บทที่ 649.2 ฝ่าขอบเขตอย่างง่ายดาย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ขุนเขาสี่ลูกที่รวมตัวขึ้นมาจากยันต์กระดาษสีทอง แม้จะเล็ก แต่เวลานี้เมื่อลอยอยู่กลางอากาศก็ยังคงให้บรรยากาศไม่ธรรมดาราวกับขุนเขาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน

กักทั้งเด็กหนุ่มชุดดำและเจ้าคนถือค้อนไว้ในค่ายกลด้วยกัน เพียงแต่ว่าขาดขุนเขากลางลูกนั้นไป จึงมองดูคล้ายจะไม่เพียงพอสักเท่าไร

ยังดีที่ยันต์กระดาษสีทองอีกแผ่นหนึ่งได้กลายร่างเป็นเจียวน้ำยาวหลายจั้งตัวหนึ่ง สุดท้ายก็ยังสร้างสถานการณ์ที่ภูเขาตระหง่านสายน้ำไหลรินขึ้นมาได้สำเร็จ

ปีศาจใหญ่ร่างกำยำที่ถูกทำให้เดือดร้อนจนได้แต่ทุ่มสุดชีวิตเข่นฆ่ากับเด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะเสียดายชีวิตอีกต่อไป อยู่บนสนามรบไม่กลัวตายแล้วต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็มีคนที่กลัวตายแล้วยังต้องยิ่งตายเข้าไปอีก

นิสัยดุร้ายของปีศาจร่างกำยำที่ถือค้อนยักษ์ไว้ในมือพลันกำเริบ เมื่อต้องมาอยู่ในกรงขังอาคมสี่ขุนเขาที่มีเจียวน้ำตัวหนึ่งกระโจนเข้าสังหาร ก็พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มที่หมัดหนักอย่างไร้เหตุผลผู้นั้นทันที หากแลกชีวิตกับอีกฝ่ายได้ก็พร้อมจะแลก!

สุดท้ายก็ถูกหมัดหนึ่งของเด็กหนุ่มต่อยหน้าอกจนแหลกเละ และก่อนจะเป็นเช่นนี้ เพราะถูกเจียวน้ำจากแผ่นยันต์พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่หลายครั้ง เลือดเนื้อของปีศาจร่างกำยำนี้จึงถูกบดขยี้จนเลือดโชกแผลเหวอะหวะอยู่นานแล้ว คาดว่าผลลัพธ์ที่กลายเป็นว่าฝั่งเดียวกันทำร้ายกันเองเช่นนี้ แม้แต่เผ่าปีศาจโอสถทองก็คงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าไม่ได้ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มผู้นั้นต่อยปีศาจร่างกำยำตายแล้วก็ดีดปลายเท้า ทะยานตัวขึ้นสูง จิกหัวของฝ่ายหลังยกขึ้นโหม่งกับเจียวน้ำ ปีศาจร่างกำยำที่เลือกระเบิดโอสถทองด้วยตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปพร้อมกับเจียวน้ำตัวนั้น

ผู้ฝึกตนโอสถทองเพ่งสายตามองไปให้ชัด เด็กหนุ่มคนนั้นกระชากชุดคลุมอาคมที่ขาดวิ่นออก จึงเห็นว่าด้านในยังสวมชุดคลุมของหอภูษาอีกชิ้นหนึ่ง

หน้ากากบนใบหน้านั้นก็แหลกเละไม่เหลือชิ้นดี เด็กหนุ่มจึงกระชากออกอย่างไม่ใส่ใจ ยัดเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แม้แต่ค้อนยักษ์บนพื้นก็หายไปด้วย เพราะถูกเขาเก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ผู้ฝึกตนโอสถทองไม่สนใจยันต์สี่ขุนเขาอีกแล้ว ร่ายใช้วิชาลับเฉพาะอย่างหนึ่งโดยไม่ลังเล จำแลงร่างกลายเป็นควันเขียวหลายกลุ่มที่แยกย้ายกันหนีไป

