ตอนที่ 1973 ตัวตนที่น่าตกตะลึง

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1973 ตัวตนที่น่าตกตะลึง

 

จี่อู๋หมิงยิ้มและกล่าว “สาวน้อย เจ้าไม่สู้ต่อแล้วงั้นรึ?”

 

“ผู้อาวุโส!” ซูหย่าหรงคุกเข่าลงกับพื้น และมีหยดน้ําตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ท่าทางของนางในตอนนี้ดูตื่นเต้นเกินกว่าจะพรรณนา

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

 

ดูจากท่าทีของซูหย่าหรงแล้ว ราวกับว่าต่อให้จี่อู๋หมิงต้องการจะสังหารนาง นางก็ยินดียื่นคอออกไปให้อีกฝ่ายสังหารแต่โดยดี

 

แต่จักรพรรดินั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับพลัง เป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมศิโรราบต่อผู้อื่น?

 

ยิ่งกว่านั้นคือ ในตอนแรกนั้นดูเหมือนว่าซูหย่าหรง จะไม่ตระหนักถึงตัวตนของจี่อู๋หมิง มาก่อนเลยด้วยซ้ํา จนกระทั่งนางได้ยินคําพูดของอีกฝ่าย

 

แท้จริงแล้ว… จี่อู๋หมิงเป็นใครกันแน่?

 

แต่ที่สําคัญ ซูหย่าหรงเองก็ต้องมีสถานะอีกสถานะหนึ่งด้วยเช่นกัน!

 

หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “พวกเจ้าคิดจะรําลึกความหลังกันสองคน โดยไม่เล่าอธิบายอะไรเลยงั้นรึ?”

 

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะรับรู้” จี่อู๋หมิงกล่าวอย่างไม่แยแส ดวงตาของเขาจดจ้องมาที่หลิงฮัน พร้อมกับแสงสีทองได้ส่องประกายอยู่ภายในดวงตาของเขาอย่างลึกลับ “นอกจากแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีสองชนิดแล้ว ภายในร่างกายของเจ้าสมควรมีอย่างอื่นอยู่ด้วย… มันเป็นสิ่งที่ล้ําค่าอย่างมาก เพราะแม้แต่ข้าเองก็มองไม่ออกว่ามันคืออะไร!”

 

หลิงฮันตกตะลึง นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทใดกัน!

 

นอกจากแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีแล้ว อีกฝ่ายจะสัมผัสถึงหอคอยทมินได้ด้วย เพียงแต่จากที่หอคอยน้อยกล่าว ตราบใดที่เขาไม่ใช้อํานาจของหอคอยทมิฬต่อหน้าราชานิรันดร์ ไม่มีทางเด็ดขาดที่ราชานิรันดร์ระดับล่างจะสัมผัสถึงหอคอยทมิฬได้

 

เพียงแค่จี่อู๋หมิงนั้นไม่ใช่ราชานิรันดร์ระดับสูง แต่เป็นเพียงนิรันดร์ห้านิพพานเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะตรวจสอบพบเจอหอคอยทมิฬ?

 

เอี๋ยนเซียนลู่และพวกซานจี้ถงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน หลิงฮันมีแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพี่อยู่ถึงสองชนิด!

 

แก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพี่นั้น เปรียบแล้วก็เหมือนกับแร่โลหะนิรันดร์ที่ราชานิรันดร์ส่วนใหญ่ทําได้เพียงเพ้อฝันจะครอบครอง ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น แต่หลิงฮันที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับโลกียนิพพานกลับครอบครองพวกมันถึงสองเรื่องเช่นนี้ใครจะทําได้เชื่อได้ลงกัน?

 

ยิ่งกว่านั้น ในร่างกายหลิงฮันก็ดูเหมือนจะมีสมบัติ ที่ล้ําค่ากว่าแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่อีกด้วย

 

สิ่งนั้นคืออะไรกัน?

 

พวกเอี๋ยนเซียนลู่ทั้งสามคนไม่อาจจินตนาการได้เลย

 

หลิงฮันสงบจิตใจและกล่าวกลับไป “ร่างกําเนิดใหม่ของราชานิรันดร์งั้นรึ?” สายตาของเขาไม่ได้มองไปที่จี่อู๋หมิงเพียงคนเดียว แต่ยังมองไปยังซูหย่าหรงด้วย

 

ในเมื่อถังหมิงหลงอาจจะเป็นร่างกําเนิดใหม่ของราชานิรันดร์ ทําไมจี่อู๋หมิงกับซูหย่าหรงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันไม่ได้ล่ะ?

 

จี่อู๋หมิงส่ายหัวปฏิเสธจะกล่าวเล่าอะไรไปมากกว่านี้ เขาจ้องมองมาที่หลิงฮัน ด้วยแววตาที่ส่องประกายมากขึ้นเรื่อยๆ “สมบัติที่แม้แต่ข้าก็ไม่อาจมองออก… เหอๆๆ ข้าก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง”

 

เขาถอนสายตากลับไป ก่อนจะเดินไปยังแผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋าและนั่งลง

 

ถึงแม้เขาจะดูนั่งแบบไม่ระมัดระวังตัว แต่แผ่นหลังของเขาก็ดูราวกับขุนเขาอันสูงตระหง่าน ที่ผู้คนทําได้เพียงแหงนมอง และไม่กล้าลงมือโจมตี

 

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกลิ่นอายบางอย่างของจี่อู๋หมิง กลิ่นอายอันน่ายําเกรงจนไร้ใครเปรียบ

 

ช่วงชีวิตที่แล้วของคนผู้นี้จะต้องเป็นตัวตน ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนิรันดร์ไม่ผิดแน่!

