บทที่ 648.1 ไร้กระบี่ให้ออก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หมัดของผู้ฝึกยุทธเฉาสือ

กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่หนิงเหยา

ราวกับว่าเกิดมาก็ได้ครอบครองภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

‘นกในกรง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มแรกของเฉินผิงอัน ‘กฎเกณฑ์’ กระบี่บินของฉีจิ่งหลงที่ว่ากันว่าได้มาจากการอ่านตำรา ทั้งสองคนสามารถใช้วิชาอภินิหารของกระบี่บินสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ แต่เมื่อเทียบกับสองฝ่ายแรกแล้วกลับเป็นคนละเรื่องกันเลย

ดังนั้นเมื่อหนิงเหยาเดินนำออกจากขบวน ถือเจี้ยนเซียนบุกทะลวงค่ายกลรบ

กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่เดิมทีก็หยุดชะงักมิอาจเดินหน้ากลับต้องเริ่มถอยร่นอย่างที่มิอาจควบคุมตัวเองได้ นี่เป็นเหตุให้กองกำลังทหารของเส้นแนวรบแรกของกองทัพใหญ่ยิ่งเบียดเสียดกันจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้

บางทีนี่อาจเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าฟ้าให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง หมื่นสรรพสิ่งก็มีสัญชาตญาณต่อการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เหมือนกับที่คนสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนความหนาวของการผลัดเปลี่ยนสี่ฤดูกาลกระมัง

อันที่จริงเฉินผิงอันก็คาดหวังให้หนิงเหยาได้ออกกระบี่อย่างไร้ความกังวลมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาเขายังไม่เคยเห็นหนิงเหยาที่แท้จริงบนสนามรบมาก่อน

ส่วนเจี้ยนเซียนที่เฉินผิงอันต้องผ่านความยากลำบากนานัปการกว่าจะพอกำราบพยศมันได้บ้าง ยามอยู่ในมือของตน นิสัยของอีกฝ่ายเอาแต่ใจราวกับนายท่านใหญ่ ผลคือพอไปอยู่ในมือหนิงเหยากลับว่านอนสอนง่ายราวกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ แต่เฉินผิงอันไม่ถือสาแม้แต่น้อย

หนิงเหยาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนปล่อยกระบี่แรกออกไป

เจี้ยนเซียนในมือของนางมีแสงสีทองไหลวน บวกกับชุดคลุมอาคมสีทองที่เดิมทีก็สะดุดตาผู้คนบนสนามรบอยู่แล้ว ยิ่งขับให้หนิงเหยาที่อยู่บนสนามรบเวลานี้ปานประหนึ่งองค์เทพผู้สูงศักดิ์ที่ลงมาเดินเยื้องย่างอยู่ในโลกมนุษย์

อาศัยโอกาสนี้ เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถามรายละเอียดของการฝ่ายทะลวงค่ายกลก่อนหน้านี้มาจากเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว ยกตัวอย่างเช่นจำนวนคร่าวๆ รูปโฉม วิชาอภินิหารและวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทองเผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงมากพอ แล้วก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ถอยร่น ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันอยู่ที่การตามหาผู้ฝึกกระบี่เดนตายที่หลบซ่อนตัวอยู่ ทำให้พลาดเรื่องอะไรไปหลายๆ อย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้

หากถามเตี๋ยจ้างหรือต่งฮว่าฝูก็เปลืองน้ำลายเปล่า ตลอดทางที่เข่นฆ่าปล่อยกระบี่บินพุ่งชนอุตลุดนี้ คาดว่าแม้แต่คุณความชอบใหญ่ๆ ที่ตัวเองสร้างไว้ สองคนนี้ก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันใช้ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจเอ่ยเตือนทุกคนด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว “การบุกทะลวงขบวนรบต่อจากนี้พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องการสังหารศัตรูให้ตายคาที่มากนัก ข้ากับฟ่านต้าเช่อจะคอยช่วยแทงกระบี่ซ้ำให้เอง นอกจากหนิงเหยาที่ฝ่าค่ายกลซึ่งไม่ต้องคิดอะไรมาก เรื่องที่สำคัญที่สุดในการออกกระบี่ของซานชิวพวกเจ้าสี่คนก็คืออาศัย ‘อาการบาดเจ็บโดยไม่ทันระวัง’ จากการโจมตีเป็นวงกว้าง มาบีบให้พวกนักรบเดนตายเปิดเผยพิรุธ แล้วข้าจะชี้ตัว ชี้ตำแหน่งคนเหล่านั้นให้เอง หากโอกาสเหมาะสมพวกเจ้าสามารถออกกระบี่จัดการได้ด้วยตัวเอง ข้ากับฟ่านต้าเช่อจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงมือ จะคอยตามติดไปด้านหลัง หากไม่มีเวลาพอให้คิดพิจารณาจริงๆ ก็คอยฟังคำเตือนจากข้า ดูเวลาและสถานที่ให้เหมาะสม พยายามช่วยกันล้อมสังหารอีกฝ่ายให้ได้”

