บทที่ 2111 พันธุ์ปีศาจ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พ่อหวง? เหมียวอี้ลองไตร่ตรองดูครู่เดียวก็นึกเชื่อมโยงไปถึงคนคนหนึ่ง พ่อของหวงฝู่จวินโหรว อู่หนิง

ถ้าเป็นอู่หนิงจริงๆ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงถึงอีกตัวตนหนึ่งของอู่หนิง องครักษ์เงา!

ตอนนี้สองแม่ลูกหวงฝู่ถูกเขาพาไปอยู่ไว้ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันบ่อยๆ เขาเองก็รู้เช่นกันว่าอู่หนิงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับหวงฝู่จวินโหรวแล้ว รู้ด้วยว่าอู่หนิงออกจากบ้านไปแล้ว ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยสงสัย ว่าเรื่องที่องครักษ์เงาลอบสังหารเขาเกี่ยวข้องกับที่อู่หนิงออกจากบ้านหรือเปล่า?

อีกฝ่ายอยากจะมาเจรจากับเขาเรื่องหวงฝู่จวินโหรว หรืออยากจะมาลอบสังหารเขา?

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าพระปีศาจเคยใช้วิธีการแบบไหน ไม่รู้เรื่องกัวเหยียนถิงด้วย จึงไม่รู้เช่นกันว่าองครักษ์เงาหยุดภารกิจลอบสังหารเขากลางคันแล้ว ตอนนี้มีคนจะองครักษ์เงามาพบเขา จะไม่ให้สงสัยว่ามาลอบสังหารเขาก็คงยาก

ถ้ามาลอบสังหารจริงๆ เมื่อลงมือขึ้นมา ทหารอารักขาข้างกายเขาไม่เกรงใจแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องลุกลามจนอธิบายกับหวงฝู่จวินโหรวลำบาก

ตบแผ่นหยกในมือเบาๆ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “จับตัวเอาไว้แล้วพามา จำไว้นะ ว่าอย่าทำให้เขาบาดเจ็บ!”

“เข้าใจแล้วขอรับ” หยางเจาชิงพยักหน้า รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร

ด้านนอกประตูดวงดาว กำลังพลกลุ่มเล็กมาขวางอยู่ตรงหน้าอู่หนิง อู่หนิงที่สวมหน้ากากบนใบหน้ารออย่างใจเย็น รอให้อีกฝ่ายเป็นรายงาน

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยอมพบเขาหรือเปล่า เขาไม่เชื่อว่าเหมียวอี้เดาสถานะของเขาไม่ออก ถ้าหากไม่ยอมพบเขา เขาก็จะรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับลูกสาวตัวเองแล้วจริงๆ อาศัยฐานะของเหมียวอี้ตอนนี้ ถ้าไม่อยากจะพบเขา แผนเขาก็ล้มเหลวแล้ว เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เหมียวอี้เลย

ผ่านไปไม่นาน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีกำลังพลประจำการอยู่ใกล้ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะมา   แม่ทัพหนึ่งในนั้นก้าวขึ้นมา แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้าแซ่อู่หรือเปล่า?”

อู่หนิงรู้แล้วว่าคงจะเป็นคนที่เหมียวอี้ส่งมารับ จึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่!”

แม่ทัพคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขออภัย ตามกฎแล้วต้องตรวจสอบก่อน โปรดให้ความร่วมมือด้วย!”

อู่หนิงทำท่าเหมือนให้ฝ่ายตรวจได้ตามสบาย แม่ทัพคนนั้นโบกมือให้คนข้างหลัง มีทหารหลายคนเข้ามาลองตรวจสอบอู่หนิงทันที

อู่หนิงกางแขนสองข้างปล่อยให้ตรวจสอบ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ จู่ๆ คนที่อยู่ข้างหลังก็ลงมือ จิ้มบนตัวเขาติดต่อกันหลายครั้ง จิ้มบนตัวเขาติดต่อกันหลายครั้งควบคุม ควบคุมเขาเอาไว้เสียเลย

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” อู่หนิงอ้าปากร้องโวยวาย เมื่อไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ก็ไม่สามารถส่งเสียงดังในดาราจักรได้ คนที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร แต่ดูจากใบหน้าเกรี้ยวโกรธของอู่หนิงก็เดาออกแล้ว

“พาตัวไป!” แม่ทัพคนนั้นโบกมือสั่ง

แล้วก็เป็นแบบนี้ ต่อให้อู่หนิงนอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ เขาอุตส่าห์เตรียมตัวแล้วอาจจะไม่ได้พบ แล้วทำไมต้องจับเขาล่ะ?