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดจะไล่ฆ่าผู้ฝึกตนโอสถทองคนนี้ไป ขาดชุดคลุมอาคมชุดหนึ่งที่คอยงัดข้อกับปณิธานหมัดบนร่าง พายุหมัดจึงยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน ผลักให้ขุนเขาขนาดจิ๋วสีลูกที่โงนเงนจะร่วงมิร่วงแหล่ให้ขยับออกห่างไปไกล ระหว่างที่วิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าก็ปล่อยหมัดออกไปไกลๆ สี่หมัด แสงสีทองสี่เส้นพลันแตกกระจาย พริบตาเดียวก็ทำให้ปีศาจเกือบร้อยตนบนสนามรบบาดเจ็บล้มตาย ไม่มีหน้ากากสวมบนใบหน้า ไม่รู้ว่าเป็นใครในกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ตะโกนสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ ขึ้นมาก่อน กองทัพใหญ่ที่เดิมทียังสำรวจการศึกพยายามจะสร้างขบวนรบขึ้นมารับหน้าศัตรูพลันแตกฮือหนีตายกันจ้าละหวั่น

การบุกทะลวงเส้นทางของเฉินผิงอันต่อจากนั้นไม่พุ่งเป็นเส้นตรงอีกต่อไป แต่เลือกจะวาดวงกลมวงใหญ่ขึ้นมาบนสนามรบ ซึ่งเยื้องไปทางด้านหน้าเล็กน้อย ยิ่งเป็นพวกที่หนีได้เร็วก็ยิ่งเป็นคนที่เขาออกหมัดสังหารก่อน

ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเฮือกหนึ่ง ออกหมัดได้ไม่หยุด ขณะที่ต่อยจนใกล้จะหมดแรงก็หาโอกาสพักหายใจ หากสถานการณ์อันตรายก็ฝืนอดทนไว้ก่อนเฮือกหนึ่ง

บนสนามรบ ต่อให้รอบด้านจะเต็มไปด้วยศัตรู แต่สามารถเทียบกับการป้อนหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบได้หรือ? รับมือกับฝ่ายหลัง นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างแท้จริง คำว่าเรือนกายแข็งแกร่ง เมื่ออยู่ภายใต้หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ใช้แรงของขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด ก็ยังเป็นแค่กระดาษเปียกอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ได้แต่อาศัยการคาดเดา อาศัยการเดิมพัน อาศัยสัญชาตญาณ ยิ่งอาศัยการที่คนเดินไปตามหมัดซึ่งแทบจะใกล้เคียงกับวิชาอภินิหาร ใกล้เคียงกับความมีไหวพริบเฉียบไว

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เป็นนักรบเดนตายแฝงตัวอยู่ใกล้เคียง

คำว่าคนผู้หนึ่งตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรู สนามรบก็ไม่ใช่สนามรบเลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงแค่การจับคู่เข่นฆ่ากันมาโดยตลอด

หลี่เอ้อเคยบอกว่าปีนั้นไม่ทันระวังเกือบจะสังหารซ่งจ่างจิ้งที่ต่อสู้กับเขาตัวต่อตัวตายไป คุณสมบัติของอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีผู้นั้นย่อมดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหมัดของเขาในเวลานั้นยังเบาเกินไป และการที่ตอนนั้นซ่งจ่างจิ้งสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนั้นก็เป็นเพราะซ่งจ่างจิ้งไม่ได้แค่เป็นผู้ฝึกยุทธอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นนักสู้ที่บุกเข่นฆ่าออกมาจากสนามรบด้วย ฝึกขัดเกลาวิชาหมัดบนสนามรบมานาน แน่นอนว่าต้องมีภาพบรรยากาศของ ‘หนึ่งคนหมื่นศัตรูบนสนามรบ’ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นค่อยขัดเกลามันให้ปรุโปร่ง หวนกลับคืนธรรมชาติความเป็นจริง ยามที่คู่ต่อสู้ต้องเข่นฆ่ากับเขาก็เหมือนเจอกับทัพศัตรูนับพัน จะรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า

ตอนนี้เฉินผิงอันอยู่บนสนามรบก็กำลังแสวงหาขอบเขตชั้นแรกของปรากฎการณ์เช่นนี้ ขุนเขาสายน้ำนับพันนับหมื่น ผู้ที่เข้ามาอยู่ใกล้ตัวได้อย่างแท้จริง จะมีภูเขาสูงสายน้ำกว้างใหญ่ได้จริงสักเท่าไร?

