ตอนที่ 2696

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,696 : ต้วนหลิงเทียนลงมือ

 

ทันใดนั้นเองท่ามกลางสายตาของทุกคน อยู่ดีๆแพเมฆทะมึนมืดเต็มไปด้วยห่าอัสนีที่กำลังปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เสมือนพวกมันกับถูกบางสิ่งพัดให้ปลิวสลาย!!

 

เปรี๊ยงงง!!

 

ทันใดนั้น เสียงระเบิดสนั่นลั่นหล้าดังขึ้นตามติด!

 

คลื่นพลังสะท้อนอันน่ากลัวยังกวาดกำจายไปทั่วสารทิศ! อากาศที่เคยสงบเปลี่ยนเป็นวิปริตแปรปรวนทันใด!!

 

วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!

 

 

และทันใดนั้นเองผู้ชมรอบเวทีประลอง ก็ได้ยินเสียงหอนของกระบี่ดังขึ้นเสียดหู!

 

มองไปก็พบว่า หลังจากที่แพเมฆดำพร้อมห่าอัสนีคล้ายถูกบางสิ่งพัดจนปลิวสลายไปแล้ว ก็ปรากฏแสงสว่างดั่งดาราระยับนับหมื่นพันสาดส่องออกมาตระการตา!

 

หลังจากเห็นแสงสว่างปานหมู่ดาวนับหมื่นพันนั้น ทั้งหมดก็แลเห็นต้นกำเนิดแสง…เป็นรังสีกระบี่นับพันๆเล่ม!

 

“มาได้ดี แถมทรงพลังไม่เบา…แต่น่าเสียดายที่การโจมตีระดับนี้ยังทำอะไรข้าไม่ได้”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องท่ามกลางรังสีกระบี่นับพันนั้น ทั่วร่างไม่ปราฏบาดแผลใดให้เห็นแม้แต่น้อย กระทั่งชุดสีม่วงยังไร้ซึ่งรอยเปื้อนใดๆ…

 

เห็นได้ชัดว่าการลงมือด้วยกระบวนท่าไม้ตายสุดกำลังของฉู่เหยียน ไม่อาจทำร้ายต้วนหลิงเทียนได้แม้แต่เศษเสี้ยว!

 

วูบ!

 

เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าจู่โจมที่มันทุ่มพลังสุดตัว กลับไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของต้วนหลิงเทียน สีหน้าฉู่เหยี่ยนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง หน้าตาทำราวกับพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ ‘ดะ..ได้อย่างไร…ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้!?’

 

‘กระบวนท่าสุดแรงของข้า…หากด่านพลังต่ำกว่าต้าหลัวจินเซียน ย่อมมิมีทางทานรับตรงๆได้ง่ายดายถึงขนาดนี้แน่!’

 

‘ระ…หรือว่า…มันจะทะลวงผ่านขอบเขตจินเซียน บรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนแล้ว’

 

พอความคิดสุดท้ายผุดขึ้นในหัว ใจฉู่เหยียนพลันสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ลูกตายังหดเล็กลงแทบปิด

 

“ร้ายกาจนัก!”

 

ด้านอัฒจันทร์ที่นั่งของมณฑลหลิฟง ต่างจากสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของฉู่ถิงซวนผู้เป็นบิดา ฉู่อวี้ตอนนี้แลดูตื่นเต้นดีใจไม่น้อย ยังชมมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาลุกวาว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้านรับกระบวนท่าของพี่ชายได้ง่ายดายขนาดไหน…

 

“กระบวนท่าเมื่อครู่ของพี่ใหญ่…ไม่ว่าผู้ใดหากยังอยู่ใต้ต้าหลัวจินเซียนย่อมไม่อาจรับได้อย่างไร้เรื่องราวแน่…ดูเหมือนเขาจะทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนแล้ว!!”

 

ยิ่งมาสายตาที่ฉู่อวี้ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเป็นประกายสว่างจ้า มองไปไม่ต่างอะไรกับหมู่ดาวกลางฟ้ายามค่ำคืน!

 

“พลังฝีมือของมัน…มิคาดกลับก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว!”