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าองครักษ์เงายกเลิกภารกิจลอบสังหารแล้ว ส่วนอู่หนิงก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้วว่าองครักษ์เงาจะลอบสังหารเขา วิ่งเข้ามาชนประตูบ้านแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้ามาติดบ่วงเอง

ตอนที่โผล่หน้ามาอีกครั้ง ตัวเองก็อยู่ในโถงหลักของจวนท่านอ๋องแล้ว พออู่หนิงเงยหน้าขึ้นมา แม่ทัพที่อยู่ตรงหน้าก็ฉีกหน้ากากบนใบหน้าเขา พอแม่ทัพหลีกไป อู่หนิงก็เห็นเหมียวอี้กำลังยิ้มตาหยีให้เขาอยู่

จากนั้นเหมียวอี้ก็โบกมือให้แม่ทัพคนนั้นถอยออกไป

“ท่านบุรุษอู่ ไม่เจอกันนาน ไม่รู้ว่าสบายดีหรือเปล่า!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะปนเสียงหัวเราะ การที่สามารถทำให้อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะก่อนได้ ก็ย่อมเป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรว

เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ ใบหน้าอู่หนิงก็ฉายแววเดือดดาล “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหมายความว่ายังไง?”

เหมียวอี้ยกมือห้าม “ท่านบุรุษอย่าเข้าใจผิด ก็แค่ช่วงนี้ได้ยินมาว่าองครักษ์เงาจะลอบสังหารข้า เวลาลูกน้องทำงานจะไม่ระวังหน่อยก็ไม่ได้!”

“…” อู่หนิงอึ้งนิดหน่อย เจ้าเวรนี่รู้ด้วยหรอว่าองครักษ์เงาต้องการจะลอบสังหารเขา? นี่คือการปฏิบัติงานลับขององครักษ์เงา เขารู้ได้อย่างไร? ตอบอย่างโมโหว่า “นี่เป็นวิธีการรับแขกของเจ้าเหรอ? คลายผนึกให้ค่า!”

เหมียวอี้ที่จองปฏิกิริยาของเขายิ้มแข็งๆ “ถ้ามีตรงไหนที่ต้อนรับไม่ดีก็อย่าถือสา ท่านต้องการมาสังหารข้าเหรอ?”

อู่หนิงอยากจะเอาหัวชนพื้นให้ตาย เขายังนึกว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูง ขอเพียงมีโอกาสเข้าใกล้ ก็จะสังหารให้ตายได้ในครั้งเดียว อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อ โอกาสที่ทั้งสองจะได้พบกันตามลำพังก็มีเยอะมาก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้สูงมาก ใครจะคิดว่าจะมีเหตุผิดพลาดระหว่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะหลับหูหลับตาบุกเข้ามาอย่างนี้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ

อู่หนิงย่อมไม่ยอมรับว่าตัวเองจะมาลอบสังหาร “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ารู้เรื่องของเจ้ากลับโหรวโหรวแล้ว วันนี้เราต้องคุยเรื่องนี้กันให้ชัดเจน”

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

จู่ๆ อู่หนิงก็รู้สึกว่าหลังคอตัวเองโดนคนบีบไว้ ตาเหลือกสลบไปแล้ว ทั้งร่างล้มลงพื้นช้าๆ เหยียนซิวปรากฏตัวข้างหลัง ใช้แขนข้างเดียวรองเขาเอาไว้ แล้วพาตัวไปที่โถงด้านหลัง

เหมียวอี้เดินไปใต้ชายคานอกโถง แล้วยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เหยียนซิวก็เดินออกมาจากห้องแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกข้างกายว่า “ท่านอ๋อง มาลอบสังหารจริงๆ ขอรับ”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เขาจะไม่รู้เชียวเหรอ ว่าต่อให้ทำสำเร็ แต่เขาก็รอดชีวิตออกไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี? อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์รู้เรื่องของข้ากลับจวินโหรวแล้ว ก็เลยตั้งใจส่งเขามาเพื่อหาช่องโหว่ในการลอบสังหาร?”

