ตอนที่ 2702

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,702 : ห่างออกไปล้านลี้

 

อาจกล่าวได้ว่า…

 

ฉินอวี่นั้นกังวลถึงเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาหลังจากนี้นัก!

 

หากย้อนเวลากลับไปได้ มันไม่มีวันกล่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้ไม่ถึง 5 ปีออกมาแน่!

 

เพราะสุดท้ายแล้วการนำเรื่องนี้มาเปิดเผย ก็มีแต่จะส่งผลร้ายต่อต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ไม่มีผลดีอันใด!

 

ได้ยินคำพูดตัดบทของฉินอวี่ แม้อ๋องฉินกับอ๋อง 3 จะยังคลางแคลงใจไม่หาย แต่ทั้งคู่ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็หันไปกวาดตามองร่างผู้คนที่เหลือรอดกลางอากาศทั้งหลายทันที

 

นอกจากคนที่อยู่ในอัฒจันทร์ที่นั่งบุคคลพิเศษแล้ว เหล่าคนของ 16 ที่มาร่วมงานคราวนี้นับว่าประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง!

 

“ทุกคน…”

 

อ๋อง 3 กล่าวเรียกความสนใจของทุกคนเล็กน้อย สองตามองกวาดไปยังคนของ 16 มณฑลรอบหนึ่ง จากนั้นก็เหินร่างไปหยุดอยู่หน้ากลุ่มคนจากอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษ ค่อยกล่าวคำขอโทษออกมา “ทางวังฉินของเราไม่คิดมาก่อนเลยว่าการจัดงานประลอง 16 มณฑลคราวนี้ จะเกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก…ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย”

 

“อ๋อง 3 ท่านเกรงใจไปแล้ว…”

 

พอเห็นอันดับที่ 2 ในเขตปกครองวังฉินกล่าวคำขอโทษออกมาจากใจ เหล่าผู้ที่มาในฐานะแขกรับเชิญให้อยู่ในอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับบุคคลพิเศษก็พากันส่ายหน้า โดยเฉพาะคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับวังฉินก็โบกมือปัดๆ เป็นทำนองไม่ถือสา กล่าวคำออกมาอย่างไม่โกรธเคือง

 

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกเราเห็นกันชัดเจนว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย เช่นนั้นอ๋อง 3 ก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษพวกเราหรอก…”

 

“ถูกแล้วอ๋อง 3 เรื่องในวันนี้ทั้งหมดเป็นเพราะยอดฝีมือจากนิกายสือหังเซียนทั้งสิ้น…ตัวตนระดับยอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนลงมือเช่นนี้ วังฉินท่านจะรับมือไม่ได้ก็ไม่แปลก เพราะกระทั่งประเทศอมตะยังไม่มีปัญญาจะต่อต้านผู้อื่นเขาเลย…”

 

“ท่านอ๋อง 3 พลังฝีมือท่านลึกล้ำกว่าพวกเรา ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าด่านพลังของหญิงชรา ยอดฝีมือนิกายสือหังเซียนนางนั้น ที่แท้บรรลุขอบเขตใด?”

 

“ท่านอ๋อง 3…ยอดฝีมือนิกายสือหังเซียนผู้นั้น ที่แท้ใช่ขุนนางอมตะหรือไม่?”

 

 

เหล่าคนจากอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษไม่เพียงแต่จะไม่ถือโทษโกรธเคืองวังฉิน แต่ยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนัก! ทั้งหมดสนใจในด่านพลังฝึกปรือของยอดฝีมือนิกายสือหังเซียนมาก อยากรู้ให้ได้ว่านางบรรลุขอบเขตขีดขั้นอันใด…

 

“ยอดฝีมือจากนิกายสือหังเซียนผู้นั้น นางมีฐานะเป็นถึงผู้อาวุโสหลักในนิกายสือหังเซียน…และเท่าที่ข้าทราบ ด่านพลังฝึกปรือของชนชั้นอาวุโสหลักของนิกายสือหังเซียน อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงขุนนางอมตะ!!”

 

เผชิญหน้ากับคำถามด้วยสีหน้าแววตาลุกวาวอยากรู้อยากเห็นของผู้คนทั้งหลาย อ๋อง 3 ก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ค่อยกล่าวตอบออกไปเสียงดังฟังชัด

 

ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ!!

