ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1112 ยอมแพ้อย่างตรงไปตรงมา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

คนสิบกว่าคนถูกเยี่ยนจ้าวเกอขวางทาง

เหวินไต้หงเห็นดังนั้นก็ละอายใจ

ความละอายนี้เกิดจากคนที่ถูกพวกเยี่ยนจ้าวเกอขวางทาง ถึงอีกฝ่ายจะบอกข่าวที่เยี่ยนจ้าวเกอออกจากยอดเขาเมฆาสีชาดให้แก่เขาจริงๆ แต่เหวินไต้หงคิดจะท้าสู้กับลูกหลานของเยี่ยนซิงถางอยู่แล้ว

เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงที่นี่ผ่านทางที่ตนมา เหวินไต้หงก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้

คนสิบกว่าคนนั้นกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็ยังนับว่าเยือกเย็น

คนที่เป็นผู้นำทราบว่าเหวินไต้หงไม่ได้ขายพวกเขา ดังนั้นจึงแสร้งเป็นเลอะเลือนอย่างสงบนิ่ง

เขาประสานมือ “ท่านนี้…สหายร่วมเส้นทางเยี่ยน ถ้าหากว่ามีการเปรียบกระบี่ พวกเราย่อมยินดีเป็นสักขีพยาน แต่ที่ท่านบอกว่าชมดูตรงๆ อะไรนั่น กลับทำให้พวกเราไม่เข้าใจแล้ว”

“เหอะๆ…” เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ในตอนที่ข้าลงจากเขาเมฆาสีชาดก่อนหน้านี้ คนที่จับตาดูข้าอยู่มีท่านอยู่ด้วยกระมัง”

อีกฝ่ายสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “การคาดเดาปรักปรำเช่นนี้ สหายร่วมเส้นทางเยี่ยนคิดมากไปแล้ว”

ชายวัยกลางคนผู้นี้ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง กล่าวอย่างเฉื่อยชา “ถึงแม้ว่าจอมยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์อย่างพวกเราจะไม่ต้อนรับผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์เช่นท่านจริงๆ ทว่าในเมื่อท่านเป็นแขกของกษัตริย์ลี้ลับและจักรพรรดิน้ำพุ เช่นนั้นอย่างน้อยในเรื่องมารยาทที่ปฏิบัติต่อแขก พวกเราก็ยังมีอยู่ ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะไม่กลายเป็นตัวตลกของโลกซ้อนโลก”

“ท่านมีนามว่าอะไร” เยี่ยนจ้าวเกอถามโดยไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

ชายวัยกลางคนพูดอย่างใจเย็น “ข้าน้อย หวังซุ่น แห่งหุบเขาธุลีวิญญาณในเขาแหนเขียว”

“หุบเขาธุลีวิญญาณ…” เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าเล็กน้อย มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มวูบหนึ่ง “…ลูกศิษย์ของจักรพรรดิสัญญะเมฆหรือ”

เหล่ายอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้บุกเบิกฟ้าท่องมกรต สร้างพื้นฐานในตอนแรกขึ้นมา นอกจากบูรพาจารย์แห่งมรกตท่องฟ้าผู้นั้นแล้ว ยังมีอีกคนเจ็ดคนที่ถูกเรียกว่าเจ็ดปราชญ์ท่องมรกต

กษัตริย์ลี้ลับเกาชิงเสวียนเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ กลับเป็นตี๋ชิงเหลียนโด่งดังช้ากว่าเล็กน้อย ในตอนที่มีชื่อเสียง พื้นฐานของมรกตท่องฟ้าก็มั่นคงแล้ว จึงไม่ได้ถูกจัดอยู่ในเจ็ดปราชญ์

เจ็ดปราชญ์มีสำนักเป็นของตัวเอง ทั้งยังไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของบูรพาจารย์ทุกคน แต่ว่าต่างก็เป็นผู้สืบทอดกระแสตรงสายเหนือพิสุทธิ์ดั้งเดิม

วันเดือนเคลื่อนคล้อย กาลเวลาเลื่อนไหล เจ็ดปราชญ์ท่องมรกตกลายเป็นประวัติศาสตร์มาช้านาน ต่างแตกฉานซ่านเซ็น มีคนที่เสียชีวิต

เจ็ดปราชญ์ในอดีต ปัจจุบันที่ยังอยู่ในมรกตท่องฟ้ามีอยู่แค่สองคน

นอกจากกษัตริย์ลี้ลับแล้ว ก็คือจักรพรรดิสัญญะเมฆหรือจักรพรรดิเมฆ

คนผู้นี้เป็นคนในยุคเดียวกันกับกษัตริย์ลี้ลับและจักรพรรดิน้ำพุหลง หากพูดถึงวัยวุฒิจริงๆ ยังเหนือกว่ากษัตริย์ลี้ลับขั้นหนึ่ง เทียบรุ่นได้กับบูรพาจารย์ผู้นั้น

