ตอนที่ 1964 ปีนเขา

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1964 ปีนเขา

 

หลิงนรีดเค้นพลังอีกครั้ง เพลิงเก้าสวรรค์ระเบิดอํานาจออกมาและแผดเผาน้ําหยดสุดท้า ยในบ่อจนแห้งเหือด

 

หลิงฮันใช้ดาบอสูรนิรันดร์เป็นพลั่ว ขุดดินภายในบ่อน้ําวันเวลาดําเนินไปถึงเจ็ดวัน กว่าเขา จะขุดดินรอบพื้นที่ต้นไผ่ได้ครบและน้ํามันเข้าไปในหอคอยทมิฬ

 

น่าเสียดายที่หอคอยทมิฬไม่สามารถปลูกไผ่ครามผลสีชาดต้นนี้ได้นอกจากว่ามันจะสามารถบ่มเพาะตนเองได้เหมือนกับเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต

 

หลิงฮันนําต้นไผ่ไปตั้งเอาไว้ใต้ต้นสังสารวัฏเพื่อที่มันจะได้ดูดซับออร่าของต้นสังสารวัฏและทําให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรสูงขึ้น

 

เขากลับออกมาจากหอคอยทมิฬ ด้วยรอยยิ้มที่ประดับเอาไว้บนใบหน้าหลังจากพยายามอยู่หลายเดือนในที่สุดเขาก็เก็บเกี่ยวสมุนไพรได้สําเร็จ

 

ทั้งสี่คนออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากเสียเวลามาแล้วเป็นเดือนไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังมีโอกาสได้ครอบครองวาสนาบนยอดเขาอยู่หรือไม่

 

แน่นอนว่าระหว่างทางพวกเขาพบเจอกับสัตว์ประหลาดมากมาย และมีหลายตัวที่มีพลังอยู่ ในระดับตัดวิญญาณปฐพี คราวนี้หลิงฮันไม่ได้ใช้พลังของหอคอยทมิฬ แต่นําพิษของผลสีชาด มาทดสอบแทนร

 

เขาใช้พิษปริมาณเล็กน้อยทาลงบนปลายดาบของดาบอสูรนิรันดร์ทันทีที่ถูกดาบสะบั้นเข้าใส่ร่างของสัตว์ประหลาดในระดับตัดวิญญาณปฐพี่ได้เสื่อมสลายไปในทันที

 

แต่ทางด้านหลิงฮันเองก็ถูกหนามจํานวนมากที่มแทงใส่จนโลหิตไหลท่วมและกระดูกภายในร่างเกือบได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

 

หลังจากพิษที่ดาบถูกใช้ไปเจ็ดครั้ง ประสิทธิภาพของมันก็เริ่มอ่อนลงในการโจมตีครั้งที่สิบเอ็ดพิษก็ไม่ส่งผลอะไรอีกต่อไป

 

แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยรูที่ถูกหนามแทง หลิงฮันก็ยังรู้สึกพึงพอใจมากอยู่ดีที่เก็บเกี่ย วผลึกโลหิตราชานิรันดร์ได้จํานวนมากด้วยจํานวนเท่านี้น่าจะเพียงพอให้จักรพรรดินีและฮูหนิวฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารจนเชียวชาญได้

 

ธิดาดาโว “” แล้วข้าล่ะ? แล้วข้าล่ะ?