 

สิ้นคำกล่าวอ๋อง 3 ผู้คนโดยรอบก็เงียบลงทันที

 

แม้หลายๆคนในที่นี้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ว่ายอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนผู้นั้นอาจเป็นถึงตัวตนทรงพลังขอบเขตขุนนางอมตะ แต่ถ้ายังไม่ได้รับคำยืนยัน ทั้งหมดก็ยังเป็นแค่การคาดเดาไปเรื่อย…

 

ตอนนี้พออ๋อง 3 กล่าวยืนยันออกมาจริงๆ จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไรไหว!

 

ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!

 

ผู้คนโดยรอบพากันสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ บ้างก็ขนลุกซู่! เนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

 

“ให้ตาย…ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย…ว่ายอดฝีมือจากนิกายสือหังเซียนผู้นั้นจะเป็นถึงตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะจริงๆ…”

 

“เหอะๆ ในเขตปกครองวังฉินของพวกเรา…ดูเหมือนจะไม่มีขุนนางอมตะปรากฏตัวขึ้นหลายร้อยปีแล้วมิใช่หรือ?”

 

“ใช่ที่จริงก็แทบจะครอบรอบพันปีแล้ว ที่ไม่มีตัวตระดับนั้นผ่านมา…บอกตามตรงกระทั่งตอนนี้ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อตาตัวเองจริงๆ ไม่คิดเลยว่าการมาร่วมชมการประลอง 16 มณฑลคราวนี้ ข้าจะมาสนาได้เห็นขุนนางอมตะตัวเป็นๆ…คุ้ม! การมาคราวนี้ช่างคุ้มค่ามารดามันนัก!!”

 

“เหอะๆ…ข้ากลับสำนักไปเมื่อไหร่นะ จะเอาเรื่องที่ได้เห็นขุนนางอมตะตัวเป็นๆไปอวดสหายให้พวกมันอิจฉาเล่น! และดูท่ายังสามารถคุยทับพวกมันได้อีกนาน เพราะครานี้ข้าไม่ได้เห็นขุนนางอมตะเฉยๆ แต่ได้เห็นการลงมือเข่นฆ่าของขุนนางอมตะอีกด้วย!!”

 

 

เหล่าคนของขุมพลังทั้งหลายที่ได้รับเชิญจากวังฉิน พากันกล่าวด้วยความคึกคักอักโข แต่ละคนแลดูถูกอกถูกใจนักที่ได้พบเจอตัวตนระดับขุนนางอมตะ

 

ราวกับการที่ได้เห็นขุนนางตัวอมตะตัวเป็นๆ และเห็นการลงมือของอีกฝ่าย ช่างเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่น่าอวดเสียนี่กระไร!

 

ได้เห็นความคึกคักของแต่ละคน อ๋อง 3 ก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง

 

“อะแฮ่ม ๆ… ”

 

อ๋อง 3 กระแอมออกมาเบาๆ 2 ครั้ง เมื่อปลุกสติทุกคนให้กลับมาสนใจตัวเองได้แล้ว ก็เริ่มกล่าวต่อออกมาทันที “เอาล่ะทุกท่าน วังฉินของพววกเรายังมีเรื่องที่ต้องเร่งสะสางอีกมาก…หากพวกท่านมีผู้ใดคิดพักผ่อนที่วังฉินเราสักสองสามวัน ข้าจะขอให้คนมาจัดการให้”

 

“และหากพวกท่านคิดจากไป…ข้าจะให้คนไปส่งพวกท่านเอง”

 

อ๋อง 3 กล่าวออกเสียงดังฟังชัด

 

“ฮ่าๆๆ…ท่านอ๋อง 3 เกรงใจเกินไปแล้ว เอาล่ะท่านอ๋อง 3 ข้าเองก็มีธุระที่ต้องไปสะสางในพรรคเช่นกัน ส่งกันพันลี้อย่างไรก็ต้องจาก เช่นนั้นข้าลาท่านตรงนี้เลยเถอะ! ไว้พบกันใหม่”

 

คนผู้หนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็ประสานมือกล่าวคำลาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เหินร่างขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง พริบตาก็ออกนอกเขตวังฉินไปแล้ว

 

“อ๋อง 3 ข้าเองก็ไม่รบกวนท่านแล้ว…ไว้พบกันใหม่!”