เหยียนซิวพึมพำในใจว่า หนี้ชู้ที่เจ้าก่อไว้ไงล่ะ โชคดีที่หวังเฟยอยู่กับเฟยหง ไม่อย่างนั้นถ้าให้หวังเฟยรู้ คอยดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร “เขาไม่ได้หวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้ มาครั้งนี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องตายแน่นอน คิดว่าหลังจากกำจัดท่านอ๋องได้แล้ว ปัญหาของภรรยาและลูกสาวของเขาก็จะหมดไปด้วย…” บอกเล่าจุดประสงค์ที่อู่หนิงมาในครั้งนี้ให้ฟัง แล้วเสริมอีกว่า “เดิมทีเขาเข้าร่วมปฏิบัติการที่องครักษ์เงาจะลอบสังหารท่านอ๋องแล้ว ส่วนตัวอยู่บนดาวเคราะห์ใกล้ๆ นี้มาตลอด แต่ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ จู่ๆ ผู้บัญชาการองครักษ์เงาเซี่ยงจงก็ถ่ายทอดคำสั่งมา ไว้หยุดแผนลอบสังหารไว้กลางคัน เหมือนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พระตำหนักอุทยานโดนลอบโจมตี องครักษ์เงาถอนกำลังกลับไปหมดแล้ว”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ องครักษ์เงาถอนกำลังไปแล้วก็ไม่แปลก พอหลินอ้าวเสวี่ยหายตัวไป แล้ววังสวรรค์ยังเดาไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับเฟยหง แบบนั้นก็ไม่ต่างจากคนโง่แล้ว ถ้าไม่มีคนในให้ความร่วมมือ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอบสังหารตนได้ นอกเสียจากจะใช้ทัพใหญ่มาโจมตีเท่านั้น แต่เขาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอู่หนิงจะยอมทำอย่างนี้เพื่อลูกเมีย เอาหนึ่งชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ คุ้มแล้วหรอ? แอบมาอยู่ฝ่ายเขาก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องหนึ่ง หันตัวเดินกลับเข้ามาในห้อง เดินไปที่โถงด้านหลัง มองอู่หนิงที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ พร้อมบอกเหยียนซิวที่เดินตามเข้ามาว่า “ลองถามเขาหน่อย ว่าตำหนักสวรรค์ควบคุมพวกเขาได้ยังไง”

เหยียนซิวทำตามที่สั่ง ใช้วิชาควบคุมบนตัวอู่หนิง แล้วให้เหมียวอี้ถามเอาเอง

สาเหตุก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้เช่นกัน วิชาที่องครักษ์เงาฝึกเป็นมหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืนจริงๆ ด้วย เหมือนกับเคล็ดวิชาของเยี่ยนเป่ยหง และสาเหตุที่ประมุขชิงควบคุมพวกเขาได้ ก็เป็นเพราะประมุขชิงสามารถแก้ไขการย้อนทำร้ายของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนร่างกายพวกเขาได้

“ประมุขชิงขจัดพลังมารที่ย้อนทำร้ายพวกเจ้าได้ยังไง?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม

อู่หนิงตอบอย่างทึ่มๆ “ข้างกายฝ่าบาทมีคนคอยดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายพวกเรา”

ดูดซับ? มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ประหลลาดใจ ถามว่า  “เป็นใครกัน?”

“ไม่รู้ ลึกลับมาก ทุกครั้งที่โผล่หน้ามาล้วนอยู่ในชุดคลุมดำ มองใบหน้าไม่ชัดเจน” อู่หนิงตอบ

เหมียวอี้เอามือลูบคางขณะจมอยู่ในความคิด คนที่สามารถทำเรื่องอย่างนี้ให้ประมุขชิงได้ จะต้องเป็นคนสนิทพี่เชื่อใจได้ของประมุขชิงแน่นอน และข้างกายประมุขชิงมีคนสนิทคนไหนที่ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงพบคนบ้าง? ซ่างกวนชิง? ซือหม่าเวิ่นเทียน? เกาก้วน? โพ่จวิน? อู๋ฉวี่? คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าคนพวกนี้เข้าออกวังสวรรค์บ่อย ไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้า ทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ ใครจะไปดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้มากมายขนาดนั้น ทนรับไหวได้อย่างไร?

เขาพอจะตระหนักได้ว่าข้างกายประมุขชิงยังมีคนสนิทคนอื่นที่ทำงานให้นอกจากพวกซ่างกวนชิง

“เรียกให้เขาได้สติ” เหมียวอี้กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ เหยียนซิวยกมือกักบนศีรษะอู่หนิง

ได้สติกลับมาจากความสะลึมสะลือ พอเห็นว่ามาปรากฏตัวอยู่ในฉากใหม่อีกแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกเหยียนซิวใช้มือข้างเดียวกดบ่านั่งกลับไป ถลึงตาจ้องเหมียวอี้พร้อมดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที แต่ไม่สามารถหลุดออกไปได้ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นแต่โดยดี แล้วกัดฟันถามว่า “เจ้าจะเอายังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “เจ้าทำอย่างนี้คุ้มเหรอ? ทำไมไม่คำนึงถึงโหรวโหรวกับแม่นางบ้าง ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้ว พวกนางจะเสียใจขนาดไหน”

ฟังจากคำพูดดูเหมือนแน่ใจแล้วว่าตนจะมาลอบสังหาร อู่หนิงตะคอกอย่างโมโหสุดขีด “ดีกว่าให้เจ้าทำร้ายจนพวกนางตาย!”