คนผู้นี้มีอิทธิพลล้ำลึกอยู่ในมรกตท่องฟ้าเช่นกัน นอกจากนี้ในเรื่องการปฏิบัติต่อโลกซ้อนโลก ก็เหมือนกับอาจารย์ของกษัตริย์ลี้ลับ มองเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงเหมือนกัน

ตอนยู่บนโลกซ้อนโลก พวกหวังผู่และไป๋เทาได้บอกเล่าถึงคนผู้นี้ให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นการเฉพาะ

ถ้าบอกว่าทางมรกตท่องฟ้ามีคนไม่เห็นแก่หน้ากษัตริย์ลี้ลับ สร้างความลำบากให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูก นอกจากบูรพาจารย์ผู้นั้นแล้ว คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็เป็นคนหัวโบราณผู้นี้

พวกหวังซุ่นสงบจิตใจลงได้แล้ว

“สหายร่วมเส้นทางเยี่ยนคิดเลียนแบบเรื่องของบรรพบุรุษท่านในอดีตหรือ” หวังซุ่นถามอย่างแช่มช้า

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนมายุ่ง สหายร่วมเส้นทางเหวินจะมาขวางทางข้าได้อย่างไร”

เขายักไหล่ “แต่ก็ไม่เป็นไร ทุกคนใช้การต่อสู้ทำความรู้จักกันก็ได้”

“สหายร่วมเส้นทางเหวิน ข้าเลือกสถานที่ สถานที่คือที่นี่แล้ว ท่านคัดค้านหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางมองเหวินไต้หง

เหวินไต้หงส่ายหน้า “ย่อมเห็นด้วย”

ถึงเขาจะตรงไปตรงมา ไม่ค่อยถนัดการใช้ชีวิตในสังคม แต่ก็ไม่ใช่คนโง่งมจริงๆ ตอนนี้รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องได้บ้างแล้ว

แต่ลูกหลานของเยี่ยนซิงถางมาถึงมรกตท่องฟ้า เหวินไต้หงอดรนทนไม่ไหว ต้องการสู้ด้วยสักครั้งจริงๆ

ลูกศิษย์ยอดเขาขาวเรืองจนปัญญา ได้แต่ชมดูอยู่ด้านข้าง แต่สายตาที่มองไปยังพวกหวังผู่กลับไม่ได้เป็นมิตรแต่อย่างใด

หวังซุ่นลอบถอนใจ แต่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด

ถึงแม้ว่าพวกตนจะถูกเปิดเผย ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไร แต่เรื่องราวมาถึงที่สุด ผลลัพธ์คือว่ายังดีอยู่

ทุกคนมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและเหวินไต้หง

เยี่ยนจ้าวเกอโด่งดังในเชิงบู๊ มรกตท่องฟ้าก็มีเรื่องเล่าลืออยู่ไม่น้อย

เหวินใต้หงแม้จะเป็นลูกศิษย์ฝีมือดีของจักรพรรดิอุรุ และเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันบนมรกตท่องฟ้า แต่ว่าในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดเกรงว่าจะมีไม่กี่คนที่เชื่อว่าเขาเอาชนะเยี่ยนจ้าวเกอได้

ผลการรบที่เยี่ยนจ้าวเกอสู้กับประมุขได้ทั้งๆ ที่เพิ่งปีนขึ้นสะพานเซียน ทำให้ทุกคนไม่มีความมั่นใจในตัวเหวินไต้หงจริงๆ

แต่ว่าการต่อสู้นี้ เป็นเพียงแค่เปรียบมรรคากระบี่เท่านั้น เหมือนกับที่จักรพรรดิน้ำพุหลงมายังมรกตท่องฟ้าเพื่อท้าเปรียบกระบี่ในตอนที่ยังไม่ได้เลื่อนสู่ระดับเซียน ดังนั้นเหวินไต้หงซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส

เยี่ยนจ้าวเกอมิใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง แต่ที่แล้วมาเขาใช้กระบี่เป็นอาวุธ และยังเป็นลูกหลานของเยี่ยนซิงถางเทพกระบี่ เมื่อถูกคนอื่นท้าให้เปรียบมรรคากระบี่ ก็มีแต่ต้องตอบรับ

“ในเมื่อเป็นแค่การแลกเปลี่ยนกระบวนท่า เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้กระบี่แล้วกัน” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ชักกระบี่ กล่าวอย่างผ่อนคลาย

เหวินไต้หงไม่ได้ชักกระบี่เช่นกัน ทว่ากล่าวอย่างจริงจัง “ล่วงเกินแล้ว”