 

ด้านอัฒจันทร์ที่นั่งส่วนของมณฑลจิ่วโยว อาวุโสฝ่ายในอันดับ 1 ของจวนผู้ว่าอย่างผางปิง พอเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน ลูกตาพลันหดหยีแววตาสั่นไหวไม่น้อย ความหวาดกลัวเริ่มฉายขึ้นมาเด่นชัดอย่างไม่อาจห้าม

 

“ตะ…ต้วนหลิงเทียน บรรลุต้าหลัวจินเซียนแล้วหรือ?!”

 

ด้านอาวุโสฝ่ายในอีกคนอย่างเจิ้งชิว ตอนนี้มันถึงกับทำตาโตปานลูกวัวแรกเกิด ปากยังอ้าค้างยากจะหุบด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสที่เริ่มคลี่กางขึ้นภายหลัง ก็เผยให้รู้ว่ามันยินดีกับความก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียนจากใจ

 

“ฮ่าๆๆ! สุดยอด! ร้ายกาจยิ่งนัก!!”

 

เถียนจี้หวี่ ผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวตอนนี้ถึงกับยิ้มหน้าระรื่นออกมาอย่างสดใสเบิกบาน ขณะเดียวกันในใจของมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกกับความก้าวหน้าเร็วไวของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ…จากกันไปไม่ถึงปี ดูเหมือนพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้าขึ้นมาก!”

 

จะไม่ให้เถียนจี้หวี่ดีใจได้อย่างไรไหว เพราะเมื่อต้วนหลิงเทียนชนะเลิศ วังฉินก็จะมอบโอสถต้าหลัวให้มณฑลจิ่วโยวของมัน!

 

ยังเป็นโอสถต้าหลัว 3 เม็ด!!

 

สำหรับเรื่องที่ตอนนี้พลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนบรรลุระดับใดแล้วมันไม่ได้สนใจมากนัก

 

เพราะมันรู้ดีว่าด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของต้วนหลิงเทียน อาศัยมณฑลจิ่วโยวของมันคงไม่อาจรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ กระทั่งวังฉินเองก็ไม่น่าจะรองรับต้วนหลิงเทียนได้เช่นกัน!

 

มันยังรู้ดีแก่ใจ

 

หลังจากวันนี้ไป ไม่พ้นต้วนหลิงเทียนต้องใช้วังฉินต่างแท่นกระโดดแน่นอน สุดท้ายไม่พ้นคนต้องไปโลดแล่นในเวทีใหญ่ระดับประเทศ และไม่พ้นต้องข้ามผ่านประเทศอวิ๋นเหยียนแห่งนี้ไปแน่

 

‘ต้าหลัวจินเซียนอายุไม่ถึงร้อย…ตัวตนระดับนี้ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศอวิ๋นเหยียน ตลอดหลายแสนปีที่ผ่านก็มีปรากฏขึ้นมาแค่คนเดียวเท่านั้น อีกทั้งสุดท้ายแล้วยอดฝีมือคนนั้นก็ออกจากประเทศอวิ๋นเหยียน ไปเข้าร่วมกับขุมพลังแห่งหนึ่ง ที่ทรงพลังยิ่งกว่าประเทศอมตะระดับสูงเสียอีก…ต้วนหลิงเทียนก็คงไม่พ้นต้องเดินตามรอยเท้าตัวตนเช่นนั้น…’

 

เถียนจี้หวี่ลอบกล่าวในใจ

 

“แข็งแกร่งนัก!”

 

“พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจะไม่สูงส่งเกินวัยไปหน่อยหรือ…นี่ด่านพลังบ่มเพาะของมันใช่ทะลวงถึงต้าหลัวจินเซียนแล้วหรือไม่? มันมาเข้าร่วมการประลอง 16 มณฑลเช่นนี้ ยังต่างอะไรจากรังแกเด็กน้อยคนอื่น?”

