บทที่ 647.2 ทะลวงขบวนรบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หญิงชราสอนท่ายืนนิ่งและเดินนิ่งให้เด็กแปดคนแล้วก็เริ่มออกเดินช้าๆ มองประเมินท่ายืนนิ่งที่บิดเบี้ยว ยึกๆ ยักๆ ของเด็กเหล่านั้น ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ปล่อยหมัดพันรอบ เรือนกายและกระบวนท่าผสานอย่างเป็นธรรมชาติ คำกล่าวนี้ทั้งควรเชื่อและไม่ควรเชื่อ ที่ควรเชื่อก็คือหลักการที่ว่าวิชาหมัดต้องฝึกหลายครั้ง ส่วนที่ไม่ควรเชื่อก็คือต่อยหมัดพันรอบแล้วจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์บนวิถีวรยุทธที่ฐานกระดูก คุณสมบัติและนิสัยล้วนดีเยี่ยมแค่ไหน แต่หากปล่อยหมัดแค่พันครั้งก็ยังยากที่จะทำให้ปณิธานหมัดติดตัวได้”

เด็กคนที่พอลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นมานั่งคนนั้นเป็นเด็กที่ดื้อดึงคนหนึ่ง เขากัดฟันพูด “แล้วเฉาสือผู้ฝึกยุทธของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้นล่ะ กระบวนท่าวิชาหมัดแบบเดียวกัน เขาจำเป็นต้องฝึกพันหมัดไหม?! ต้องไม่ถึงแน่นอน!”

หญิงชราไม่โกรธ นางมองเด็กชายแล้วยิ้มเอ่ย “ในใต้หล้าไพศาลคนที่เรียนวรยุทธมีมากมาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามารถปล่อยหมัดโดยไม่ใช้เหตุผลได้ แต่กลับพิถีพิถันในเรื่องที่ว่าเรียนวิชายังไม่สำเร็จต้องเรียนรู้มารยาทให้ได้ก่อน ฝึกยุทธไม่สำเร็จต้องฝึกคุณธรรมให้ได้ก่อน”

เด็กชายยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงหยัน “ข้าพูดเรื่องวิชาหมัดกับท่าน ท่านกลับพูดเรื่องเหตุผลกับข้า? ป๋ายหมัวมัว ข้าว่าวิชาหมัดของท่านแท้จริงแล้วก็คงไม่สูงสักเท่าไรหรอก”

สีหน้าของหญิงชรายิ่งมีเมตตา เดินอ้อมผ่านเด็กแปดคนที่เรียงแถวกันซึ่งมีคนลุกขึ้นยืนโงนเงนแถวนั้นมา “จิตใจเที่ยงตรงหมัดเที่ยงตรง จิตใจชั่วร้ายหมัดชั่วร้าย ดังนั้นสอนวิชาหมัดก็คือสอนการเป็นคน”

เด็กชายคนนั้นมองหญิงชราที่รอยยิ้มฉีกกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้ว่าท่าไม่ดี ความคิดพลันบังเกิด จึงตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ท่านเป็นหญิงแก่คนหนึ่ง ข้าเรียนวิชาหมัดกับท่านยังไม่สู้เรียนจากเถ้าแก่รอง เขาคือยอดฝีมือ ข้าเคยเห็นเขาลงมือกับตาตัวเองมาก่อน! แม้ว่าช่วงแรกเริ่มสุดจะแพ้ให้เฉาสือถึงสามครั้ง แต่ภายหลังก็เอาชนะอวี้เจวี้ยนฟูได้ถึงสามครั้งไม่ใช่หรือ?”

หญิงชราหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าลูกกระต่ายนี่หัวไวไม่เบา เอาล่ะๆ ลุกขึ้นยืนเถอะ มาฝึกท่ายืนนิ่งพร้อมกับคนอื่น ยืนได้ดีก็โดนซ้อมน้อยหน่อย ท่าเดินนิ่งหกก้าวที่สอนให้พวกเจ้าเมื่อครู่นี้ก็ถ่ายทอดมาจากอาจารย์เฉินนั่นแหละ”

เด็กคนนั้นลุกขึ้นยืน นวดคลึงท้องตัวเองแล้วก็ต้องแยกเขี้ยว เจ็บจริงๆ เลย

หญิงชราคลี่ยิ้ม ความเจ็บของเด็กคนนี้เป็นความเจ็บที่แท้จริง แต่ก็เจ็บแค่ผิวหนังภายนอกเท่านั้น อีกทั้งไม่นานก็จะอดทนจนผ่านพ้นมันไปได้

เด็กชายพึมพำ “หากบ้านมีข้าวสารพอจะกรอกหม้อก็คงไม่มาเรียนวิชาหมัดอะไรนี่หรอก”

หญิงชราชำเลืองตามองเขา

เด็กชายรีบโอดครวญขึ้นมาทันที “ข้าเรียน ข้าเรียนแล้วก็ได้”

ในใจหญิงชรารู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย

คบค้าสมาคมกับพวกเด็กๆ ก็ยังคงเป็นท่านเขยของตนที่เชี่ยวชาญมากกว่า

อันที่จริงแม้แต่เรื่องของการสอนหมัดนี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องถนัดของนาง

ต่อให้ป๋ายเลี่ยนซวงจะเคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดเพียงหนึ่งเดียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ต่อให้เคยป้อนหมัดให้ท่านเขยในจวนหนิงมาก่อน แต่ตัวหญิงชราเองก็ยังรู้สึกไม่ดี เพราะตัดใจลงมืออำมหิตปล่อยหมัดหนักๆ ใส่เขาไม่ได้จริงๆ

เพียงแต่ท่านเขยบอกแล้วว่าเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกยุทธในกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่ออยู่ที่นี่ไม่สะดุดตา อนาคตจะเป็นอย่างไรก็บอกได้ยากแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว มีวิชาความสามารถไว้ติดตัว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

……

เฉินผิงอันหาพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งเปลี่ยนหน้ากากอันใหม่ในเสี้ยววินาที คราวนี้ปรากฏกายด้วยรูปโฉมของเด็กหนุ่ม

เขาแอบหยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ยืมมาจากหอกระบี่ออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ จากนั้นเอากระบี่ยาวเล่มที่หักท่อนซึ่งอยู่ในฝักด้านหลังใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ถึงเวลานั้นยังต้องคืนมันให้กับผังหยวนจี้

ครั้นจึงขี่กระบี่ออกไปอีกครั้ง ลมปราณทั่วทั้งร่างก็เปลี่ยนจากผู้เฒ่าที่มีกลิ่นอายของความชราเสื่อมถอยทั่วร่างไปเป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา คิ้วตาเบิกบาน สายตาใสกระจ่างในเสี้ยววินาที

กระบี่บินชูอี สืออู่ที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้ว และกระบี่บินซงเจิน ไฮเหลยที่มาจากภูเขาชังกระบี่ หากสถานการณ์ไม่คับขันจริงๆ ก็ห้ามปล่อยออกไปเด็ดขาด

‘เจี้ยนเซียน’ กระบี่พกและชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ต่างก็มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนล้วนมอบให้หนิงเหยาไปแล้ว

ดังนั้นการขี่กระบี่เดินทางไกลของเฉินผิงอันจึงได้เพิ่มกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘จ้างปู้’ มาอีกเล่ม ใช้ตัวตนของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงลงสนามรบ เดิมทีนี่ก็คือการเสแสร้งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง

ส่วนหน้ากากทั้งหลายที่จูเหลี่ยนเป็นคนสร้างขึ้นมานั้น อันที่จริงยังอยู่ลำดับรอง

แต่สรุปแล้วก็คือมีวิชาความสามารถมากมายก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทับตัวตาย ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดี

จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย ขี่กระบี่พุ่งไปยังจุดสูงอย่างรวดเร็ว มองสถานการณ์ของสนามรบแวบหนึ่งก็ขี่กระบี่แนบติดกับพื้นดินใหม่อีกครั้ง

บนสนามรบผู้ฝึกกระบี่หลายพันคนพากันทะลวงขบวนทัพลงใต้ ผลักดันกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจให้ถอยร่นไปยังทิศใต้

จุดที่การต่อสู้ดุเดือดรุนแรงมากที่สุดยังคงเป็นแนวเส้นของแม่น้ำยาวสีทอง กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่าพากันกรูเข้ามาพุ่งชนแม่น้ำสายยาวที่เซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์ และในช่วงเวลาที่เซียนกระบี่ส่งกระบี่ออกมา กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจก็จะสามารถก่อตัวกันขึ้นเป็นเนินเล็กๆ กดทับปราการที่มองไม่เห็นของฟ้าดินเล็กแม่น้ำสายยาวนั้นได้ในเสี้ยววินาที แต่ก็ถูกแม่น้ำยาวสีทองที่ลูกคลื่นถาโถมทับกันเป็นชั้นๆ ซัดให้เลือดเนื้อกระจุยกระจาย เมื่อคลื่นลูกใหญ่ซัดไปแล้วหวนย้อนกลับก็ทิ้งโครงกระดูกขาวโพลนเอาไว้นับไม่ถ้วน จากนั้นโครงกระดูกขาวก็จะถูกเผ่าปีศาจที่อยู่ด้านหลังกรูมากลบทับ ซ้อนทับถมกันเป็นชั้นๆ กัดเซาะเขื่อนกั้นน้ำตัวอักษรชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำยาวสีทองอย่างต่อเนื่อง

เซียนกระบี่จึงได้แต่ดึงกระบี่กลับมาเล็กน้อย แล้วออกกระบี่เก็บกวาดสนามรบเบื้องหน้า หลีกเลี่ยงไม่ให้เลือดเนื้อและโครงกระดูกขาวทับถมกันอยู่จุดเดิมมากเกินไปจนสามารถกัดกร่อนแม่น้ำยาวสีทองได้ตลอดเวลา

ตัวอักษรสีทองของอริยะปราชญ์ที่เล็กเท่าหัวแมลงวันจำนวนมาก รวมไปถึงดอกบัวสีทองทั้งหลายที่ไหวโยนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางกระแสน้ำสลายหายไปอยู่เป็นระยะ เพียงแต่ว่าอริยะของสามลัทธิช่วยกันเพิ่มพลังปลุกเสกแม่น้ำสายยาวอย่างต่อเนื่อง ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้จึงไม่สลายหายไปเร็วนัก

บนสนามรบแห่งนั้นได้ปรากฏร่างของปีศาจใหญ่ที่รับหน้าที่ฝ่าทะลวงขบวนรบหลายตนแล้ว

และยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่มีวิชาอภินิหารสองอย่างเช่นการย้ายภูเขาและการเคลื่อนสายน้ำ พวกมันคอยทุ่มภูเขาลูกใหญ่ ไม่ก็ปล่อยสายฝนซัดกระหน่ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมลพิษสกปรกให้กระแทกใส่หัวเหล่าเซียนกระบี่และเหนือสายน้ำสีทอง

มีปีศาจใหญ่ที่ร่ายวิชาอภินิหารทำให้พื้นดินปริแตกแล้วเจาะทะลวงหน้าดินลงไป บ้างก็บังคับเผ่าปีศาจที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬารให้แหวกดินมุดลงไปเบื้องล่าง แล้วพากันฉีกกระชากหน้าดินผุดขึ้นมา แม้จะต้องเจอกับกระบี่ที่ฟันแสกหน้าจากเซียนกระบี่ ก็ยังพยายามจะทำให้แม่น้ำยาวสีทองที่แข็งแกร่งจนแทบมิอาจทำลายกลายเป็นสายน้ำกลางอากาศที่ไร้ผืนดินให้พึ่งพาให้จงได้ กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่บนสนามรบทางทิศใต้จะได้สามารถมาบรรจบกับกองทัพใหญ่ทางทิศเหนือได้อย่างรวดเร็ว