 

เนื่องจากกลุ่มของพวกเขาไม่จําเป็นต้องหลบหนีอีกต่อไปความเร็วในการเดินทางจึงเพิ่มขึ้นสองเดือนต่อมาในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตีนเขาของยอดเขาฝั่งซ้าย

 

มองจากระยะไกลจะเห็นเพียงแค่ยอดเขาเท่านั้น แต่พอได้มาเห็นจากระยะใกล้แล้ว มันคือภูเขาที่มีขนาดใหญ่โตมากจนไม่อาจวัดได้ว่ามันมีความกว้างและความสูงเท่าไหร่

 

“พรีบ” ที่พื้นผิวของภูเขามีลวดลายของตราประทับ ส่องแสงกะพริบอยู่เป็นระยะ ราวกับมันมีชีวิต

 

เมื่อแหงนมองขึ้นไปด้านบน จะพบเห็นผู้คนจํานวนหนึ่งกําลังพยายามปีนเขาอยู่ซึ่งทุกครั้ง ที่ลวดลายตราประทับส่องแสงออกมาคนเหล่านั้นจะหยุดปืนทันทีและคว้าจับภูเขาเอาไว้จนกระทั่งลวดลายตราประทับหายไป พวกเขาถึงจะทําการบินต่อ

 

“อ้ากก!” จู่ๆ ใครบางคนก็ปล่อยมือ และร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

 

สถานที่แห่งนี้มีอํานาจแห่งกฎเกณฑ์แรงโน้มถ่วงที่ระดับสูงกว่าจอมยุทธระดับโลกียนิพพานจะทําความเข้าใจได้เพราะงั้นจึงไม่มีใครสามารถเหาะเหินได้ “ตูม” ร่างของคนผู้นั้นร่วงหล่นกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก

 

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จอมยุทธผู้นั้นถึงจะคลานขึ้นมาจากหลุมด้วยร่างกายที่ชโลมไปด้วยโลหิตกระดูกภายในร่างของเขาแตกหักและทุ่มแทงออกมานอกร่างกาย

 

เป็นสภาพที่น่าอนาถนัก

 

จอมยุทธผู้นั้นรีบกินเม็ดยาและนั่งลง เขาโคจรทักษะบ่มเพาะชี้นําเม็ดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อฟื้นฟูพลังต่อสู้ให้กลับมาเร็วที่สุด

 

“พวกเราก็มีนกันบ้างเถอะ”

 

ทั้งสี่คนเริ่มไต่ขึ้นเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นจักรพรรดิ หรือราชาในหมู่ราชาเมื่อเท้าของพวกเขาก้าวห่างจากพื้นก็รู้สึกได้ถึงแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงทันที

 

“หลิงฮัน ขอขี่หลังหน่อย!” ฮูหนิวกระโดดมาเกาะที่แผ่นหลังของหลิงฮัน

 

“หนัก!” หลิงฮันกัดฟัน แม้จะเป็นการแบกคนเพิ่มแค่คนเดียวแต่น้ําหนักที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงแค่เท่าตัว

 

จักรพรรดินีจ้องมอง นางไม่กล่าวอะไรและทําการกอดเข้าที่แขนข้างหนึ่งของหลิงฮันในทันทีน่าเสียดายนักที่ตําแหน่งที่ดีที่สุดถูกฮูหนิวแย่งไปเสียก่อน

 

ธิดาโร่วครุ่นคิดในใจ และนางเองก็มาคว้าเกาะที่แขนอีกข้างของหลิงฮันเช่นกัน

 

“ให้ตายสิ พวกเจ้าไม่มีแขนขากันรึไง?” หลิงฮันเค้นเสียง น้ําหนักของคนสามคนที่เพิ่มเข้ามา นั้น ทําให้เขาแรงกดดันที่เขาได้รับนั้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่าเขารู้สึกราวกับว่ามือและเท้าของตนเองกําลังจะฉีกขาด

 

แต่นี่ก็นับว่าเป็นการออกกําลังที่ดีได้เหมือนกัน

 

หลิงฮันเลิกโอดครวญ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นและเริ่มขึ้นเขา

 

เมื่อขยับตัว แรงโน้มถ่วงที่ได้รับก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เม็ดเหงื่อไหลออกมาและเปียกชุ่มไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“พรึบ” จู่ๆ ภูเขาก็ส่องแสงสว่าง และลวดลายตราประทับได้พุ่งลงมาจากบนยอดเขา ราวกับอสนีบาต