 

“ก็จริง…แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ต้วนหลิงเทียนเองก็ผ่านเงื่อนไขเข้าร่วมประลองเหมือนกันนี่…ผู้อื่นเขาก็มิได้โกงอายุเสียหน่อย”

 

“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าตัวตนอันร้ายกาจขนาดนี้จะถือกำเนิดขึ้นในเขตวังฉินของพวกเราได้”

 

“จริง! อัจฉริยะที่ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจเช่นนี้ ในเขตวังฉินเราไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเลย…กระทั่งให้เป็นทั้งประเทศอวิ๋นเหยียน ก็เหมือนจะมีปรากฏขึ้นแค่คนเดียวเท่านั้น และมันก็ผ่านไปหลายแสนปีแล้วด้วย…”

 

 

ไม่ว่าจะอัฒจันทร์รอบๆเวทีประลอง หรือบริเวณอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษล้วนกล่าวในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น

 

ด้านหลังม่านของชั้นลอย

 

“ต้วนหลิงเทียนคนนี้…คิดไม่ถึงจริงๆว่าพลังฝีมือจะทัดเทียมกับต้าหลัวจินเซียนได้แล้ว”

 

อ๋อง 3 ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

“อืม”

 

อ๋องฉินพยักหน้า

 

“ต้าหลัวจินเซียน?”

 

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี่กลับคลี่ยิ้มแหยๆออกมา เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของลุงสาม…

 

นับประสาอะไรกับตอนนี้…เมื่อต้นปีที่แล้วต้วนหลิงเทียนยังมีพลังมากพอเข่นฆ่าต้าหลัวจินเซียนได้ด้วยซ้ำ!

 

เพราะมันได้เห็นกับตา ว่าอดีตผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของมณฑลจิ่วโยว โจวทง ที่พลังฝึกปรือบรรลุต้าหลัวจินเซียนนั้น สิ้นท่าและถูกต้วนหลิงเทียนจับกุมจนมีสภาพอนาถอย่างไร สุดท้ายก็ถูกหอบหิ้วไปไม่ต่างเป็ดไก่ นำไปส่งให้เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเชือดถึงที่…

 

‘อย่างไรก็ตาม วันนั้นรู้สึกรังสีกระบี่รอบตัวต้วนหลิงเทียนจะมีหลากสีสันปานสายรุ้ง…อีกทั้งข้ายังจำได้ดี ว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้รังสีกระบี่สีรุ้งนั่น ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้โจวทง แต่พอใช้ขึ้นมาก็มีพลังอำนาจครอบงำโจวทงราบคาบ…’

 

ถึงแม้ฉินอวี่จะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนถือครองอดีตอุปกรณ์เทพอย่างกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน…แต่มันก็รู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีไพ่ตายบางอย่าง ที่ทำให้รังสีกระบี่ทั้งหลายกลายเป็นรังสีกระบี่สีรุ้ง และนั่นทำให้พลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นหลายขีดขั้นนัก!

 

ทว่าการลงมือเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ไม่ได้ใช้รังสีกระบี่สีรุ้งที่ว่าด้วยซ้ำ

 

‘วันนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ใช้รังสีกระบี่สีรุ้งนั่น หากแต่พลังอำนาจกลับทัดเทียมต้าหลัวจินเซียนแล้ว…แล้วถ้าหากใช้รังสีกระบี่รุ้งนั่นเล่า จะร้ายกาจขึ้นถึงขนาดไหนกัน!?’

 

คิดถึงจุดนี้ ฉินอวี่ก็อดสูดอากาศเข้าลึกๆไม่ได้

 

เพราะมันเองก็ยังจำได้ไม่ลืม

 

เมื่อปีก่อนตอนที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ใช้รังสีกระบี่สีรุ้ง พลังของต้วนหลิงเทียนก็นับว่าอ่อนด้อยกว่าต้าหลัวจินเซียน

 

ทว่าวันนี้แม้จะยังไม่ได้ใช้รังสีกระบี่สีรุ้งนั่นเช่นกัน ทว่าพลังอำนาจกลับบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเข้าไปแล้ว

 

‘ผ่านไปแค่ปีเดียว…ไฉนพลังของต้วนหลิงเทียนถึงก้าวหน้ามากมายขนาดนี้เล่า?’

