แดนวารีอุดร
หน้าศิลาศึกวารีอุดร เหล่าผู้กล้ารวมตัวรอการทดสอบ วางแผนจะก้าวขึ้นไปบนกระดานทองคำผู้กล้า
“นั่นคือมารกระบี่เยี่ยเฉิน มาจากตระกูลอริยะเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย ตอนนี้ครองพลังต่อสู้ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ฝึกมรรคกระบี่มาทั้งชีวิต โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ทรงอานุภาพเหลือประมาณ”
“ได้ยินว่าเขาเป็นเพื่อนตายของเทพมารหลินหรือ”
“ถูกต้อง”
“แหม ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับใดของกระดานทองคำผู้กล้า”
ผู้คนพูดคุยกันเสียงเบา สายตามองไปยังจุดที่ห่างออกไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ที่นั่นเยี่ยเฉินในชุดคลุมม่วง เงาร่างตรงดุจกระบี่กำลังทำการทดสอบ
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เมื่อข่าวเรื่อง ‘แดนยอดมรดก’ สะพัดออกไป รายชื่อบนกระดานทองคำผู้กล้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตระหนกทุกวัน
อันดับยิ่งรั้งท้าย การเปลี่ยนแปลงของชื่อก็ยิ่งเร็ว
แม้แต่รายชื่อที่จัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกก็ทยอยถูกโจมตี ด้วยช่วงเวลานี้มีพวกหน้าใหม่มากมาย
ก่อนหน้านี้เยี่ยเฉินก็เคยทำการทดสอบ จัดอยู่ในอันดับที่ยี่สิบสองของรายชื่อ
แต่ตอนนี้อันดับของเขากลับเลื่อนลงฮวบฮาบ อยู่ในอันดับที่แปดสิบเก้า!
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอันดับทำให้เห็นจากอีกด้านหนึ่งว่า การแข่งขันบนกระดานทองคำผู้กล้าในปัจจุบันดุเดือดระดับใด
เรียกได้ว่าเป็น ‘การเปลี่ยนแปลงอันวุ่นวาย’
วู้ม…
ทันใดนั้นศิลาศึกวารีอุดรพลันแผ่คลื่นประหลาดหนึ่งออกมา แสงทองสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมร่างของเยี่ยเฉินที่ยืนอยู่หน้าศิลาศึก
“อันดับที่สิบแปด!”
“ก็น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว…”
ทุกคนในที่นั้นพลันส่งเสียงฮือฮา ล้วนถูกทำให้ตื่นตระหนก
เพียงชั่วขณะก็เหินทะยานจากอันดับที่แปดสิบเก้าไปถึงอันดับที่สิบแปด แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนี้พลังต่อสู้ของมารกระบี่เยี่ยเฉินวิปริตแค่ไหน!
“ยังไม่อาจก้าวขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรก…”
เยี่ยเฉินกลับมุ่นคิ้ว ไม่พอใจอยู่บ้าง
แต่เขาก็รู้ดีว่าในแดนเก้าบนปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดมากมาย ยิ่งอยู่ในอันดับต้นๆ การแข่งขันก็ยิ่งลำบากยากเข็ญ
“เจ้าคือเยี่ยเฉินรึ”
ทันใดนั้นเสียงราบเรียบหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นร่างผอมบางในชุดขาวที่หลังพาดกระบี่ สองมือไพล่หลังก้าวออกมาจากฝูงชน
ผู้คนบางส่วนที่ขวางอยู่ข้างหน้ายังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกกลิ่นอายน่ากลัวไร้รูปหนึ่งบีบจนซวนเซถอยร่น หลีกทางให้คนผู้นี้
คนพวกนี้กำลังจะหลุดปากด่ายกใหญ่ แต่เมื่อโดนตัวชายชุดขาวนี่ใจก็พลันสั่นระรัวทันใด ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่างอยู่ตรงนั้น
“อวิ๋นชิ่งไป๋?”
เยี่ยเฉินหันกลับมา เมื่อมองเห็นรูปร่างของชายชุดขาวชัดเจน นัยน์ตาเขาก็หดเกร็งทันใด
ในที่นั้นพลันอึกทึกครึกโครมทันที เหล่าผู้กล้าหน้าเปลี่ยนสี
ผ่านมาหลายปี ผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานที่เคยครองอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้าแห่งแดนเก้าบนคนนี้ ถึงกับปรากฏตัวที่นี่อีกครั้ง!