 

หลิงฮันนั้นถึงแม้จะเพิ่งมีประสบการณ์ปีนเขาเช่นนี้เป็นครั้งแรกแต่ก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีเขารีบหยุดชะงักร่างอย่างรวดเร็วและเกาะภูเขาเอาไว้แน่น

 

“ครืนน ครืนน ครืนน” ลวดลายตราประทับที่ผ่าลงมาได้ก่อให้เกิดคลื่นสะท้อนที่รุนแรงไปยังภูเขาหลิงฮันเกาะภูเขาเอาไว้แน่นหากปล่อยมือแม้แต่นิดเดียวทั้งเขาและสตรีทั้งสามคงถูกพัดลอยกระเด็นแน่

 

เมื่อลวดลายหายไป หลิงฮันก็กลับมายึด และไต่เขาต่อถึงแม้จะมีสตรีสามคนเกาะอยู่ แต่ความเร็วในการบินของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นราวกับวานรที่กําลังไต่เขา

 

ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง ที่เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏร่างของคนอื่นให้เห็น

 

“พรึบ” หลิงฮันบินเขาอย่างรวดเร็ว และขึ้นแซงคนที่อยู่ด้านหน้า

 

คนที่ถูกแซงคือคู่บุรุษสตรีคู่หนึ่ง ที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนรักกันเนื่องจากทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมากในขณะที่หลิงฮันแซงทั้งคู่ขึ้นไปฝ่ายบุรุษได้ทําการขยับทั่วมาบังสตรี ราวกับต้องการคุ้มกัน

 

เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่เพียงปีนเขาขึ้นไปได้อย่างง่ายดายแต่ยังแบกสตรีสามคนเอาไว้ด้วยคู่รักบุรุษสตรีก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ฝ่ายสตรีก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอ่อนหวาน “พี่ชายหม่าข้าก็อยากให้ท่านแบกข้าขึ้นหลังเหมือนกัน!”

 

“ไม่มีปัญหา ขึ้นมาเลย!” ฝ่ายบุรุษยิ้มและรีบรับปาก

 

ฝ่ายสตรีเองก็กระโดดขึ้นไปเกาะหลังฝ่ายบุรุษอย่างรวดเร็ว

 

แต่พริบตานั้นฝ่ายบุรุษก็ต้องกัดฟัน หน้าผากของเขาเกร็งจนปรากฏรอยย่นเต็มไปหมด และพยายามกัดฟันผืนปืนเขาต่อไปอย่างเชื่องช้าสภาพของเขาในตอนนี้ดูราวกับเป็นมนุษย์ทั่วไปที่กําลังแบกของหนักหลายพันปอนด์เพียงแค่ขยับตัวก็ทําให้ยากลําบากแล้ว

 

ในจังหวะนั้นเอง ลวดลายตราประทับของภูเขาก็ผ่าลงมาอีกครั้งฝ่ายบุรุษรีบหยุดนิ่ง และเกาะก้อนหินเอาไว้แน่นเพื่อรับแรงต้านเพียงแต่ด้วยน้ําหนักอันมหาศาลมือของเขาจึงไม่สามารถกําก้อนหินเอาไว้ได้ไหวและถูกพัดลอยกระเด็นทันที

 

“อ้ากก!”

 

“อ้ากก!”

คู่รักบุรุษสตรีร้องโอดครวญพร้อมกัน และสบถคําสาปแช่งนับหมื่นอยู่ในใจพวกเขาโยนความผิดไปยังหลิงฮัน ถ้าหากใครเพราะอีกฝ่ายทําเป็นอวดต่อหน้าพวกเขาล่ะก็ มีที่พวกเขาจะทําตาม?

 

พรึบ” ร่างของทั้งสองกลายเป็นจุดสีดําขนาดเล็กจนในที่สุดก็มองไม่เห็นอีกต่อไป