ตอนที่ 2704

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,704 : ฮ่วนเอ๋อ

 

‘จะว่าไปพลังวิญญาณฟ้าดินแถวนี้ก็ไม่เลวเลย ถึงจะไม่หนาแน่นเท่าห้องศิลาชั้นล่างสุดของหลุมมังกรซ่อนในจวนผู้ว่ามณฑลจิ่วโยว แต่ก็หนาแน่นกว่าที่อื่นที่ข้าเคยอยู่…เช่นนั้นก็บ่มเพาะมันที่นี่เลยแล้วกัน รอให้ทะลวงด่านพลังได้ก่อนค่อยลองดูใหม่อีกรอบ ว่าจะออกไปได้ไหม’

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางเล็กน้อย สุดท้ายก็เลือกจะนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ไม่แยแสว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบจะเป็นอะไร

 

มือหนึ่งถือไว้ด้วยหินมตะระดับสูง อีกมือสะบัดเรียกโอสถออกมาตบเข้าปาก

 

“ผลึกรัศมีลี้ลับ”

 

ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนเริ่มเปล่งพลังดูดรั้งไร้สภาพออกมา ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากโดยรอบให้เข้าสู่ร่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโคจรไปตามชีพจรพลังทั้ง 99 สายตามเคล็ดวิชาทีละเส้นๆ สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด

 

ระดับพลังสั่งสมของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

 

‘ด้วยระดับพลังในร่างข้าตอนนี้…คงอีกไม่นานก็ทะลวงผ่านไปถึงจินเซียนตะวันน้ำเงินได้สำเร็จ’

 

เมื่อเกือบปีก่อนหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนได้รับโอสถหลิวจินจากเจิ้งชิว เมื่อรับประทานลงไปด่านพลังบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงผ่านขอบเขตจินเซียนตะวันเหลือง บรรลุถึงจินเซียนตะวันเขียวได้อย่างราบรื่น

 

แน่นอนว่าไฉนเขากำลังจะบรรลุอีกขั้นได้ในเวลาสั้นๆไม่ถึงปีเช่นนี้ นอกจากความเร็วในการบ่มเพาะจากชีพจรสวรรค์ 99 สายแล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้โอสถหลิวจิน

 

เพราะโอสถหลิวจินนั่น ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาทะลวงไปถึงจินเซียนตะวันเขียวได้อย่างราบรื่น หากแต่ผลของมันยังทำให้พลังบ่มเพาะในร่างของเขาเข้าใกล้จินเซียนตะวันน้ำเงินอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในสถานที่อันไม่คุ้นเคยแบบนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็ยังคงสติเอาไว้

 

ตราบใดที่รอบกายปรากฏความเคลื่อนไหวเป็นภัยแม้เพียงเล็กน้อย เขาจะตื่นขึ้นทันที

 

พื้นที่ลวงตาที่ต้วนหลิงเทียนติดอยู่แห่งนี้ ก็ยังคงเปลี่ยนแปลงฉากเรื่องราวโดยรอบทุกๆ 2-3 วัน

 

จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา

 

ตอนนี้ฉากเรื่องราวกลายเป็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่งยามค่ำคืน เหนือฟ้าปรากฏจันทร์กระจ่างทอแสงนวลตา

 

ซากปรักหักพังทั้งหลายเบื้องล่างมองไปก็เป็นบ้านของผู้คน อีกทั้งกลางซากบ้านจะมีหลุมศพให้เห็น บางหลุมศพก็เรียบง่าย บ้างก็ใหญ่โตโอ่อ่า หากแต่ทุกหลุมศพกลับมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน…

 

นั่นคือป้ายหลุมศพเป็นเพียงศิลาว่างเปล่า ไม่ได้สลักนามใดๆของผู้ตายเอาไว้

 

และหลังจากที่ฉากซากปรักหักพังใต้แสงจันทร์แห่งนี้ปรากฏขึ้น แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไปอีกหลายวัน แต่มันก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนอีกเลย

 

จวบจนพ้นผ่านไปแรมเดือน มันก็ยังคงอยู่อย่างนี้…

 

ฟิ้ว….