อริยะสองท่านที่นั่งเฝ้าปลายสองด้านของหัวกำแพงเมืองร่ายวิชาอภินิหารใหญ่แทบจะพร้อมเพรียงกัน ไม่เพียงแต่กระแสน้ำของแม่น้ำทั้งสายจะเพิ่มขึ้นพรวดพราดเหมือนน้ำตกที่เทกระหน่ำลงมา ยังมีดอกบัวสีทองทั้งหลายที่พลันแตกรากห้อยย้อยลงไปเบื้องล่างพร้อมกับสายน้ำใหญ่ หยั่งรากลงในพื้นดินจุดที่ลึกยิ่งกว่าเดิม บนดอกบัวสีทองก็ยิ่งมีอักษรสีทองแน่นขนัดเรียงยาวเป็นแถวล้อมวน เนื้อหาของตัวอักษรล้วนเป็นบทประพันธ์โด่งดัง บทกวีมีชื่อเสียงที่แม้แต่กวีใหญ่ก็ยังสรรเสริญชื่นชม

หนึ่งในนั้นคือดอกบัวดอกหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำใกล้กับฝ่าเท้าของเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งซึ่งงดงามโดดเด่นเป็นพิเศษ มันสูงถึงร้อยจั้งกว่า ส่งกลิ่นหอมสดชื่นขจรไกล กลิ่นหอมนั้นรวมตัวกันเป็นปราณวิญญาณสีทองเป็นเส้นๆ สุดท้ายจึงรวมกันเป็นหยดน้ำหลายหยดที่พร่างพรมลงบนใบบัว ส่งเสียงติ๋งๆ ดังเสนาะหู

ตัวอักษรสีทองแต่ละแถวเหมือนนกน้อยที่แอบอิงคน ประหนึ่งร่มเงาต้นไม้ไหวเพยิบ อ่อนช้อยน่าเอ็นดู

‘ดอกไม้พืชหญ้าบนบกในสายน้ำ ควรค่าให้ชื่นชอบมีมากมาย’

‘สูงชะลูดเด่นสง่า ไม่แผ่ไม่ลามเหมือนเถาวัลย์ สะอาดบริสุทธิ์ผุดพ้นโคลนตม’

เรือนกายของเซียนกระบี่หญิงพลิ้วลงบนใบบัวที่งอกงามอย่างต่อเนื่อง ยืนอยู่กลางดอกบัวสีทองแล้วก็รู้สึกว่าฟ้าดินใสกระจ่างขึ้นหลายส่วน ปราณวิญญาณสมบูรณ์เปี่ยมล้น

จากนั้นทุกครั้งที่นางออกกระบี่ก็ล้วนราบรื่นว่องไว

บัดนั้น เซียนกระบี่หญิงที่เดิมทีก็รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุดอยู่แล้วยิ่งพิลาสงามล้ำ

เซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับนางออกกระบี่รับมือกับศัตรูอย่างอำมหิต กระบี่แต่ละครั้งที่ส่งออกไปไม่เคยติดชะงัก ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับนาง “ไม่ยินดีจะเป็นภรรยาของน้องชายข้าจริงๆ หรือ?”

เซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงเอ่ยอย่างเฉยชา “หมี่อวี้คือหมอนปักลายบุปผา แล้วยังชอบบทกวีห่วยแตกที่ข้าฟังไม่เข้าใจ น่ารำคาญอย่างถึงที่สุด”

หมี่ฮู่เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามอีกว่า “แล้วข้าล่ะ?”