ขอแค่ออกหมัดหนักหน่วงมากพอ เรือนกายว่องไวมากพอ สายตามองเห็นได้อย่างแม่นยำมากพอ ก็หนีไม่พ้นต้องขึ้นเขาลงห้วย ‘ค่อยๆ’ ผ่านแต่ละจุดแต่ละสถานที่มาอย่างเชื่องช้า

หลังจากนั้นเฉินผิงอันที่ปล่อยหมัดอย่างฮึกเหิมสาแก่ใจก็ยิ่งปล่อยหมัดได้อย่างบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเดินเท้าก็ดี หรือพุ่งทะยานก็ช่าง ล้วนเป็นท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ทุกเวลานาที ออกหมัดใช้แค่สามกระบวนท่าอย่างม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ เทพตีกลองสายฟ้าและไอเมฆเหนือบึงใหญ่เท่านั้น

แม้ว่าหลี่เอ้อเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แต่ปีนั้นที่ป้อนหมัดอยู่ในซากปรักจวนเซียนบนยอดเขาสิงโตกลับไม่เอ่ยสัจธรรมแห่งหมัดอะไรมากนัก บางครั้งที่เอ่ยพูดไม่กี่ประโยคก็เป็นถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา บอกว่าฟังมาจากเจิ้งต้าเฟิงที่พร่ำพูดอยู่บ่อยๆ หลี่เอ้อบอกกับเฉินผิงอันว่า คำพูดเหล่านี้บางทีเจ้าฟังไปอาจจะมีประโยชน์ ถึงอย่างไรถ้อยคำที่เป็นสัจธรรมวิชาหมัดไม่กี่คำก็ไม่ได้มีน้ำหนักสักเท่าไร ฟังไปแล้วก็ไม่ทับคนตาย

หนึ่งในนั้นก็มีประโยคหนึ่งบอกว่า ในสายตามีศัตรูคอยออกหมัดอยู่ตลอดเวลา ในปณิธานไร้ศัตรูย่อมเชี่ยวชาญทุกสิ่ง วิชาหมัดยิ่งใหญ่ ทุกหนทุกแห่งล้วนอยู่ในวิชาคาถา วิชาคาถาไร้อุปสรรคขัดขวางทุกเวลานาที

การฝ่าทะลวงค่ายกลครั้งนี้ เฉินผิงอันทั้งไม่มีทางใช้หมัดสังหารพวกปีศาจที่ดุร้ายซึ่งคำรามไม่หยุดอย่างอำมหิต แล้วก็ไม่มีทางออมมือให้กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอายุน้อยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แววตาวิงวอนขอร้อง

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเพียงแค่ออกหมัดอย่างเดียวเท่านั้น

ผู้ที่มีวิชาสูงรอดชีวิต ผู้ที่หมัดเบาตาย

ผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันที่อยู่บนสนามรบสีหน้านิ่งเฉย แววตาเย็นชา

หนิงเหยาเพียงแค่เอ่ยเตือนฟ่านต้าเช่อไปประโยคหนึ่งว่า “อย่าเข้าไปใกล้เขา”

ยิ่งนานความคิดของเฉินผิงอันก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ความคิดความกังวลทั้งหมดของก่อนหน้านี้ล้วนถูกวางลง ขยับเข้าไปใกล้ขอบเขต ‘ลืมการออกหมัดของตัวข้าเอง’ ของหลี่เอ้อมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ ยิ่งไม่ได้ใช้ชูอี สืออู่ หรือแม้แต่ซงเจิน ไฮเหลยที่สามารถชักนำเรือนกายได้ก็ยังไม่ได้เรียกออกมา

ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างนกในกรงและดวงจันทร์ใต้บ่อก็ยิ่งมีประโยชน์มากกว่า จึงไม่มีทางปล่อยให้ปรากฎตัวก่อนเวลาเด็ดขาด

จุดที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจรวมตัวกันหนาแน่นที่สุด คนยังไม่ทันมาถึงแต่ปณิธานหมัดกลับพุ่งไปก่อนแล้ว

หนิงเหยายังคงตามหาเผ่าปีศาจโอสถทองและก่อกำเนิดที่ขอบเขตค่อนข้างสูง

ฟ่านต้าเช่อยังคงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่เมื่อเทียบกับตอนที่หนิงเหยาบุกทะลวงค่ายกลก่อนหน้านี้ซึ่งคนทั้งกลุ่มได้แต่ขี่กระบี่ตามมาด้านหลัง ครั้งนี้เฉินผิงอันใช้หมัดทะลวงขบวนรบ โอกาสออกกระบี่ของฟ่านต้าเช่อจึงเพิ่มมากขึ้นแล้ว

เพราะก่อนหน้านั้นหนิงเหยาคนเดียวพกกระบี่ทะลวงขบวนรบเร็วเกินไป

ปีกซ้ายขวาของเส้นแนวรบจากเหนือไปใต้ ผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มที่ลงมาจากเมืองมาเข่นฆ่ายังอยู่ห่างจากแม่น้ำยาวสีทองเส้นนี้ไปไกลมาก ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ อีกทั้งยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ความเร็วในการฝ่าขบวนรบสังหารศัตรูก็ยิ่งช้าลง ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้สูงว่าไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องถอยกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลัดกับผู้ฝึกกระบี่กลุ่มสองที่พักเตรียมกำลังอยู่บนหัวกำแพงเมืองมาลงสนามรบ รับมือกับศึกชักคะเย่อที่มีกองกระดูกขาวโพลนเต็มพื้นที่นี้

จุดอื่นบนสนามรบกว้างขวางซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำยาวสีทองกับกำแพงเมือง ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่เจาะทะลวงขบวนรบลงใต้ไปได้เร็วที่สุดก็ได้แค่ผลักดันสนามรบไปถึงครึ่งทางเท่านั้น และนี่ยังเป็นเพราะมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่างฉีโซ่วช่วยเปิดทางให้แล้วด้วย

พวกเตี๋ยจ้างสี่คนย้อนกลับเหนือ ร่วมกับผู้ฝึกกระบี่ที่ลงใต้หลายสิบคนซึ่งอยู่บนเส้นแนวรบด้านข้าง หนึ่งหัวหนึ่งหาง ช่วยกันบดขยี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ

ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์อายุน้อยทั้งสี่คนยืนเรียงกันเป็นแถว ต่างคนต่างทิ้งระยะห่างต่อกันประมาณเจ็ดสิบแปดสิบจั้ง ไม่ได้เน้นในเรื่องความเร็วและความลึกอีกแล้ว แต่พยาพยามจะทำให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด นี่จึงเป็นเหตุให้ทั้งสี่คนเริ่มเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวอย่างเจิ้นเยว่ หงจวง จิงซู จื่อเตี้ยน แล้วเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใครของมันออกมาอยู่ในท่าขี่กระบี่ บุกสังหารกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่

ชื่อของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินซานชิวคือ ‘กวางขาว’ หนึ่งในวิชาอภินิหารของกระบี่บินก็คือสร้างทัศนียภาพกวางขาวคาบหลิงจือ เมื่ออยู่บนสนามรบจะมีกวางขาวตัวใหญ่เท่าบ้านปรากฏกาย คำว่าคาบหลิงจือก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเฉินซานชิว ทั่วร่างของกวางขาวคือแสงกระบี่ที่เปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ รอบด้านมีหิมะปลิวปราย อีกทั้งยังสามารถรวบรวมปราณวิญญาณมาได้ด้วยตัวเอง ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