จากนั้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็มีประกายกระบี่สีดำวาดผ่าน เป็นวิถีของคัมภีร์กระบี่ผนึกเซียนในสี่กระบี่รัตนา

กระบี่ผนึกเซียนทำลายสรรพชีวิต เปลี่ยนชีวิตเป็นความตาย

เพียงแต่เมื่อประกายกระบี่สีดำสว่างขึ้น ยังไม่ทันถูกตัว เยี่ยนจ้าวเกอก็สัมผัสได้ถึงการคุกคามที่แฝงอยู่ภายใน อวัยวะภายในสั่นไหวเล็กน้อย

เขาฝึกฝนคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต ห้าปัญจาตุหลอมห้าอวัยวะ ห้าอวัยวะหล่อเลี้ยงห้าเทพ เมื่อฝึกฝนร่างมหาเซียนปัญจธาตุสำเร็จ พลังป้องกันก็แข็งแกร่ง พลังฟื้นฟูน่าตกตะลึงเช่นกัน

แต่เมื่อเผชิญกับกระบี่ผนึกเซียน กลับเหมือนเจอกับศัตรูธรรมชาติ

ต่อให้เผชิญหน้ากับวรยุทธ์ที่มีสภาวะโจมตีที่ดุร้าย และไม่ด้อยกว่ากระบี่ผนึกเซียนอื่นๆ ร่างหาเซียนปัญจธาตุก็สามารถป้องกันได้

ทว่าเมื่อเจอกับกระบี่ผนึกเซียน เกรงว่าแม้แต่กระบี่เดียวก็ยังรับไว้ไม่ได้

ไม่เพียงแต่คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตเท่านั้น วรยุทธ์ที่มีหลักการใกล้เคียงกันที่เหลือ ต่างถูกกระบี่ผนึกเซียนกดข่ม

ความแข็งแกร่งในด้านพลังฝึกปรือของเหวินไต้หง ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าแทบไม่ด้อยไปกว่าหลงฮั่นหัวที่อยู่ในระดับเดียวกัน สมกับเป็นบุคคลที่โด่ดเดนในหมู่ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์

กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอไม่คิดจะใช้ร่างมหาเซียนปัญจธาตุฝืนรับกระบี่ผนึกเซียนของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

ประกายกระบี่สีดำสว่างขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอพลิกมือแทงนิ้วแทนกระบี่ โต้ตอบด้วยท่ากระบี่ผนึกเซียน

เส้นสายสีดำหลายสายพาดขวางอยู่ระหว่างฟ้าดิน นำมาซึ่งความน่ากลัวจากความตาย

ฟ้าดินรอบๆ ถูกครอบคลุม คนจากยอดเขาขาวเรืองกับพวกหวังซุ่นต่างถูกประกายกระบี่สีดำที่น่ากลัวห้อมล้อม

กระนั้น ขณะที่ประกายกระบี่หลายสายตัดสลับกัน เพียงแค่ปะทะกันเอง ไม่ได้ทำอันตรายคนที่ชมดูอยู่เช่นพวกเขา

‘กระบี่ผนึกเซียนของการสืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้ถึงกับมีระดับล้ำลึกขนาดนี้…’ พวกหวังซุ่นแตกตื่นตกใจ ขณะที่ดำดิ่งอยู่ในการต่อสู้ระดับสูงตรงหน้า สองฝ่ายที่สู้กันก็พลันหยุดมือ

ทุกคนตกใจ ‘เกิดอะไรขึ้น’

เห็นเหวินไต้หงมีสีหน้าพ่ายแพ้ ดวงตาซับซ้อนอยู่บ้าง

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ เงยหน้าส่งเสียงถอนใจยาว จากนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าน้อยแพ้แล้ว!”

“วิชากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์แพ้ให้แก่วิชากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ ไม่ได้น่าขายหน้า” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย

คนที่เหลือประหลาดใจเหลือแสน ในการต่อสู้กันเมื่อครู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรต่างก็สูสีคู่คี่ ไฉนเหวินไต้หงจึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

เขาเป็นคนดื้อด้านคนหนึ่ง ถือทิฐิและชอบเอาชนะ ไม่อย่างนั้นเขาจะขวางทางท้าสู่เยี่ยนจ้าวเกอหรือ ไฉนจึงยอมแพ้ง่ายถึงเพียงนี้

“สหายร่วมเส้นทางเหวิน ท่านที่แท้…” หวังซุ่นมองเหวินไต้หงอย่างเหลือเชื่อ

เหวินไต้หงมองพวกเขาแวบหนึ่ง สีหน้าซับซ้อนกว่าเดิม ถอนใจกล่าว “ข้างหลังพวกท่าน”

………………..