 

ฉินอวี่ลอบกล่าว

 

บนฟ้า เหนือขึ้นไปจากเวทีประลอง

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

 

ต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของทุกผู้คน ตอนนี้รอบกายเต็มไปด้วยรังสีกระบี่เหินบินฉวัดเฉวียน ประหนึ่งคนได้กลายเป็นจ้าวแห่งโลกกระบี่

 

กระทั่งความว่างเปล่ารอบกายยามนี้ ยังเผยให้เห็นกระแสอากาศปั่นป่วนชัดตา เนื่องเพราะกลิ่นอายพลังแหลมคมของรังสีกระบี่ทั้งหลายเชือดเฉือนได้กระทั่งอากาศ…

 

“เตรียมรับกระบวนท่า!”

 

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่นิ่งเงียบไม่กล่าวคำ อยู่ๆก็มองกล่าวกับฉู่เหยียนขึ้นมา

 

แถมสีหน้าแววตายามกล่าวช่างสงบเฉยเมยราวน้ำนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเสียงสงบดังกล่าวดังขึ้น ผู้ชมรอบเวทีประลองก็พากันใจสั่นไม่น้อย

 

“ต้วนหลิงเทียน…คิดลงมือ?”

 

สองตาของเหล่าผู้ชมบนอัฒจันทร์รอบเวทีประลองถึงับลุกวาวสว่างจ้า พวกมันมองจ้องตาเป็นมัน ราวกับจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาแม้สักฉาก!

 

ถึงเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนจะรับกระบวนท่าไม้ตายเต็มพลังของฉู่เหยียนได้อย่างง่ายดายไร้เรื่องราว จนทำให้พวกมันตระหนักได้ว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนสมควรทัดเทียมกับหลัวจินเซียนได้แล้ว กระทั่งพวกมันยั่งมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าด่านพลังบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนก็สมควรทะลวงถึงต้าหลัวจินเซียนแล้วเช่นกัน!

 

อย่างไรก็ตาม พวกมันยังไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเลย…

 

ตอนนี้พอมาได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะลงมือ ทุกคนจึงพากันจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ด้วยไม่อยากพลาดชมรายละเอียดใดๆ

 

“ข้า…”

 

ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หน้าฉู่เหยียนก็เปลี่ยนสีไปทันใด แวววตายังฉายความหวาดผวาออกมา สิ่งแรกที่มันคิดก็คือ เร่งกล่าวคำยอมแพ้ออกมาให้ไว!

 

ล้อกันเล่นหรือไง!?

 

ลำพังแค่พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกให้เห็น ก็สุดที่ตัวมันจะทำอะไรได้แล้ว!

 

หากตอนนี้ยังปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนลงมือป้อนกระบวนท่าเข้ามา ไม่ใช่ว่ามันหาเรื่องให้ตัวเองนอนเปลหรือไร!?

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฉู่เหยียนกำลังจะกล่าวคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ออกมา กลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงชวนให้ขนพองสยองเกล้าก็เริ่มบีบคั้นกดดันมาในบรรยากาศ จนฉู่เหยียนรู้สึกกดดันจนไม่อาจกล่าวให้จบคำได้!

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

 

รังสีกระบี่อันเปล่งกลิ่นอายพลังคมกล้าหาใดเปรียบนับพันที่เหินวนฉวัดเฉวียนรอบกาย พอต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นเบาๆ พวกมันก็เริ่มร้อยเรียงเกิดค่ายกระบี่กระบวนหนึ่ง แสงพลังยิ่งมายยิ่งสาดส่องเจิดจ้า ปานจะขับไล่ทุกความมืดมิดในแดนดิน…

 

วู้มมม!!

 

ครืนนนน!!

 

 

ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหลายในงานประลอง รังสีกระบี่ของต้วนหลิงเทียนได้ร้อยเรียงเป็นค่ายกระบี่ชุดหนี่ง! มองมาแต่ไกลเห็นเป็นกระบี่มหึมายาวกว่าร้อยหมี่ และบัดนี้ประหนึ่งทัณฑ์เทวะจากทวยเทพฟาดลง กระบี่มหึมาดังกล่าวได้ตบฟาดแหวกฟ้าลงไปทางฉินอวี่!!