บนสนามรบ กวางขาวที่แสงกระบี่ตลอดร่างเป็นสีขาวพร่างพราวดุจหิมะพุ่งชนรอบด้านอย่างกำเริบเสิบสาน พลังพิฆาตสูงอย่างถึงที่สุด

เล่าลือกันว่าก่อนที่เฉินซานชิวจะฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาได้ ตอนเป็นเด็กเคยฝันกลางวันว่ามีกวางตัวหนึ่งเดินมาหยุดเบื้องหน้า แล้วทรุดตัวลงหมอบคลาน เป็นฝ่ายยอมรับเขาเป็นนาย

ดังนั้นการที่บอกว่าเฉินซานชิวขึ้นชื่อเรื่องความมีเสน่ห์ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นั่นแสดงว่าเขาต้องมีดีอย่างแท้จริง

ชาติตระกูลดี นิสัยดี รูปโฉมดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย พรสวรรค์ฐานกระดูกดี นอกจากพฤติกรรมยามเมามายของนายน้อยเฉินที่แย่ไปสักหน่อย ก็แทบจะหาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้อีก

อีกทั้งวัตถุวิเศษอย่างกวางขาวนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อมโยงกับชะตาบุ๋นที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอย ดังนั้นเมื่อเฉินซานชิวได้ ‘จิงซู’ (คัมภีร์) หนึ่งในกระบี่โบราณที่สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งต้าหลีมาครอง จึงช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินซานชิวเป็นกระบี่บินที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารสองอย่างซึ่งหาได้ยากยิ่ง นอกจากเรียกกระบี่บินให้กวางขาวปรากฏกายแล้ว ยังสามารถเพิ่มโชคชะตาบุ๋นให้แก่เฉินซานชิวอย่างที่มองไม่เห็น ดังนั้นอันที่จริงเฉินซานชิวจึงเป็นทั้งตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดและเป็นทั้งเมล็ดพันธ์บัณฑิตก่อนกำเนิด

ต้องรู้ว่าในใต้หล้าไพศาล อริยะลัทธิขงจื๊อที่มีขอบเขตเป็นเซียนกระบี่ ในสถานศึกษาใหญ่สามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่ง ตอนนี้มีอยู่แค่สองคนเท่านั้น

น่าเสียดายที่เฉินซานชิวเกิดมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีบัณฑิตอยู่น้อยนิดเท่าหยิบมือ ประเด็นสำคัญคือเฉินซานชิวยังแซ่เฉิน จึงไม่อาจไปเยือนต่างบ้านต่างเมืองที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่โรงเรียน มีเสียงอ่านตำราดังกังวานได้

ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ปลดยศผู้มีพรสวรรค์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงทุกคนล้วนมีเรื่องเล่า

ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบดื่มเหล้า ไม่ว่าใครก็สามารถดื่มจนเมามายได้ ต่อให้ดื่มจนเมาตายก็ยังมีเหตุผล

หนิงเหยาคอยตามหลังเฉินผิงอันที่ออกหมัดอย่างเต็มที่ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ตลอดเวลา

นางพอจะสัมผัสได้ถึงความคิดหนึ่งของเฉินผิงอันอย่างเลือนราง เป็นความคิดที่บางทีตอนนี้เฉินผิงอันเองอาจจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

หากหมัดของข้าสูงถึงนอกฟ้า สนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ที่เป็นศัตรูกับข้าเฉินผิงอัน ไม่ต้องออกกระบี่ ล้วนต้องตายสิ้น

หนิงเหยาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ไม่ดี แต่ก็รู้สึกอีกว่าบางทีนี่อาจจะไม่ได้ดีที่สุด เหตุผลมีเพียงข้อเดียว เขาคือเฉินผิงอัน

ดังนั้นหนิงเหยาจึงตะโกนเรียก “เฉินผิงอัน”