โจวเฉิงเองก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบอีกครั้ง “ขี้เหร่เกินไป”

หมี่ฮู่ที่เพิ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ได้ไม่นานไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี กระบี่ที่ส่งออกไปอีกครั้งเปี่ยมไปด้วยมาดอันสง่างาม

ระหว่างความเป็นความตายยิ่งทำให้เห็นมาดของเซียนกระบี่ใหญ่ได้ชัดเจน

เฉินผิงอันขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังจุดหนึ่งของสนามรบทางทิศใต้ด้วยความว่องไว เพื่อไปหาผู้ฝึกกระบี่ที่บุกทะลวงขบวนรบได้เร็วที่สุดกลุ่มนั้น

มีเตี๋ยจ้างกับต่งถ่านดำเป็นคนเปิดทาง คิดจะช้าก็ยังยาก

กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจก็ล้มเลิกความคิดที่จะก้มหน้าก้มตาบุกรุดหน้าแล้ว หากสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ที่ออกจากหัวกำแพงเมืองมาทำสงครามได้ คุณความชอบมีแต่จะสูงกว่าการปีนขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง

แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเข้าใกล้กำแพง การออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ก็มีแต่จะยิ่งเฉียบคม ทำให้ตายไวขึ้นก็เท่านั้น ล้อมสังหารผู้ฝึกกระบี่ที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม จะดีจะชั่วก็ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้นานอีกหน่อย

ดังนั้นทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เหนือสนามรบอันกว้างใหญ่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสายยาวจึงกลายมาเป็นวงล้อมขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันหลายวงอย่างที่มองไม่เห็น

บ้างใกล้บ้างไกล ล้วนมองเห็นคนคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย

เซียนกระบี่เถาเหวินอยู่บนแนวเส้นแรกของสนามรบซึ่งอยู่ห่างไปไกลที่สุด ร่วมกับเซียนกระบี่ท่านอื่นปกป้องแม่น้ำสายยาวสีทองเส้นนั้นไว้อย่างสุดความสามารถ

ส่วนที่ใกล้เข้ามาหน่อย นอกจากผู่อวี๋ เริ่นอี้ที่พบเจอก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมีเย่เจิ้นชุนผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์กระบี่พิทักษ์ค่ายกล รวมไปถึงชายโสด ผีพนันทั้งหลายที่เป็นแขกประจำของร้านเหล้า เคยมาดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ กินบะหมี่หยางชุนไปหลายถ้วย แล้วยังมีพวกที่ลงเดิมพันแล้วขาดทุนอีกไม่น้อย

ตลอดทางที่ไปหาพวกหนิงเหยา เฉินผิงอันได้แต่ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเท่าที่ความสามารถจะเอื้ออำนวย ทำให้พวกเขาสามารถหลุดออกจากวงล้อมมาได้ชั่วคราว

ตามกฎที่สายอิ่นกวานเป็นผู้ตั้ง เรื่องของการทะลวงขบวนรบลงใต้ไปเข่นฆ่าเผ่าปีศาจ ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตต่างกันจะต้องมีระยะห่างในการผลักดันเดินหน้าที่ต่างกันด้วย เมื่อถึงระยะห่างที่ว่านั้นแล้ว หรือสามารถสังหารเผ่าปีศาจได้ในจำนวนหนึ่งแล้วก็สามารถถอยกลับทิศเหนือ กลับไปพักที่ฐานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ด้วยตัวเอง หากมีกำลังเหลือก็สามารถลงใต้ได้ต่อ แต่หากเสียหายอย่างสาหัส ให้ตรงกลับหัวกำแพงเมืองทันที เปลี่ยนให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ไปพักจนมีกำลังเพียงพอแล้วมาลงสนามรบแทน ห้ามละโมบในคุณความชอบจนเสี่ยงอันตรายรุดหน้าต่อ แล้วก็ห้ามคิดจะใช้ชีวิตแลกชีวิตกับเผ่าปีศาจ

ผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มล่างกำแพงและบนหัวกำแพงที่อยู่บนเส้นแนวรบเดียวกัน หนึ่งรุกหนึ่งถอย ฝ่ายแรกจำเป็นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการศึกที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ หากผู้ฝึกกระบี่ล่างกำแพงตัดใจถอยทัพไม่ได้ ยอมให้มีคนตายและบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยหนี ฝ่ายหลังก็ได้แต่ออกจากหัวกำแพงมาก่อนเวลา เพื่อเติมเต็มช่องโหว่ที่เกิดขึ้น นานวันเข้าแนวเส้นการรบบางเส้นจากใต้ขึ้นเหนือก็จะเสียหายไม่เหลือสภาพดี กลายเป็นเรื่องเละเทะที่ต้องให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากกว่าเดิมไปเก็บกวาด

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สายอิ่นกวานยังคงหวังให้ผู้ฝึกกระบี่สามารถรอดชีวิตไปได้ ออกกระบี่ได้ต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะมีคนรอดชีวิตมากขึ้น

เพียงแต่ว่าสนามรบแห่งหนึ่งกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมีคนตายอยู่ตลอด ตายแล้วตายอีก

การจากลาไม่ว่าจะแบบเป็นหรือตาย เมื่อมาถึงบนสนามรบก็เหมือนเพื่อนบ้านสองหลังที่บ้านตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ถูกสกัดทางถอยต้องฆ่าให้หมดสิ้น ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ลงจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเข่นฆ่าศัตรูก็ยิ่งต้องพยายามลดทอนความเสียหายจากสงคราม

ตอนนี้กองทัพใหญ่แต่ละกองของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเร่งรุดเดินทางมายังสนามรบทิศเหนืออย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่รบตายไปก็หมายความว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่สูญเสียพลังในการสู้รบไปส่วนหนึ่ง และนี่ยังเป็นเพียงแค่วิธีการคิดคำนวณบนกระดาษสมุดบัญชีเย็นๆ เท่านั้น แล้วใจคนเล่าจะคิดคำนวณกันอย่างไร?

บนสนามรบที่ฝ่ายตนเองและฝ่ายศัตรูเข่นฆ่ากัน เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่ออกจากเมืองซึ่งถือว่าอยู่ใกล้กับแม่น้ำสีทองสายยาวมากที่สุด ทุกคนที่เหมือนค่ายกลกระบี่ซึ่งบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญพลันหยุดเท้าชะงักงัน ไม่ขยับเคลื่อนหน้าต่ออีก

ต่อให้เป็นเตี๋ยจ้างที่กำลังปลิดชีพศัตรูอย่างฮึกเหิมก็ยังเก็บกระบี่ เลือกจะถอยไปด้านหลังหลายสิบจั้ง มือของนางถือกระบี่ใหญ่เจิ้นเยว่เอาไว้ ค้อมเอวลงน้อยๆ ปลายกระบี่ทิ่มอยู่บนพื้นดิน ยืนเคียงบ่าอยู่กับต่งฮว่าฝู

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนทั้งสองยังคงสังหารศัตรูไม่หยุด

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาฝ่าค่ายกลมาเร็วเกินไป ทั้งสองฝั่งล้วนมีแต่เผ่าปีศาจ

ด้านหลังของสนามรบคือหนิงเหยาที่สะพายกล่องกระบี่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ในกล่องกระบี่บรรจุเจี้ยนเซียนเล่มนั้น ในมือของหนิงเหยาถือกระบี่แค่เล่มเดียว

ห่างจากฝั่งซ้ายและขวาของหนิงเหยาไปประมาณยี่สิบจั้งคือเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว

ฟ่านต้าเช่อยืนห่างไปทางด้านหลังอีก

เดิมทีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของพวกเขาควรจะรุดหน้าไปอีกหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าลี้ถึงจะเริ่มถอยร่นมาดักฆ่าพวกปลาที่หลุดรอดจากตาข่ายซึ่งเหลืออยู่ด้านหลัง

ทว่าเมื่อครู่หนิงเหยาเอ่ยประโยคหนึ่ง ฟังดูแล้วไม่ค่อยปกติสักเท่าไร