 

หลิงฮันสื่อสารกับหอคอยน้อยในใจ

 

“เจ้าคิดอย่างไรกับคนผู้นี้?” หลิงฮันเอ่ยถาม

 

“ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ําเสียงหวาดระแวงที่หาได้ยากยิ่ง

 

“แก่นกําเนิดนิรันดร์ของเขากําลังพัฒนา ไปยังทิศทางที่ไร้จุดบอด”

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิงฮันถาม

 

“แก่นกําเนิดนิรันดร์ มีต้นกําเนิดมาจากสายเลือดของบรรพบุรุษระดับราชานิรันดร์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย อํานาจแห่งกฎเกณฑ์ใดที่บรรพบุรุษเชี่ยวชาญ อํานาจแห่งกฎเกณฑ์นั้นก็ย่อมถูกส่งต่อมายังลูกหลาน”

 

“เพียงแต่ว่าภายในร่างกายของคนผู้นี้ แก่นกําเนิดนิรันดร์ของเขา มีพลังที่ไม่เข้ากันทับซ้อนรวมกันอยู่มากมาย ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สมควรมีอยู่” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ําเสียงเคลือบแคลง “ในร่างกายของคนผู้นี้ อํานาจของแก่นกําเนิดนิรันดร์มากมายกําลังผสานเข้าด้วยกัน และทั้งหมดได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นรากฐานพลังของเขา”

 

“เหตุผลที่เจ้ารวบรวมแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพี ก่อนระดับราชานิรันดร์ก็เพื่อที่เมื่อบรรลุระดับราชานิรันดร์แล้ว พลังต่อสู้ของเจ้าจะได้สูงส่งไร้เทียมทาน”

 

“ซึ่งในกรณีของคนผู้นี้ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน!”

 

“ราชานิรันดร์ทั้งเก้าระดับนั้น พลังของแต่ละระดับมีความแตกต่างกันราวกับสวรรค์ชั้นฟ้า แต่หากเมื่อบรรลุระดับราชานิรันดร์แล้วเจ้าสามารถใช้อํานาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งหมดได้อย่างเชี่ยวชาญได้แต่แรก บางทีราชานิรันดร์ระดับหนึ่งก็อาจจะสังหารราชานิรันดร์ระดับสามได้!”

 

หากคําพูดนี้ถูกนําไปกล่าวให้คนอื่นฟัง ผู้พูดจะต้องถูกหัวเราะเยาะใส่เป็นแน่

 

ใครกันที่ไม่รู้ว่า พลังของราชานิรันดร์ทั้งเก้าระดับมีความต่างชั้นกันขนาดไหน แล้วนี่จะบอกว่าราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง ไม่เพียงเอาชนะราชานิรันดร์ระดับสาม แต่ยังถึงขั้นสังหารได้ด้วยงั้นรึ? พูดไปก็มีแต่จะเป็นตัวตลกของผู้อื่นเสียเปล่าๆ

 

เพียงแต่หลิงฮันก็ไม่ได้หัวเราะออกมาแม้แต่นิดเดียว ช่วงชีวิตก่อนของจี่อู๋หมิงจะต้องเป็นราชานิรันดร์อย่างแน่นอน แถมยังเป็นราชานิรันดร์ระดับสูงด้วย เมื่อถือกําเนิดใหม่แล้ว มีรึที่พลังต่อสู้ของเขาจะไม่ไร้เทียมทานที่สุด?

 

จิตใจของหลิงฮันลุกโชนไปด้วยเพลิงสู้รบ เขาจะต้องโค่นล้มคนผู้นี้ให้ได้

 

และนั่นเป็นการโค่นล้มด้วยพลังของเขาเอง ไม่ใช่หยิบยืมพลังจากหอคอยทมิฬ หรือพิษของไผ่ครามผลสีชาด

 

หลิงฮันก้าวเดินไปหน้าแผ่นหินแก่นแท้แห่งเต๋า ก่อนจะนั่งลงและเริ่มทําความเข้าใจอํานาจแห่งเต๋า

 

เมื่อมีหลิงฮันนํา จักรพรรดินีและฮูหนิวเองก็นั่งลงตาม ธิดาโร๋วถูกนําออกมาจากหอคอยทมิฬอีกครั้ง ในขณะที่พวกเอี๋ยนเซียนลู่ทั้งสามคนนั้น แม้จะมาหยุดยืนที่หน้าแผ่นหินแล้ว แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ และกลัวว่าจี่อู๋หมิงจะแอบลอบโจมตีพวกเขาอีก

 

ทางด้านของซูหย่าหรงนั้น นางยืนด้วยท่าที่เคารพอยู่ด้านหลังจี่อู๋หมิงราวกับเป็นผู้ติดตาม

 

ใช่สตรีงามอันดับหนึ่ง และอัจฉริยะอันดับสองของอาณาเขตสวรรค์กว่างล่งอยู่รึเปล่า?

 

เวลาผ่านไปเพียงสามวัน จี่อู๋หมิงก็ลุกขึ้นยืนและหันมองหลิงฮัน “ระวังตัวเอาไว้ให้ดีล่ะ ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะช่วงชิงทุกอย่างที่เจ้ามีมาเป็นของข้า”

 

หลิงฮันลืมตาและมองไปที่อีกฝ่าย “หลังจากที่ข้าโค่นเจ้าแล้ว ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า”

 

เมื่อเทียบกันแล้ว คําพูดของเขานับว่าแสดงออกถึงความดูหมิ่นยิ่งกว่า

 

ต่อให้เจ้าไม่ตาย แต่ไม่ว่าจะไล่ตามข้าอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้

 

“ฮ่าๆๆ!” จี่อู๋หมิงหัวเราะพร้อมกับเดินจากไป