 

“อ๋อง 3 วันหน้าข้าค่อยมารบกวนท่าน ถนอมตัวด้วย”

 

“ท่านอ๋อง 3 ข้าน้อยขอลาไปก่อน”

 

 

จากนั้นเหล่าคนในอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษก็เริ่มทยอยกันร่ำลา และเดินทางกลับทันที เพราะคนเหล่านี้อย่างไรก็เป็นแขกรับเชิญของวังฉิน จึงไม่ได้มากพิธีอะไรนัก

 

และการได้เห็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะที่ยากพานพบกับตา แถมได้เป็นประจักษ์พยานในการลงมือสังหารด้วยพลังอันเหนือชั้นของอีกฝ่าย! ก็ทำให้แขกรับเชิญของวังฉินหลายต่อหลายคนรู้สึกตื่นเต้นยินดีนัก บ้างก็อยากรีบกลับไปอวดให้สหายที่ขุมพลังงของตัวฟังโดยเร็ว

 

เรียกว่าไม่ทันไร ที่ลอยร่างอยู่เหนือท่ามกลางเศษซากเวทีประลองและอัฒจันทร์ที่นั่ง ก็คงเหลือแต่คนของ 16 มณฑลกับคนของวังฉินเท่านั้น…

 

“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ เปิ่นหวางมิได้ต้องการให้มันเกิดขึ้นเลย…”

 

คราวนี้ถึงตาอ๋องฉินก้าวออกมากล่าวคำบ้าง มันกวาดตามองคนที่ยังเหลือรอดอยู่ด้วยสีหน้าอึมครึม กล่าวออกเสียงหนัก

 

“เรื่องครานี้นับว่าทำให้ทุกมณฑลต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่แล้วจริงๆ…เช่นนั้นนอกจากของรางวัลที่เปิ่นหวางสัญญาว่าจะมอบให้ 10 อันดับแรกแล้ว เปิ่นหวางจะมอบโอสถต้าหลัวให้แต่ละมณฑลเป็นพิเศษมณฑลละ 1 เม็ด”

 

อ๋องฉินกล่าวคำออกมาเสียงดังฟังชัด

 

และทันทีที่อ๋องฉินกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา เหล่าคนของ 16 มณฑลที่เดิมหงอยเหงาซึมเซาจากการสูญเสีย ก็เสมือนได้ฟื้นคืนความฮึกเหิมขึ้นมาทันที!

 

 

จะอย่างไรเสียผู้คนที่ยังเหลือรอดอยู่ตรงนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อยู่ใต้อำนาจวังฉินทั้งสิ้น

 

เช่นนั้นอ๋องฉินย่อมไม่ปฏิบัติต่อพวกมันอย่างเลวร้าย และอย่างไรเสียการตบรางวัลคราวนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากส่งเสริมคนในขุมกำลังของตัวเอง…

 

หลังจากที่จัดแจงให้คนของ 16 มณฑลเข้าที่พักชั่วคราวเสร็จแล้ว อ๋องฉินกับอ๋อง 3 ก็พาฉินอวี่ไปยังห้องโถงกลางของวังฉิน

 

ห้องโถงกลางของวังฉินนั้นช่างกว้างขวางโอ่อ่านัก การตกแต่งอะไรก็ยอดเยี่ยมแลดูหรูหรามีระดับ จนฉินอวี่ที่พึ่งมาถึงเป็นครั้งแรกอดไม่ได้ที่จะชมดูจนละลานตาอยู่บ้างกว่าจะตั้งสติได้

 

ตั้งแต่เกิดมา มันจะไปเคยเห็นสถานที่งดงามแลดูหรูหราแบบนี้ที่ไหน?