“ทำไมเจ้าเชื่อนักล่ะว่าสังหารข้าแล้วจะปกป้องพวกนางได้? หรือว่าข้า…กับเจ้าปกป้องพวกนางไม่ได้เชียวหรือ?” เหมียวอี้ถาม

อู่หนิงโมโหจนหัวเราะประชด “เหลวไหล! เจ้าน่ะเหรอจะปกป้อง? นอกจากทำร้ายพวกนางแล้ว เจ้ายังให้อะไรโหรวโหรวได้อีก?”

เหมียวอี้จึงตอบกลับ “เช่นนั้นตำหนักสวรรค์ให้อะไรโหรวโหรวได้ล่ะ? อย่างน้อยสิ่งที่ตำหนักสวรรค์ให้ได้ ข้าก็ให้ได้ทุกอย่างเหมือนกัน โดนพลังย้อนทำร้ายจากมหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน ข้าก็มีวิธีแก้ไขให้ได้เหมือนกัน!”

“…” สีหน้าเกรี้ยวโกรธของอู่หนิวเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงสงสัยไม่หยุด

เหมียวอี้บอกอีกว่า “เจ้าไม่ต้องสงสัย ข้าพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้ พลังของข้าเยอะกว่าที่เจ้าจิตนาการเอาไว้! ฝั่งตระกูลหวงฝู่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน ที่จริงหวงฝู่เลี่ยนคงรู้เรื่องของข้ากับจวินโหรวแล้ว ถ้ามีข้าอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าแตะต้องจวินโหรวกับแม่ของนางหรอก เพราะข้าไม่ให้โอกาสพวกเขาเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ นอกจากนี้ ข้าก็สนใจองครักษ์เงาของประมุขชิงมากด้วย หวังว่าเจ้าจะช่วยติดต่อให้ข้าได้…”

ตอนนี้สมาธิของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่อู่หนิง การรับมือกับพระปีศาจหนานโปคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ยังไม่ถึงสามวันตามกำหนด เหยียนซิวพาจางผิงเข้ามาในห้องหนังสือของเหมียวอี้อีก บอกเวลาและสถานที่ที่พระปีศาจกำหนดเอาไว้แลกเปลี่ยนของอย่างชัดเจน ให้ฝั่งนี้นำของไปแลก

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า

จางผิงบอกอีกว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์ให้เข้ามาบอกให้ท่าน ว่าเขาปลูก ‘พันธุ์ปีศาจ’ ลงในร่างกายหลินอ้าวเสวี่ยแล้ว ถ้านายท่านรู้สึกสนใจ ก็ไปสืบจากตระกูลเซี่ยโห้วสักหน่อยก็ได้ว่า ‘พันธุ์ปีศาจ’ คืออะไร ถึงอย่างไรนายท่านกับตระกูลเซี่ยโห้วก็มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีต่อกัน ท่านผู้สูงศักดิ์แนะนำว่าทางที่ดีนายท่านอย่าเล่นลูกไม้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลินอ้าวเสวี่ย เขาก็จะไม่รับผิดชอบ”

เหมียวอี้ตบโต๊ะยืนขึ้นทันที ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกันแล้ว!”

จางผิงโบกมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มียาถอนเตรียมไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว จะมีวิธีการแลกเปลี่ยนที่ทำให้นายท่านวางใจแน่นอน ขอเพียงนายท่านไม่เล่นตุกติก ก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้านายท่านพบว่ามีปัญหาอะไร ก็สามารถหยุดการแลกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ นายท่านก็ไม่มีอะไรเสียหาย คิดว่าเป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องคนตรงหน้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โบกมือสั่งให้เหยียนซิวเก็บคน แล้วหันกลับมาถามสองหยางว่า  “พันธุ์ปีศาจคืออะไร พวกเจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า?”

ทั้งสองส่ายหน้า ต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน หยางชิ่งบอกว่า “ในเมื่อพระปีศาจเอ่ยถึงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะรู้ ลองถามดูหน่อยก็ได้ขอรับ”

เหมียวอี้บอกทันทีว่า “ถามเซี่ยโห้วท่าหน่อยว่ามันคืออะไร”

……………