อวิ๋นชิ่งไป๋!
เพียงชื่อนี้ก็เหมือนบุคคลในตำนานคนหนึ่ง เคยโดดเด่นเป็นสง่า เหยียดหยันวีรชนคนกล้ารุ่นเดียวกัน ผงาดพุ่งด้วยท่วงท่าสง่างาม!
ถึงแม้ว่าตอนนี้อันดับบนกระดานทองคำผู้กล้าของเขาจะตกลงไปอยู่อันดับเก้าในช่วงหลายปีที่หายไป
แต่ใครต่างก็รู้ว่าหากอวิ๋นชิ่งไป๋ต้องการ การทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งใหม่อีกครั้งก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!
เหตุผลนั้นง่ายมาก ความแข็งแกร่งของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้หยั่งรากลงในใจผู้คนนานแล้ว
“เจ้ากับหลินสวินเป็นเพื่อนกันรึ”
นี่คือประโยคที่สองหลังอวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัวในที่นั้น
แต่ก็ด้วยประโยคนี้ที่ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นนึกถึงข่าวที่เคยปั่นป่วนในแดนเก้าบนอย่างที่สุดเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้
เล่าลือกันว่าอวิ๋นชิ่งไป๋มีหนี้เลือดกับหลินสวิน!
เล่าลือกันว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เคยถูกหลินสวินไล่ฆ่าที่แดนธรรมสถูป!
เล่าลือกันว่าพรสวรรค์ที่หลินสวินมีแต่กำเนิดเคยถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ใช้วิธีนองเลือดที่ชั่วช้าหาใดเปรียบแย่งชิงไป ถึงทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋รุดหน้าอย่างรวดเร็วบนหนทางมหามรรค!
มีคนเชื่อ และมีคนไม่เชื่อ ต่างคนต่างพูดกันครึกโครม
แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้คนสรุปได้ชัดคือ หากอวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัว คนแรกที่อยากสังหารที่สุดต้องเป็นหลินสวินแน่
เพราะเหล่าผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าเคยสิ้นชีพด้วยน้ำมือหลินสวิน!
และปัจจุบันทุกอย่างนี้ก็เหมือนว่าจะเป็นจริงแล้ว
“ไม่ผิด”
เยี่ยเฉินตอบอย่างไม่ลังเล
“ทายาทสายตรงตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวยที่น่าเกรงขาม กลับเป็นสหายกับคนในโลกชั้นล่างอย่างหลินสวิน หากบรรพชนตระกูลเยี่ยรู้เข้าต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่”
น้ำเสียงของอวิ๋นชิ่งไป๋ราบเรียบสบายๆ
นัยน์ตาเยี่ยเฉินฉายแววดุดันกล่าว “อวิ๋นชิ่งไป๋ ข้านับถือเจ้าเป็นวีรบุรุษรุ่นแรกจึงให้เกียรติอยู่สามส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้าได้!”
“งั้นรึ เช่นนั้นก็ให้ข้าลองดูซิว่ามารกระบี่อย่างเจ้ามีความสามารถแค่ไหน”
อวิ๋นชิ่งไป๋ยิ้มน้อยๆ ยกมือวาดผ่าน
ฟุ่บ!
กลางอากาศ คมกระบี่ราวอสนี
ปราณกระบี่สายหนึ่งปะทุพล่าน เรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่กลับมีอานุภาพดุดันเสียดแทงใจคน
แม้อยู่ห่างออกไปช่วงหนึ่ง ผู้คนโดยรอบก็ยังรู้สึกเหมือนผิวถูกกรีดจนแสบแปลบ จิตใจแบกความรู้สึกกดดันเหมือนหายใจไม่ออกอย่างบอกไม่ถูก
ปราณกระบี่นี้อัดแน่นถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า!
“ฮึ!”
เยี่ยเฉินสีหน้าเยียบเย็น จริงจังและจดจ่อ แทงกระบี่หนึ่งออกไปเช่นกัน เจตกระบี่พุ่งวาบดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ปึง!
