับมาแล้ว
แน่นอนว่าบางคนไม่อาจกลับมาตลอดไป
กวนเฟยไป๋กับไป๋ไช่มิได้มาพบโก่วหานสือที่เมืองหลวง แต่ตรงดิ่งกลับเขาหลีซาน
พอศิษย์เขาหลีซานเห็นอัฐิเหล่านั้น ก็ร่ำไห้กันทั้งหมด จากนั้นก็เมามายไปสามวัน
ชีเจียนก็โศกเศร้ามากเช่นเดียวกัน เนื่องจากศิษย์พี่เหลียงปั้นหูเสียชีวิตแล้ว แต่นางมิได้ดื่มสุรา เพราะนอกจากเศร้าใจแล้ว นางยังกังวลใจด้วย
เจ๋อซิ่วมิได้กลับมา
เขามิได้กลับเขาหลีซาน และมิได้กลับสำนักฝึกหลวง ชนเผ่าหมาป่าบนทุ่งหญ้าก็กำลังสืบข่าวของเขาอยู่
ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน และไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เฉินฉางเซิงมองดูห้องที่ปิดมิดชิดพลางว่า “ถ้าตอนนั้นเขาสามารถรอดชีวิตออกจากคุกโจวได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเสียชีวิตเช่นนี้”
ถังซานสือลิ่วว่า “ข้าก็คิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะเขายังไม่ได้จ่ายหนี้มากมายที่ติดค้างข้า”
……
……
เมืองเสวี่ยเหล่าต้อนรับการมาเยือนของฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ หิมะตกลงมาอย่างหนักดุจขนห่านอย่างไรอย่างนั้น
ในเมืองยังนับว่าไม่เลว เนื่องด้วยหลังจากเหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์เสียชีวิต สมบัติพัสถานที่หลงเหลือไว้ยังมีมากพอ แต่ชีวิตนอกเมืองกลับแร้นแค้นยิ่ง
พอเผ่ามนุษย์ยึดกำลังทหารได้ ก็ใช้กฎหมายที่เข้มงวด รักษาความมั่นคงในเมือง แต่นอกเมืองกลับจัดการอะไรไม่ได้มากนัก ได้แต่ดูว่าฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า จะมีเสบียงอาหารส่งมาช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่
ด้านเหนือของเมืองมีเนินหญ้าอยู่เนินหนึ่ง ถูกหิมะปกคลุมอย่างหนาทึบ ทำให้ดูไม่ออกว่าที่นี่เคยเป็นสุสานแห่งหนึ่ง
มีเพียงแท่งหินสีดำที่โผล่ออกจากพื้นหิมะเป็นครั้งคราว บ่งบอกให้รู้ว่าที่นี่เคยถูกใช้งานมาก่อน
พื้นหิมะพลันขยับขึ้น แล้วค่อยๆ ยุบตัวลง จากนั้นก้อนหิมะก็ตกลงไป เผยให้เห็นคนคนหนึ่ง
คนผู้นี้สวมเสื้อขาดรุ่งริ่ง ผิวหนังที่แลบออกนอกเสื้อผ้าเป็นสีเขียวอ่อน ทำให้รู้สึกขยะแขยง พร้อมส่งกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพออกมา ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นซากศพหรือคนมีชีวิต
ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศเย็นจัด เกรงว่ากลิ่นเหม็นของซากศพเหล่านี้จะลอยไปได้อีกไกล
คนประหลาดผู้นี้จับก้อนหิมะขึ้นมา ค่อยๆ ขัดล้างร่างสีเขียวของตนเอง จากนั้นก็พบเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งในหลุมฝังศพใต้หิมะ จึงเอามาคลุมร่างไว้
ก่อนยกหมวกติดเสื้อคลุมขึ้นบังพายุหิมะ และยังบังสายตาผู้คนได้อีก
คลับคล้ายเห็นแววตาที่เย็นชายิ่งของคนประหลาด
……
……