 

“อวี่เอ๋อ…ตอนนี้ก็เหลือกันแต่พวกเราลุงหลาน 3 คนแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด”

 

อ๋อง 3  เอ่ยกับฉินอวี่

 

แม้ว่าอ๋องฉินจะไม่พูดอะไร แต่ก็พยักหน้าให้ฉินอวี่ด้วยรอยยิ้มเป็นการให้กำลังใจ

 

ฉินอวี๋ก็พยักหน้ารับเบาๆ

 

หลังจากนั้นมันก็เริ่มเล่าความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเท่าที่มันรู้ออกไป และทุกสิ่งอย่างที่มันได้ประสบพบเจอหลังจากที่รู้จักกับต้วนหลิงเทียนทั้งหมด โดยที่ไม่ปิดบังอะไรเลย

 

เพราะตอนนี้มันรู้ดี ว่าหากยังมีอะไรปิดบัง ต้องไม่พ้นสายตาของลุงทั้ง 2 แน่ เช่นนั้นมันจึงกล่าวเล่าออกไปทั้งหมด

 

หลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากฉินอวี่แล้ว อ๋องฉินกับอ๋อง 3 ถึงกับต้องหันหน้าไปมองสบตากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเห็นความตื่นตระหนกตกตะลึงและความทึ่งในสายตาอีกฝ่ายชัดเจน

 

หากไม่ใช่เพราะฉินอวี่เล่าเรื่องราวได้ละเอียดยิบ พวกมันคงไม่มีวันเชื่อได้ลงคอเลย…

 

ว่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนและอายุไม่ถึงร้อยปี จะกระทำสิ่งที่น่าตกใจมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี!

 

แน่นอนว่าทุกการกระทำที่ว่า หากเอ่ยเล่าขึ้นมาลอยๆก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมายอะไร กระทั่งฟังดูแล้วก็แค่เรื่องธรรมดาๆเท่านั้น…

 

แต่ทว่าหากเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่ง…

 

ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงเทียนแห่งนี้ได้ไม่ถึง 5 ปีและมีอายุไม่ถึงร้อยปีล่ะก็…

 

มันมากพอจะทำให้ผู้คนตกใจกันยกใหญ่!

 

“หากกล่าวไม่ผิด…ตอนอยู่ในระนาบโลกียะ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้สมควรได้รับสืบทอดมรดกของยอดคนจากกระนาบเทวโลกมาเป็นแน่! ที่สำคัญยอดคนที่ว่ายังเป็นสุดยอดฝีมือที่ต่ำๆก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ! เพราะต้วนหลิงเทียนมีแม้กระทั่งยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า…ไม่น่าแปลกใจเลย”

 

อ๋อง 3 อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ อนาคตช่างไร้ขีดจำกัดนัก! อวีเอ๋อ…เจ้าได้รู้จักกับตัวตนเช่นนี้ นับเป็นพรอันประเสริฐในชีวิตเจ้าจริงๆ”

 

อ๋องฉินหันไปกล่าวกับฉินอวี่ด้วยสายตาทึ่งๆ

 

เพราะตอนนี้กระทั่งอ๋องฉินกับ อ๋อง 3 ก็ยังคงรู้สึกว่า…

 

ทุกสิ่งอย่างที่ฉินอวี่กล่าวออกมาช่างอัศจรรย์จนน่าเหลือเชื่อนัก

 

แต่อย่างไรพวกมันก็ยังคงเชื่อคำพูดของฉินอวี่

 

นั่นเพราะหลายอย่างที่ฉินอวี่เล่ามา ตราบใดที่พวกมันส่งคนไปตรวจสอบเล็กน้อย ก็สืบทราบความจริงได้ไม่ยาก พวกมันจึงไม่กังวลเรื่องที่ฉินอวี่จะปั้นน้ำเป็นตัวเลย ไม่เหมือนกับตอนแรกที่ฉินอวี่ยังไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมาย…

 

“ตอนนี้ข้ากังวลยิ่ง…ไม่รู้ต้วนหลิงเทียนจะหนียอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนนั่นได้พ้นหรือไม่ แล้วใช่จะถูกตามรอยจนเจอไหม เพราะอย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ไม่น่าจะมีของล้ำค่าอย่างยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าเป็นแผ่นที่ 2”

 

ฉินอวี่กล่าวจบก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา

 

เพราะถึงแม้ครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนจะหลบหนียอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนไปได้ แต่มันก็ยังเป็นห่วงต้วนหลิงเทียนไม่หาย ว่าจะหนีรอดปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่…

 

“อวี่เอ๋อ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง”

 

อ๋อง 3 ที่เห็นหลานเป็นกังวลก็แย้มยิ้มพลางตบบ่าเบาๆ กล่าวสร้างความมั่นใจให้หลานว่า “ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่านั้น เป็นยันต์อมตะหลบหนีที่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะจารึกสร้างขึ้น แถมอัตราความสำเร็จยังน้อยกว่า 1 ใน 100 ส่วนเสียอีก…เช่นนั้นเจ้าคิดว่ามันจะเป็นเพียงยันต์อมตะหลบหนีธรรมดาๆได้หรือ?”