บนสนามรบ เฉินผิงอันรีบเก็บหมัดหยุดยืนนิ่ง หันหน้ามามองด้วยความสงสัยเล็กน้อย

จิตแห่งกระบี่ของฟ่านต้าเช่อเกิดไม่มั่นคงขึ้นมาทันที เพียงแต่ว่าความรู้สึกประหลาดนี้วูบหายไปในชั่วพริบตา

หนิงเหยาเอ่ย “ออกหมัดต่อไป ข้าอยู่ด้านหลัง”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดหนิงเหยาถึงเอ่ยประโยคนี้ แต่ก็ยังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ก่อนหน้านี้ได้เก็บชุดคลุมอาคมที่ยืมมาจากผังหยวนจี้ซึ่งขาดวิ่นไปแล้ว ชุดคลุมอาคมที่อยู่บนร่างตัวนี้ก็ยิ่งขาดร่องแร่งจนไม่ต้องเก็บแล้ว เขาจึงใช้ปณิธานหมัดกระเทือนให้สลายไปเบาๆ เศษซากของชุดอาคมจึงเหมือนผู่กงอิงที่ปลิวไปตามลม

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ชุดคลุมอาคมสีเขียวของจวนหนิงก็ถูกเก็บลงไปด้วย ดังนั้นตอนนี้เฉินผิงอันจึงสวมแค่ชุดคลุมตัวยาวที่ทำมาจากวัสดุผ้าธรรมดาที่สุดตัวหนึ่งเท่านั้น

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พ่นเลือดข้นเหนียวหนืดออกมาคำใหญ่ โดยไม่ทันรู้ตัว บนสนามรบในรัศมีหลายสิบจั้งที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็ไม่เหลือเผ่าปีศาจที่มีชีวิตรอดอยู่แล้ว

เฉินผิงอันสะบัดข้อมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ แล้วคลายออก สองมือล้วนมีกระดูกขาวโผล่ออกมา นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว แน่นอนว่าต้องรู้สึกเจ็บ เพียงแต่ว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่ได้สัมผัสมานานเช่นนี้กลับทำให้เขาสบายใจ

ไม่เจ็บปวดเสียหน่อย จะเรียกว่าฝึกหมัด ฝึกตนได้อย่างไร

เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล สุดท้ายเงยหน้าขึ้น ถึงได้มองเห็นตัวอักษรใหญ่ที่สลักบนกำแพง เป็นตัวอักษรที่เขาคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

เหมิ่ง (ดุดัน/ห้าวหาญ)

ตัวอักษรนี้เขียนได้อัปลักษณ์จริงๆ

เฉินผิงอันมองม่านฟ้าตามจิตใต้สำนึก

มาช้าได้ แต่ห้ามไม่มาเด็ดขาดเชียวนะ

ต่อให้จะแค่กลับมามองกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นบ้านเกิดครึ่งตัวแค่แวบเดียวก็ยังดี ส่วนจะออกหรือไม่ออกกระบี่ก็รอให้มาถึงก่อนค่อยว่ากันก็ได้

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า แต่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ากระบี่ยาวจากหอกระบี่เล่มนั้นพังยับไปนานแล้ว

จึงหยิบเอาดาบอาคมเผ่าปีศาจก่อกำเนิดที่เป็นเผ่าพันธุ์ย้ายขุนเขาเล่มนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ดาบแคบคมกริบ แสงดาบวาววับ

เฉินผิงอันกุมดาบอาคมไร้เจ้าของเล่มนี้ไว้ในมือ ระดับขั้นของมันสูงมาก คือสมบัติอาคมชั้นหนึ่ง ลองชั่งน้ำหนักดูเบาๆ น้ำหนักหนักพอสมควร จึงเปิดขบวนรบไปต่ออีกครั้ง

ครู่หนึ่งต่อมา

ฟ่านต้าเช่อก็อดไม่ไหวหันกลับมามองด้านหลัง

หนิงเหยานวดคลึงหว่างคิ้ว

เบื้องหน้าของคนทั้งสอง เฉินผิงอันถือดาบเหวี่ยงฟันไปอุตลุด

ฟ่านต้าเช่อรู้สึกว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำว่าฟันโจรกระมัง