อันที่จริงฟ่านต้าเช่อตื่นเต้นเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังคงกังวลว่าตัวเองจะเป็นภาระของสหาย เวลานี้พอได้ฟังการวางแผนจัดกำลังอย่างละเอียดจากเฉินผิงอันก็พอจะวางใจได้หลายส่วน

“ต้าเช่ออ่า”

เฉินผิงอันเอ่ยกับฟ่านต้าเช่อเพียงคนเดียว “พอหัวร้อน ความองอาจห้าวหาญที่เสแสร้งแกล้งทำจะไม่ใช่ความองอาจห้าวหาญได้อย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มเอ่ยว่า “ก็จริงนะ”

รูปลักษณ์ของต่งฮว่าฝูในเวลานี้ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเด็กหนุ่มกับบุรุษหนุ่ม มีเพียงชื่อที่บิดามารดาตั้งให้ ไม่มีฉายาที่สหายในยุทธภพที่ตั้งให้ผิดๆ ต่งถ่านดำ ตัวเขาก็ดำอยู่จริงๆ และคาดว่าชีวิตนี้ก็คงสลัดฉายานี้ไม่หลุดแล้ว ต่งถ่านดำที่ทุ่มทองพันชั่ง กับต่งฮว่าฝูที่ไม่คิดติดหนี้

แต่เขาดันถือหงจวงที่ชื่อมีกลิ่นอายของสตรีเข้มข้น แล้วลักษณะยัง ‘อ่อนหวาน’ อย่างมาก เพราะตัวกระบี่บอบบางราวกับกิ่งหลิว

เจิ้นเยว่ในมือของเตี๋ยจ้าง เถ้าแก่ใหญ่สตรีที่มีแขนข้างเดียว แต่แท้จริงแล้วมีเรือนร่างอรชร คือสตรีที่หน้าตางามพิสุทธิ์คนหนึ่ง ทว่ากระบี่ที่พกกลับเป็นกระบี่ใหญ่ที่ตัวกระบี่กว้างมาก

ต่งฮว่าฝูกับเตี๋ยจ้างที่จิตสังหารเข้มข้นที่สุดตามติดอยู่ด้านหลังของหนิงเหยา หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พยายามช่วยหนิงเหยาที่ฝ่าทะลวงค่ายกลนำหน้าไปก่อนฉีกกระชากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจให้เกิดช่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

หากจะบอกว่าการออกกระบี่ของหนิงเหยาที่เป็นผู้นำจะเป็นตัวตัดสินความเร็วในการฝ่าขบวนรบของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นหน้าที่ของเตี๋ยจ้างกับต่งฮว่าฝูก็ไม่เบาเหมือนกัน หากพลังสังหารจากค่ายกลกระบี่ของทั้งเจ็ดคนไม่ใหญ่มากพอ ต่อให้ทะลวงขบวนรบสำเร็จ ใช้ความเร็วที่มากที่สุดบุกลงใต้ขยับเข้าใกล้แม่น้ำเส้นยาวสีทองที่มีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์เส้นนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้มีความหมายต่อตลอดทั้งสถานการณ์การสู้รบสักเท่าไร

เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วที่ตำแหน่งคร่าวๆ อยู่ด้านหลังต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างจำเป็นต้องคอยช่วยคนทั้งสองสร้างความมั่นคงให้กับเส้นแนวรบ สังหารเผ่าปีศาจที่อยู่ในแนวขวางของสนามรบให้ได้มากกว่าเดิม

การบุกทะลวงขบวนรบกำลังจะเริ่มขึ้น

เฉินผิงอันก็เก็บสีหน้าอารมณ์ ปล่อยสมาธิจมจ่อมอยู่กับหน้าที่ตรงหน้า ขี่กระบี่แนบติดพื้นสูงแค่ไม่กี่ฉื่อเท่านั้น บางทีตัวตนของตนอาจหลอกพวกผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักรบเดนตายบางคนไม่ได้ แต่ก็มีผลประโยชน์แบบแอบแฝงอยู่อย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้นพยายามจะรักษาความมั่นคงให้กับสถานการณ์บนสนามรบ โดยใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนสำคัญนอกเหนือจากพวกเดนตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่มีการสบตากันเกิดขึ้นแล้วมองมาทาง ‘ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่ม’ โดยไม่ทันระวัง เฉินผิงอันก็จะมีโอกาสในการตามหาศัตรูที่เป็นคนสำคัญได้มากขึ้น