 

ทันใดนั้นเอง แว่วเสียงลมหวนหนึ่งพัดผ่านซากปรักหักพัง หอบหิ้วละอองคลีให้ฟุ้งว่อนขึ้นมาเล็กน้อย

 

และพร้อมกับสายลมเย็นหวิวดังกล่าว พลันปรากฏร่างขาวราวหิมะหนึ่งผุดขึ้นปานภูตผี เบื้องหน้าร่างในชุดสีม่วงที่กำลังนั่งขัดสมาธิกลางหาวเหนือซากปรักหักพัง ดวงตากลมโตสุกใสงามดั่งสารทฤดูกำลังมองด้วยความสนอกสนใจ

 

ร่างในชุดสีม่วงที่นั่งขัดสมาธิกลางหาวเหนือซากปรักหักพังนั้น แน่นอนว่าเป็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้จมจ่อมลงสู่ภวังค์แห่งการบ่มเพาะ

 

อย่างไรก็ตามแม้จะมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกายปานภูตผี แต่เขาก็กลับไม่รู้สึกตัว! ทำราวกับแต่ต้นจนจบเขาไม่อาจสัมผัสการมาถึงของอีกฝ่ายได้เลย!!

 

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

หากต้วนหลิงเทียนสัมผัสถึงจิตมุ่งร้ายได้แม้แต่นิดเดียว ป่านนี้เขาคงตื่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เพราะเขาได้ลับสัญชาตญาณระวังภัยเช่นนี้มาเนิ่นนาน…

 

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

ต้วนหลิงเทียนยังคงนั่งบ่มเพาะพลังไม่รู้เรื่องราว

 

ร่างในชุดขาวราวหิมะ ก็นั่งจ้องมองต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังตาแป๋วกกลางอากาศ แน่นิ่งไปไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นขาว

 

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าเขาห่างจากจินเซียนตะวันน้ำเงินอีกแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น…

 

หากทว่าครึ่งก้าวนี้กลับยากไปต่อ มันตีบตันยากจะผ่าน

 

‘พบจุดรอคอยอีกแล้ว…’

 

ขณะที่ลอบทอดถอนในใจอย่างลับๆ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆฟื้นสติ เขาเหยียดแข้งเหยียดขาก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

วูบ!

 

แต่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา หน้าเขาก็เปลี่ยนสีไปทันที

 

นั่นเพราะเบื้องหน้าปรากฏร่างขาวหนึ่งกำลังยืนจ้องเขาอยู่ แถมอีกฝ่ายยังให้ความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้อง คล้ายไม่ใช่ผู้คน…

 

แต่เป็นภูตผีในป่าเขาเจ้าถิ่น

 

“จะ…เจ้าเป็นใครหรือ?”

 

ในขณะที่ลูกตาหดหยีเล็กลง ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองถามร่างขาวที่ให้ความรู้สึกเลือนรางไม่อาจจับต้องเบื้องหน้า

 

และในที่สุดดวงจันทร์ที่ซุกซ่อนภายใต้เมฆก็เริ่มแย้มออกมาจากเงามืด สาดแสงนวลลงจากฟากฟ้า ส่องสว่างพื้นที่ซากปรักหักพังทั้งร่างขาวให้ต้วนหลิงเทียนได้แลเห็นชัดๆ

 

และพอเห็นร่างขาวเบื้องหน้าได้ชัดถนัดตา ลูกตาที่หดเล็กลงก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็เบิกกว้างขึ้นทันใด สีสันแห่งความทึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชมเผยให้เห็นชัดอย่างไม่รู้ตัว ประหนึ่งได้พบพานเทพธิดาจากฟ้าเบื้องบนที่ลงมาเที่ยวเล่น…

 

ร่างขาวที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน เป็นร่างบอบบางร่างหนึ่ง เมื่อแสงจันทร์จากฟ้าได้ตกกระทบใบหน้าเช่นนี้ รูปโฉมของนางจึงเผยให้ต้วนหลิงเทียนได้เห็นชัดเจน

 

ใบหน้าของนางช่างงดงามเหลือเกิน นับเป็นโฉมงามอันไร้ผู้ต้านที่ชั่วชีวิตยากพบพานสำหรับต้วนหลิงเทียนโดยแท้

 

ก่อนมาเห็นกับตาวันนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าในโลกจะมีสตรีที่มีรูปโฉมงดงามขนาดนี้ดำรงอยู่จริงๆ…

 

สตรีเบื้องหน้ามาในชุดคลุมยาวสีขาวปนเทพธิดา ใบหน้าช่างงดงามราวจิตกรเทพวาดเขียน ดั่งองคาพยพบใบหน้านางได้แต่งแต้มขึ้นมาจากความงามทั้งมวลของแดนสวรรค์

 

อย่างน้อยๆเพียงได้ยลโฉม ก็ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะละสายตาออกมาได้

 