 

มิผิด เป็นตบฟาดแหวกฟ้าลงมา!!

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ช้าการปลดปล่อยยค่ายกลไปคลุมครอบสะบั้นทะลวง หรือเปล่งพลังสะบั้นอะไร หากแต่ใช้กระบี่มหึมาหันข้างตบลงดื้อๆ หมายใช้ใบกระบี่ยักษ์ตบฉู่เหยียนดั่งฟาดแมลงวัน!

 

ทั้งหมดเพราะเขาไม่ได้คิดเข่นฆ่าฉู่เหยียน

 

การประลอง 16 มณฑลนั้นห้ามไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

แน่นอนว่าถึงกฏการประลองจะไม่ได้กำหนดไว้ว่าห้ามฆ่า แต่เขาก็ไม่คิดจะฆ่าจะแกงฉู่เหยียนแต่แรก เพราะระหว่างเขากับอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน

 

กระทั่งเมื่อครู่แม้ช่วงท้ายการลงมือของฉู่เหยียนจะบันดาลโทสะ หากแต่ในกระบวนท่าก็ไร้ซึ่งจิตสังหารเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความคิดฆ่าเขาอยู่เลย…

 

ปงงงง!!

 

ซัววว!!!

 

 

เสียงอากาศแตกระเบิดดังสนั่น ใบกระบี่เล่มเขื่องยังแหวกฟ้าลงมาฉับไวนัก มองไปสามารถเห็นมวลอากาศแยกฉีกเป็นทางได้ชัดเจน ไม่ต่างอะไรกับทะเลแหวก!

 

ใบดาบเล่มเขื่องยังทรงพลังอย่างน่ากลัว ราวกับจะสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง!

 

เปรี๊ยงงง!!

 

ด้วยค่ายกระบี่เล่มเขื่องตบมาได้ฉับไวเกินไป ฉู่เหยียน จึงไม่อาจหลบหนีได้ทัน ทำได้แค่เร่งเร้าพลังชั่วชีวิตใช้ออกด้วยวรยุทธ์และเวทย์พลังป้องกันสุดกำลังเท่านั้น!

 

อนิจจาแม้มันจะเกร็งพลังจนหน้าเขียวใช้ออกด้วยทุกหยาดหยดอณูพลัง แต่ใบกระบี่เล่มเขื่องไม่ทันฟาดถึงม่านพลังมัน…แค่โดนไอพลังจากใบกระบี่ก็ส่อแววร้าวรานเสียแล้ว! เช่นนั้นพอใบกระบี่เล่มตบฟาดมาถูก ม่านพลังก็แตกกระจุยดั่งแก้วกระจก…!!

 

จากนั้นคนก็ถูกใบกระบี่ฟาดเข้าอย่างจัง ดั่งแมลงวันตัวน้อยถูกตบ!

 

“อั๊คค—!!”

 

ฉู่เหยียนปลิวละลิ่วไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร คนยังหมุนติ้วไปไม่เป็นท่า ระหว่างนั้นปากก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ก่อเกิดสายธารสีแดงม้วนวนกลางหาวราวมังกรขนด กว่าจะขืนร่างหยุดลงได้ ก็แทบจะกระแทกม่านพลังกั้นเวทีอยู่รอมร่อ…

 

“ขะ…ขอบคุณเจ้าที่เมตตา”

 

ฉู่เหยียนที่ตอนนี้แค่ลอยร่างค้างกลางหาวก็ยากเต็มทน กล่าวคำออกมาเสียงอ่อน สีหน้าซีดเซียวหาสีเลือดไม่เจอ สภาพการณ์ของมันแทบไม่ต่างอะไรกับหยางจิ้นก่อนหน้าเลย…

 

ความต่างก็คือ…รอบนี้ไม่ใช่มันซัดผู้อื่น แต่มันถูกผู้อื่นซัดจนร่อแร่เหมือนหยางจิ้น!