คิดจะทำการค้าครั้งใหญ่ก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยทุกบาททุกสตางค์

เมื่อผู้ฝึกกระบี่ทั้งหกคนรุดหน้าไปเรื่อยๆ

เฉินผิงอันที่คอยคุมหลัง ตำแหน่งก็เคลื่อนมาอยู่ท้ายสุดของสนามรบโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วจู่ๆ เขาก็พลันคลี่ยิ้ม

ต้องเป็นหนิงเหยาที่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นถึงจะงดงามที่สุดจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะรังเกียจว่าคุณชายผู่อวี๋สวมชุดคลุมสีขาวหิมะ กลับจดจำไม่ได้แล้ว

แน่นอนว่าเมื่อหนิงเหยาอยู่ในสนามรบ ไม่ว่าเวทอำพรางตาใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด หนึ่งเพราะผู้ฝึกกระบี่ข้างกายที่เป็นเพื่อนสนิทของนางล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ที่อยู่ในช่วงเวลาปียิ่งใหญ่อันดีงามนี้ด้วยกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือการออกกระบี่ของหนิงเหยาโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป

เพราะถึงอย่างไรคนที่เชิดชูหลักการที่ว่ามีฝีมือมากก็ไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย หากใช้กำลังแค่สี่ส่วนก็สามารถสังหารศัตรูได้ก็จะไม่ใช่กำลังห้าส่วนเด็ดขาด แล้วพอตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา แม้แต่หน้ากากของสตรีก็ยังยินดีสวมใส่ ถึงขั้นที่ว่ายังแสร้งเป็นพวกเดียวกับเผ่าปีศาจได้อย่างเฉินผิงอันนี้ ก็มีให้เห็นไม่เยอะจริงๆ

ร่างของหนิงเหยาพุ่งวูบออกไป พริบตาเดียวก็ห่างไปข้างหน้าหลายสิบจั้ง ปาดกระบี่ออกไปในแนวขวาง

บนเส้นแนวรบแรกของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ สนามรบที่กว้างถึงร้อยกว่าจั้ง เผ่าปีศาจล้วนถูกแสงกระบี่สีทองเส้นนั้นฟันขาดครึ่งท่อน

ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่รับผิดชอบตรวจตราสนามรบคอยออกคำสั่งอยู่ด้านหลัง ใช้วิชาอภินิหารอย่างหนึ่งทุ่มกระแทกเข้าใส่เผ่าปีศาจในแนวหน้าหลายสิบตนที่พอเจอกับศัตรูแล้วขลาดกลัวถอยร่น

หนิงเหยาพลิ้วกายไปเบื้องหน้าเป็นแนวเส้นตรง หลังส่งกระบี่หนึ่งออกไปแล้วก็คร้านจะออกกระบี่อีกครั้ง ใช้แสงกระบี่นั้นฟันผ่าร่างของเผ่าปีศาจ แล้วใช้ปราณกระบี่ท่วมท้นบนร่างช่วยเปิดทางให้ตัวเอง มองดูแล้วคล้ายคลึงจั่วโย่วที่เวทกระบี่สูงส่งที่สุดผู้นั้นอยู่มาก ปราณกระบี่มีมากเกินไป พลังอำนาจโชติช่วงเกินไป ราวกับมีค่ายกลกระบี่ฟ้าดินขนาดเล็กที่แข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย นางคิดจะออกกระบี่เล่นงานใครก็ต้องดูก่อนว่าคนผู้นั้นมีค่าพอให้นางลงมือหรือไม่

ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจเองก็ไม่ยินดีและยิ่งไม่กล้าอยู่เฉยๆ รอความตาย ทั้งอาวุธวิเศษหลายสิบชิ้น สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตหลายชิ้นล้วนพากันทุ่มเข้าใส่ปราณกระบี่กลุ่มนั้นอย่างบ้าคลั่ง ส่วนข้อที่ว่าจะลามไปโดนกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่บนเส้นแนวรบเดียวกันหรือไม่ ก็ไม่มัวมาสนใจอีกแล้ว หวังเพียงแค่จะทำลายฟ้าดินปราณกระบี่ที่ฉายประกายเฉียบคมนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้หนิงเหยาฝ่าขบวนรบมาแบบนี้ พวกเขาจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งกองกำลังจะถูกผลาญไปอย่างว่องไว สงครามที่ถูกสถานการณ์ใหญ่ห่อหุ้มเอาไว้ สามารถเอาชีวิตมาแลกเป็นผลงานทางการศึกได้ แต่บนสนามรบที่แท้จริงบางแห่งกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะทำเช่นนั้นได้

เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงเหยาก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้

ถึงอย่างไรก็แค่มองหนิงเหยาเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งไปซะ อย่าได้สนใจว่าแท้จริงแล้วนางมีขอบเขตอะไร

จะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหรือก่อกำเนิดก็ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นความจริงที่ทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็ให้การยอมรับ

ทันใดนั้นหนิงเหยาก็พุ่งตรงเข้าไปยังสนามรบที่กองกระดูกทับถมอยู่เต็มพื้น บนเส้นแนวรบนั้นเผ่าปีศาจที่ถูกปราณกระบี่แตะไปโดนล้วนร่างแหลกสลาย แม้แต่จิตวิญญาณก็โดนปั่นคว้านจนเละ สมบัติอาคมและอาวุธวิเศษที่ขว้างใส่บ้างก็เสียหายบ้างก็แตกหัก ไม่อาจสกัดกั้นความเร็วในการรุดหน้าของนางมาได้แม้แต่น้อย หนิงเหยาคนเดียวพกกระบี่พุ่งเข้ามาในใจกลางกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจในเวลาเพียงเสี้ยววินาที มือข้างหนึ่งเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อยกำเจี้ยนเซียนที่มีแสงสีทองล้อมพันให้กระชับแน่น อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วทำมุทราง่ายๆ แสงสีทองทั้งหลายที่ไหลรินอยู่บนเจี้ยนเซียนก็พลันกระจายตัวออกไปสี่ทิศ บนสนามรบที่กินรัศมีหลายร้อยลี้ นอกจากผู้ฝึกตนโอสถทองที่เผ่นหนีไปทันเวลา และผู้ฝึกตนที่ดึงเอาวัตถุป้องกันชีวิตมาใช้ได้ทันกาลแล้ว ทุกคนล้วนตายสิ้น

เฉินผิงอันมองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ในใจก็ราวกับมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งผลิบาน

และเสี้ยววินาทีถัดมา ร่างของหนิงเหยาที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้ง แต่กลับเงื้อกระบี่ฟันเข้าใส่เผ่าปีศาจโอสถทองตนหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมองทิศไกลพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “มานี่”

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเผ่าปีศาจที่กำลังบัญชาการณ์กองกำลังใต้บังคับบัญชาอย่างลนลานผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะ ‘โชคดี’ ได้รับกระบี่นี้เพียงลำพัง จึงรีบเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา คืออาวุธเก่าแก่โบราณรูปร่างคล้ายหอกง้าว ด้านบนสลักอักขระสีทอง เผ่าปีศาจโอสถทองใช้สองมือกุมอาวุธแล้วหมุนควงเป็นวงกลม นึกไม่ถึงว่าอาวุธชิ้นนั้นจะจำแลงถาดกลมขนาดใหญ่ที่มีอักขระสีทองอ่อนจางลักษณะคล้ายค่ายกลปกป้องขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งออกมาได้ ไม่เพียงเท่านี้ตัวอักษรลายเมฆสีทองอ่อนที่ร้อยเรียงกันเป็นแถวบนด้ามหอกง้าวนี้ยังเหมือนกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ แผ่อาบไปทั่วร่างของเขา ให้ประสิทธิผลเช่นเดียวกันเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่สวมทับบนร่าง

ใช้ค่ายกลยันต์ปกป้องเบื้องหน้าตัวเองอย่างแน่นหนา แล้วจึงสวมเสื้อเกราะที่เหมือนเกราะเทพรับน้ำค้างของสำนักการทหารไว้อีกหนึ่งชิ้น และเดิมทีเรือนกายของเผ่าปีศาจก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว

สมบัติอาคมชิ้นนั้นได้ทั้งรุกและป้องกันในคราวเดียวกัน ย่อมต้องเป็นสมบัติหนักของตระกูลเซียนที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน

หากอยู่ในใต้หล้าไพศาล คาดว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดมาเห็นเข้าก็ยังต้องน้ำลายสออยากครอบครอง

น่าเสียดายก็แต่เมื่ออยู่ภายใต้เส้นยาวสีทองที่ฟันแสกหน้าลงมา ผู้ฝึกตนโอสถทองเผ่าปีศาจที่มีทั้งค่ายกลยันต์และเสื้อเกราะทองก็ยังถูกผ่าออกเป็นสองท่อน