ในอดีตต้วนหลิงเทียนก็เจอสตรีหน้าตาสะสวย บ้างน่ารัก บ้างงดงามอย่างหาได้ยากมามากมาย และยังมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แต่ละแบบแตกต่างกันไป

 

อย่างไรก็ตามเกิดมาต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็นสตรีนางไหนงดงามดั่งเช่นสตรีในชุดขาวเบื้องหน้าเลย

 

นั่นเพราะแม้ร่างบางในชุดขาวเบื้องหน้า จะมีรูปโฉมพิลาศล้ำไร้ที่ติยากมีผู้ใดเทียบเทียมเสมอเหมือน รวมถึงมากเสน่ห์ชวนให้ลุ่มหลงแล้ว แต่แววตาของนางกลับให้ความรู้สึกบริสุทธิ์กระจ่าง ราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่เคยแปดเปื้อนเรื่องราวในโลกียะ

 

ดั่งทารกที่พึ่งถือกำเนิดก็ไม่ปาน

 

“ไร้ที่ติจริงๆ…โลกนี้ยังมีสตรีที่งดงามได้ถึงขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ”

 

ถึงแม้ใจต้วนหลิงเทียนจะสงบดั่งน้ำนิ่งไม่คิดยุ่งกับสตริอื่นใดอีกแล้ว อย่างไรก็ตามพอได้เห็นสตรีเบื้องหน้า ใจที่ด้านชาไม่ต่างจากหลวงจีนชราของต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระเพื่อมเบาๆอยู่บ้าง

 

หากทว่าด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ แรงกระเพื่อมเบาๆในใจก็ดับสลาย หวนคืนสู่ความสงบเงียบทันที

 

เหตุที่ใจเขากระเพื่อมไปบางเบานั้น ทั้งหมดเป็นสัญชาตญาณบุรุษเพศเท่านั้น ไม่ใช่ความตั้งใจของต้วนหลิงเทียน

 

‘หากนางไปปราฏตัวในใต้หล้า…ไม่ทราบจะทำให้ผู้คนหลงงมงายได้ถึงขนาดไหน’

 

ต้วนหลิงเทียนนึกภาพออกเลย

 

หากสตรีชุดขาวนี่ออกไปปรากฏตัวสู่สายตาผู้คนล่ะก็ ได้บังเกิดมรสุมโลหิตแห่งการแก่งแย่งแน่

 

เพราะตราบใดที่ยังเป็นผู้ชายธรรมดา คงยากจะต้านทานเสน่ห์ของนางได้ และหากเป็นบุรุษที่ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ย่อมไม่พ้นต้องคิดครอบครองนางให้จงได้แน่นอน

 

‘หายาก…ช่างหาได้ยากยิ่งนัก’

 

ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มปรากฏคำโฉมงามไร้เทียมทานขึ้น

 

“นี่ๆ เจ้าเป็นผู้ใดหรือ?”

 

ภายใต้สายตามองจ้องด้วยความชื่นชมของต้วนหลิงเทียน สองตาคู่งามดั่งสารทฤดูที่บริสุทธิ์ราวเหนือโลกีย์ ก็ฉายแววซุกซน กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

 

และทันทีที่เสียงถามไถ่ของนางดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนร่างกายอ่อนยวบลงไปในฉับพลัน

 

ใบหน้างดงามไร้ที่เปรียบแล้ว เสียงยังไพเราะเพราะพริ้งนัก

 

“ข้าชื่อต้วนหลิงเทียน”

 

ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่สูดอากาศเข้าลึกๆคำหนึ่งเพื่อสงบจิตใจ ก็กล่าวชื่อตัวเองออกมาเสียงอ่อน

 

“แล้วเจ้าเล่า?”

 

ต้วนหลิงเทียนยังถามต่อ

 

“ข้าเหรอ….”

 

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน สตรีในชุดขาวก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากน้อยๆจะเผยยิ้มอ่อนๆ “ข้าเกิดมาท่านแม่ก็เรียกข้าว่าฮ่วนเอ๋อ…งั้นเจ้าเรียกข้าว่าฮ่วนเอ๋อเหมือนท่านแม่ก็ได้”

 

“ฮ่วนเอ๋อ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวถามสืบต่อว่า “แล้วท่านแม่ของฮ่วนเอ๋ออยู่ที่ไหนหรือ?”