 

“ข้าบอกต่อเจ้าไว้ตรงนี้เลย ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่านั้น เมื่อเปิดใช้งานมันจะส่งร่างผู้ใช้ให้พุ่งทะลุความว่างเปล่า ข้ามระยะนับล้านลี้ในเสี้ยวพริบตา…ยิ่งไปกว่านั้นยามยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าสำแดงผล มันจักลอกเลียนกลิ่นอายพลังของผู้ใช้ แล้วทิ้งร่องรอยปลอมๆของผู้ใช้ไว้ทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง”

 

อ๋อง 3 กล่าวออกด้วยความมั่นใจ “เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวเลยว่าสหายของเจ้าจะถูกตามรอยจนเจอ แล้วจะต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะยอดฝีมือผู้นั้นอีกรอบ”

 

“แบบนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้วท่านลุง”

 

ฉินอวี่พยักหน้า

 

“จริงสิ ท่านลุงใหญ่ ท่านลุง 3…”

 

ทันใดนั้นเอง ดวงตาฉินอวี่ก็เผยประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ราวกับพึ่งนึกอะไรได้ออก จึงมองอ๋องฉินสลับกับอ๋อง 3 เล็กน้อยค่อยถามออกไปด้วยความสงสัย “ว่าแต่ไฉนอยู่ๆวังฉินของพวกเราถึงได้จัดการประลอง 16 มณฑลขึ้นมาเล่า ด้วยมีรางวัลเป็นโอสถต้าหลัวเช่นนี้…คงมิได้คิดจัดอันดับความแข็งแกร่ของรุ่นเยาว์ทั้ง 16 มณฑลเฉยๆกระมัง?”

 

“ย่อมมิใช่แน่นอน”

 

อ๋อง 3 ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อวี่เอ๋อ…พวกเราถึงกับใจป้ำแจกรางวัลยกใหญ่ขนาดนี้เพื่อจัดการประลอง 16 มณฑลขึ้นมา แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราจะทำการกุศลมิได้แสวงหากำไรอันใดจริงๆหรือ?”

 

“เช่นนั้น…เป็นเพราะอะไรหรือท่านลุง”

 

ฉินอวี่ถามต่อด้วยความสงสัย

 

 

ห่างออกไปจากวังฉินนับล้านลี้ บริเวณหุบเขาเปลี่ยวร้างแสนวังเวงแห่งหนึ่ง…

 

“ข้ามาถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย?”

 

ร่างในชุดสีม่วงที่สภาพแลดูมอมแมม ค่อยๆเหินร่างขึ้นมาลอยล่องเหนือหุบเขาแล้วหันมองไปซ้ายทีขวาที

 

ร่างในชุดสีม่วงนี้เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาแลดูไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง หากแต่ชุดสีม่วงของมันช่างดูไม่ได้นัก ทั้งไหม้ดำทั้งขาดิ่น รากับคนพึ่งบุกฝ่าดงระเบิดมาหมาดๆ…

 

ชายหนุ่มหล่อเหล่าเผยลักษณะไม่ธรรมดาคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนที่ใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า หลบหนีออกมาจากวังฉินต่อหน้าต่อตายอดฝีมือของนิกายสือหังเซียน…ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ!

 

‘คราวนี้ก็ไม่เหลือตัวช่วยชีวิตอะไรแล้ว…หลังจากนี้หากไม่ได้ยันต์หลบหนีว่างเปล่ามาติดตัวไว้อีกสักแผ่น ข้าไม่คิดเสี่ยงเหมือนวันนี้อีกเด็ดขาด’

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างหวาดเสียว ในใจย้อนนึกถึงห้วงเวลาที่เขาใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าขึ้นมาอีกครั้ง…