บนพื้นดินก็ยิ่งถูกเส้นยาวสีทองที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนั้นกรีดให้เป็นร่องลึกยาว

ทำลายค่ายกลยันต์ ฟันเสื้อเกราะทอง ผ่าเรือนกาย ด้วยการปล่อยกระบี่ง่ายๆ ครั้งเดียวของหนิงเหยาเท่านั้น

ในขณะที่หนิงเหยาหยุดชะงักอยู่บนสนามรบครู่เล็กๆ นั้น อันที่จริงกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจรอบด้านได้พากันถอยร่นหนีตายอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ว่าเมื่อนางเอ่ยสองคำง่ายๆ ว่า ‘มานี่’ ภาพเหตุการณ์ประหลาดก็พลันเกิดขึ้น

สี่ทิศรอบกายหนิงเหยาล้วนมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ยุคบรรพกาลที่เหมือนได้รับคำสั่งจึงพากันพุ่งลงมาสู่พื้นดินในแนวดิ่ง ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีเป็นเส้นๆ กลุ่มๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ไม่เพียงแต่ถูกผู้ฝึกกระบี่เด็กรุ่นหลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนหนึ่งสั่งให้เผยกายเป็นครั้งแรก ยังสามารถดูดซับเอาปราณกระบี่เปี่ยมล้นที่อยู่ในฟ้าดิน ปณิธานแก่นกระบี่สี่เส้นที่สูงขึ้นไปเหนือทะเลเมฆ ลึกลงไปถึงใต้ดินนั้นพากันขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นเหมือนเสาต้นหนึ่งในบ้านหลังใหญ่

สุดท้ายก็มีเสาปณิธานกระบี่สี่ต้นที่เชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกันตั้งตระหง่านอยู่สี่ทิศของฟ้าดินแห่งนั้น

จากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็แบ่งปณิธานกระบี่เล็กยิบย่อยออกมาอีกนับไม่ถ้วน ตัดสลับฉวัดเฉวียน แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน

คราวนี้รอบกายของหนิงเหยาไม่เหลือคนรอดชีวิตอยู่บนสนามรบแม้แต่คนเดียว อีกทั้งกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจทั้งหมดที่ไม่ว่าจะเป็นเรือนกาย จิตวิญญาณ วัตถุแห่งชะตาชีวิตหรืออาวุธก็ล้วนแตกกระจายเละเทะไปพร้อมกัน

หนิงเหยาทะยานร่างไปข้างหน้าอีกครั้ง ทิ้งระยะห่างจากผู้ฝึกกระบี่ด้านหลังมาช่วงใหญ่

ปณิธานกระบี่สี่กลุ่มนั้นกลับมารวมตัวเป็นเส้นเดียวกันได้ด้วยตัวเอง แล้วจึงติดตามล้อมวนอยู่รอบกายหนิงเหยาราวกับเงาตามตัว

เป็นเหตุให้นอกค่ายกลใหญ่ปราณกระบี่ของหนิงเหยาเองแล้วยังมีปณิธานกระบี่คอยปกป้องอยู่ด้วย

อันที่จริงกระบี่ยาวสีทองที่อยู่ในมือไม่ได้มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือสักเท่าไร

ฟ่านต้าเช่อที่ต่อให้จะเป็นคนกันเอง พอเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว

หากหลินจวินปี้มีโอกาสได้เห็นภาพนี้ คาดว่าคงบอกกับตัวเองว่าแม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติแล้ว จะไม่รู้สึกเสียใจผิดหวังแม้แต่น้อย กลับมีแต่จะยิ่งรู้สึกดีใจ

พ่ายแพ้ให้แก่หนิงเหยาบนเส้นทางวิถีกระบี่ มีอะไรน่าอายหรือ?

ไม่เชื่อก็ลองไปถามผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวดูสิ มีใครมีความสามารถที่จะขอให้หนิงเหยาลงมือด้วยตัวเองได้บ้าง?

ลองย้อนกลับไปมองดู

ก่อนที่หนิงเหยาจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ยามที่อยู่บนสนามรบ บางทีหลักๆ แล้วอาจทำไปเพื่อการหลอมกระบี่และสังหารศัตรู แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะดูแลความปลอดภัยให้พวกเพื่อนๆ ให้ได้มากที่สุดด้วย

แต่เมื่อหนิงเหยาได้เดินทางไปเยือนใต้หล้าไพศาลมารอบหนึ่งแล้วหวนกลับคืนมาสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สงครามสามครั้งก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่านางจะแค่ช่วยพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิวฝึกวิชากระบี่เท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิชากระบี่ใดให้นางฝึกได้อีกแล้ว