แล้วทันใดนั้น

หนิงเหยาก็ปล่อยกระบี่ออกไป

ไม่ได้ไปช่วยเฉินผิงอัน ต่อให้คนที่ลอบโจมตีเขาจะเป็นนักรบเดนตายผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่งก็ตาม

และคนที่ร่วมมือกับคนผู้นี้ โดยเลือกจะลอบสังหารหนิงเหยา ก็คือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนก่อนหน้านี้ที่เชี่ยวชาญด้านการอำพรางตัว

คู่รักเทพเซียนบนภูเขาส่วนใหญ่ หากเป็นผู้ที่ขอบเขตสูง การเลือกในเวลานี้ ต่อให้ไม่ช่วยคนที่ขอบเขตต่ำ ก็จะต้องเกิดความลังเลเสี้ยวหนึ่งอย่างอดไม่ได้

แต่หนิงเหยากลับไร้ความคิดวุ่นวาย กลับกลายเป็นว่าจิตแห่งกระบี่ยิ่งสว่างไสวแจ่มชัด

นางสังหารศัตรู เขาจะได้มีชีวิตรอด

หนิงเหยาเชื่อตัวเอง ยิ่งเชื่อในตัวของเฉินผิงอัน

หนิงเหยาที่จงใจกดขอบเขตไว้ที่คอขวดโอสถทองมานานหลายปี ทันใดนั้นก็ฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างง่ายๆ

พอออกกระบี่ไปแล้ว หนิงเหยายังแบ่งสมาธิลอบชำเลืองมองไปยังหัวกำแพงเมืองได้อีก

เฉินชิงตูยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่บนหัวกำแพง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

เว่ยจิ้นที่อยู่ด้านข้างยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เหตุใดถึงจงใจกดการฝ่าทะลุขอบเขตของหนิงเหยาเอาไว้?”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน ไม่ต้องจงใจช่วงชิงยศศักดิ์เลื่อนลอยเพื่อกลายเป็นเซียนกระบี่คนแรกในประวัติศาสตร์ที่อายุต่ำกว่าสามสิบอะไรนั่นหรอก จำเป็นด้วยหรือ?”

เว่ยจิ้นที่เป็นเซียนกระบี่ตอนอายุสี่สิบยังคงไม่เข้าใจ “หนิงเหยาไม่ได้ดึงหญ้าช่วยให้เติบโตเสียหน่อย แต่เป็นการกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านใช้วิถีกระบี่ของตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มายับยั้งการฝ่าคอขวดก่อกำเนิดของหนิงเหยา ด้วยสาเหตุใด?”

เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ข้าคือเว่ยจิ้น?”

เว่ยจิ้นหมดคำพูดตอบโต้

เริ่มนึกถึงวันเวลาที่เคยมีผู้อาวุโสจั่วโย่วอยู่บนหัวกำแพงเมืองเสียแล้ว

ความหมายในคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คือ เจ้าคือเฉินชิงตูหรือไร?

เฉินชิงตูเอ่ยต่ออีกว่า “ใช้วิถีกระบี่ยับยั้ง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูแคลนแม่หนูหนิงเกินไปแล้ว”

ผู้เฒ่าชุดเทาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่สนใจว่าสงครามจะดุเดือดน่าสังเวชแค่ไหน ไม่เคยถามไถ่ไยดี เอาแต่หลับตาทำสมาธิอยู่ในกระโจมเจี่ยจื่ออยู่ตลอดเวลา

เวลานี้ผู้เฒ่าลืมตาขึ้น ยิ้มเอ่ยกับเฉินชิงตูโดยตรง “แบบนี้ผิดกฎแล้วนะ”

เฉินชิงตูตอบกลับ “ไม่ยอมแพ้? ขึ้นมาตีกันบนหัวกำแพงเมืองไหมล่ะ?”