 

ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็ก้มหน้าลงพลางถอนหายใจ “ท่านแม่จากไปไหนแล้วก็ไม่รู้…ท่านแม่บอกให้ฮ่วนเอ๋อรออยู่ที่นี่ เพื่อเฝ้ารอคนที่จะพาฮ่วนเอ๋อออกไป…และคนแรกที่ไม่ทำให้ฮ่วนเอ๋อเกลียดคือคนที่จะพาฮ่วนเอ๋อออกไป”

 

“ฮ่วนเอ๋อ รอแล้วรออีก รออยู่นาน…นานมากๆเลย…จนในที่สุดเจ้าก็มา”

 

กล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่สตรีชุดขาวใช้มองต้วนหลิงเทียน ก็แลดูสดใสร่าเริงฉายชัดถึงประกายแห่งความสุข

 

“ฮ่วนเอ๋อได้ยินท่านแม่เล่าให้ฟังว่าโลกภายนอกสนุกมาก…แต่ท่านแม่ไม่เคยพาฮ่วนเอ๋อออกไปไหนเลย อีกทั้งท่านแม่เคยกำชับฮ่วนเอ๋อไว้ว่าไม่ให้ออกไปไหนเด็ด ถ้าฮ่วนเอ๋อไม่เชื่อฟังแล้วแอบออกไปล่ะก็ ท่านแม่จะโกรธมาก”

 

“เวลาท่านแม่โกรธ…ดุร้ายยิ่ง…”

 

กล่าวถึงประโยคท้าย คล้ายจะนึกอะไรได้ออก สีหน้าของสตรีในชุดขาวพลันฉายชัถึงความกลัว!

 

“ท่านแม่ของฮ่วนเอ๋อบอกว่า…คนแรกที่ฮ่วนเอ๋อเจอแล้วฮ่วนเอ๋อไม่เกลียด จะเป็นคนพาฮ่วนเอ๋อออกไปหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย

 

“หรือว่า…ไม่เคยมีใครมาถึงที่นี่ก่อนข้าเลย?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกรอบ

 

“มีนะ”

 

ฮ่วนเฮ่อกล่าตอบ จากนั้นดวงตากลมใสให้ความรู้สึกดั่งสารทฤดูก็หันไปมองหลุมศพต่างๆ ท่ามกลางซากปรักหักพัง

 

“เห็นหลุมศพพวกนั้นหรือไม่? พวกมันเป็นหลุมศพของคนที่ฮ่วนเอ๋อเจอ…ในบรรดาคนที่เจอมีผู้หญิงเหมือนฮ่วนเอ๋อ แล้วก็มีผู้ชายเหมือนเจ้าที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฮ่วนเอ๋อฟัง”

 

“มีผู้หญิงคนเดียว ส่วนอีก 8 คนที่เหลือเป็นผู้ชายหมดเลย…ตอนผู้หญิงคนนั้นเจอฮ่วนเอ๋อ เหมือนนางจะมองฮ่วนเอ๋อด้วยความ อิจฉา อย่างที่ท่านแม่เคยอธิบายให้ฟัง สายตาแบบนั้นทำให้ฮ่วนเอ๋อไม่ชอบใจยังไงก็ไม่รู้ ฮ่วนเอ๋อเลยฆ่านางทิ้ง”

 

ได้ยินฮ่วนเอ่อพูดเรื่องดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

 

นอกจากสตรีที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างหาได้ยากแล้ว ยังจะมีสตรีสักกี่คนที่เวลาพบเจอคนที่สวยไร้ที่ติอย่างฮ่วนเอ๋อแล้วจะไม่รู้สึกอิจฉา?

 

“ยังมีผู้ชาย 8 คนนั่นอีก…สายตาที่พวกมันใช้มองมา ทำให้ฮ่วนเอ๋อรู้สึกขยะแขยงและรังเกียจมาก เช่นนั้นฮ่วนเอ๋อเลยฆ่าพวกมันหมดเลย”

 

ฮ่วนเอ๋อกล่าว

 

ขณะกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา ฮ่วนเอ๋อทำราวกับการเข่นฆ่าผู้คนทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

 

“มีแต่เจ้าที่มองฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาบริสุทธิ์ ไม่ทำให้ฮ่วนเอ๋อรู้สึกรังเกียจ…ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนที่ท่านแม่บอกฮ่วนเอ๋อไว้แน่ๆ ว่าจะพาฮ่วนเอ๋อออกไปจากที่นี่ ฮ่วนเอ๋ออยากออกไปนานแล้ว เพราะท่านแม่เล่าให้ฟังว่าโลกภายนอกนั้นวิเศษและน่าสนุกสนานยิ่ง”

 

ตอนนี้อาการฮ่วนเอ๋อมองไปไม่ต่างเด็กน้อยอายุขวบครึ่งที่คึกคักอยากเล่นนู่นเล่นนี่เต็มที