ก็เห็นปราณกระบี่สองสายปะทะกันกลางอากาศ ฟ้าดินแถบนี้พลันสั่นสะเทือนทันที ห้วงอากาศใกล้เคียงถูกแหวกออกจากกันเหมือนใยแมงมุมนับไม่ถ้วน
ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตะหนกของทุกคน ปราณกระบี่ของอวิ๋นชิ่งไป๋เหนือกว่าอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ พละกำลังไม่อาจต้าน
เจตกระบี่ของเยี่ยเฉินทลายลงทีละน้อยด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า!
กลางละอองแสงที่แตกระเบิด เยี่ยเฉินส่งเสียงอึดอัดในลำคอ ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างต่อเนื่อง ร่างโอนเอนเซไปมา
เหล่าผู้กล้าในที่นั้นหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน
กระบี่เดียวของอวิ๋นชิ่งไป๋บีบมารกระบี่เยี่ยเฉินจนถอยร่น!
“เจตกระบี่สัมผัสธรณีประตูแห่งกระจ่างจิตแล้ว แต่ยังขาดฤทธิ์เดช ไม่อาจสำแดงอานุภาพทั้งหมดของ ‘เพลงกระบี่จริงแท้’ แห่งตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าออกมาได้”
อวิ๋นชิ่งไป๋วิจารณ์ลอยๆ “เทียบกับข้าแล้วยังห่างกันระดับหนึ่ง”
“มาอีก!”
เยี่ยเฉินสูดหายใจลึกทันที แขนเสื้อสะบัดโบก ผมยาวพลิ้วไหวแผ่สยาย เจตกระบี่อันร้ายกาจแผ่ออกมาจากรอบกาย บีบจนผู้คนโดยรอบตื่นตระหนกถอยห่างออกไป
“มารกระบี่จะลงมือเต็มกำลังแล้ว!”
ในใจทุกคนต่างตื่นเต้น
คนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานที่มีพลังเหนือผู้คนระดับเดียวกันบนมรรคกระบี่นานแล้ว อีกคนก็เป็นทายาทแห่งเขาจื่อเวยที่มีฉายาว่ามารกระบี่
การปะทะกันระหว่างทั้งคู่ต้องเป็นการประชันมรรคกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย!
“หากเจ้าฝึกอีกสิบปี บางทีอาจรับหนึ่งกระบี่ของข้าได้”
นัยน์ตาทั้งสองของอวิ๋นชิ่งไป๋นิ่งสงบ ราบเรียบไร้คลื่นลม เพียงแต่วาดกระบี่ทะลวงขึ้นฟ้า
วู้ม!
กลางฟ้าดินถูกปราณกระบี่สายหนึ่งอัดแน่น!
ปราณกระบี่ที่หาใดเปรียบนั่นเสมือนร่วงหล่นมาจากความว่างเปล่าเหนือฟากฟ้า แผ่อานุภาพยิ่งใหญ่ที่เพียงพอบีบกดฟ้าดิน ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกมา
“ฟัน!”
ขณะเดียวกันเยี่ยเฉินก้าวย่างดั่งมังกรเหิน ด้านหลังเขาเผยเจตกระบี่ราวตะวันม่วงดวงหนึ่ง แผ่ไพศาลและโชติช่วง
ตูม!
เสียงกึกก้องราวฟ้าถล่มดินทลายดังขึ้น ปราณกระบี่ไร้ใดเปรียบสาดแสงเย็นเยียบ ทำให้สุริยันจันทรามืดสลัว
ท่ามกลางเสียงตื่นตระหนก เงาร่างเยี่ยเฉินถอยไปนอกระยะสิบกว่าจั้งจึงหยัดร่างไว้ได้
เมื่อผู้คนสอดส่องสายตาไปก็พบว่าที่ไหล่ซ้ายของเยี่ยเฉินมีรอยกระบี่เลือดไหลทะลักสายหนึ่ง ลึกจนเห็นกระดูก
กระบี่ที่สอง เยี่ยเฉินถูกทำให้บาดเจ็บ!
ทั่วบริเวณนี้ตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์
แม้แต่บุคคลร้ายกาจที่แข็งแกร่งยิ่งบางส่วนยังอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ ไม่เจอกันหลายปี อวิ๋นชิ่งไป๋เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“เจ้าหนูหลินสวินนี่ สังหารผู้สืบทอดทั้งหมดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าของข้า เจ้าว่าหากข้าสังหารเพื่อนสนิททุกคนที่อยู่ข้างกายหลินสวิน เขา… จะรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่”
อวิ๋นชิ่งไป๋กล่าวราบเรียบ
ประโยคเดียวทำให้ในใจทุกคนเย็นวาบ นี่อวิ๋นชิ่งไป๋คิดจะใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน เปิดฉากเข่นฆ่าหรือ
“ฮึ! ถ้ามีปัญญาเจ้าก็ไปหาหลินสวินสิ มาวางมาดต่อหน้าข้าทำไม”
เยี่ยเฉินยิ้มหยัน นิ่งสงบไม่หวาดกลัว
“ข้าไปหาเขาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
อวิ๋นชิ่งไป๋สีหน้าราบเรียบ “วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เพียงแต่คราวหน้าก็ไม่แน่แล้ว”
พูดจบเขาก็หันหลังทะยานจากไป
เยี่ยเฉินสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด กำสองหมัดแน่นอย่างอดไม่อยู่
…
ในวันนั้นข่าวที่อวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัวบนโลกอีกครั้งชักนำให้แดนเก้าบนสั่นสะเทือนดุจพายุซัด แต่ละขุมอำนาจต่างเริ่มจับตามองอย่างตื่นเต้น
“อวิ๋นชิ่งไป๋ ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว เขามาเพื่อสังหารหลินสวินหรือเพื่อแดนยอดมรดกนั่นกันแน่”
ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังคาดเดา
และในเวลาต่อมา ข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ชักนำให้ความนิ่งสงบในแดนเก้าบนเปลี่ยนเป็นคลื่นลมร้ายกาจอย่างสมบูรณ์
วันเดียวกับที่อวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัว ได้เอาชนะมารกระบี่เยี่ยเฉินที่หน้าศิลาศึกวารีอุดร
วันที่สอง เขาข้ามอาณาเขตหมื่นลี้ ก้าวเข้าสู่อาณาเขตตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราตัวคนเดียว ใช้หนึ่งกระบี่ทำร้ายเซียวชิงเหอบาดเจ็บสาหัส
วันที่สาม ณ แดนคีรีอีสาน อวิ๋นชิ่งไป๋เอาชนะดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนบนหน้าผาทะเลคราม!
วันที่สี่ อวิ๋นชิ่งไป๋เอาชนะเยวี่ยเจี้ยนหมิงที่แดนอสนีบูรพา
วันที่ห้า…
ทุกวันจะมีข่าวเกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋แพร่ออกมา หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ ทยอยมีชัยเหนือบุคคลที่สร้างชื่อมานานคนแล้วคนเล่า
ใครต่างก็รู้ว่านี่คือการล้างแค้นของอวิ๋นชิ่งไป๋
ด้วยผู้แข็งแกร่งที่ถูกเขาเอาชนะมีความเกี่ยวข้องกับหลินสวินเกือบทั้งสิ้น!
“ทำไมเขาไม่ฆ่าคนเล่า”
คนมากมายใจสั่นสะท้าน ถูกการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของอวิ๋นชิ่งไป๋ทำให้แปลกใจ
“ไม่ฆ่าคน ยิ่งข่มขู่หลินสวินได้มากกว่าการฆ่า! เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นชิ่งไป๋คิดใช้การต่อสู้มากมายนี้ทำให้หลินสวินหวั่นหวาด ทำให้เขาว้าวุ่นไปหมด!”
มีคนวิเคราะห์เช่นนี้
“ผิด อวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานคนหนึ่งเช่นนี้หยิ่งทะนงระดับใด ต่อให้เป็นการล้างแค้นก็ไม่มีทางทำเรื่องอย่างการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์แน่!”
“คาดเดาได้เลยว่าหากเทพมารหลินรู้เรื่องนี้จะต้องนั่งไม่ติดแน่ ต้องรู้สึกละอายทรมานและกระสับกระส่าย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเหตุที่เกิดจากตัวเขา ทำให้เหล่าสหายที่เขาคบค้าด้วยติดร่างแห!”
“นับจากนี้ไปขอแค่อวิ๋นชิ่งไป๋ยังมีชีวิตอยู่ ใครจะกล้าคบหากับเทพมารหลินอีก นี่เท่ากับทำให้เทพมารหลินโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และฮือฮานับไม่ถ้วน วันนี้อวิ๋นชิ่งไป๋มาถึงแดนอัคคีทักษิณแล้ว
……………