บทที่ 650.2 คนบนเส้นทางเดียวกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนสนามรบ ฟ่านต้าเช่อมองไม่เห็นเรือนร่างของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย

กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรกรูกันเข้ามาโอบล้อมจากสี่ด้านแปดทิศ มืดฟ้ามัวดิน ตั้งท่าชัดเจนว่าจะช่วยกันล้อมสังหารคนหนุ่มผู้นั้น

แรกเริ่มสุดก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำใบหน้าของอิ่นกวานหนุ่มได้ พอแฉตัวตนของเขาแล้ว การที่คราแรกกองทัพใหญ่พากันถอยร่นแตกฮือนั้นก็ล้วนเกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น

ทั้งเป็นเพราะครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มจับคู่เข่นฆ่ากับหลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ ไม่เพียงแต่เอาชนะอีกฝ่ายไปได้ อีกทั้งยังเล่นงานจนผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างหลีเจินจิตวิญญาณแหลกสลาย เรื่องนี้แพร่ไปทั่วกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมานานแล้ว อีกทั้งนี่ยังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะยังค่อยๆ แพร่ไปถึงทางทิศใต้ กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ว่าจะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร หอสูงนครใหญ่ ตรอกเล็กซอยน้อยก็ล้วนจะต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด นานปีแล้วปีเล่า เหมือนต้นหญ้าบนทุ่งกว้างที่แห้งเหี่ยวแล้วกลับมางอกงามใหม่อีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่าร้อยปีต่อจากนี้ก็อาจจะยังถูกคนมีใจที่ความจำดีเอามาเล่าอย่างออกรสหลังมื้ออาหาร

แล้วก็ยิ่งเป็นเพราะผ่านมานานหลายปีมากๆ แล้วที่หากพูดถึงใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เท่ากับ ‘แม่นางน้อย’ มัดผมแกละนามว่าเซียวสวิ้นผู้นั้น

กระทั่งกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจำได้ว่าอิ่นกวานผู้นี้ไม่ใช่อิ่นกวานในอดีต บวกกับที่เฉินผิงอันบุกเข้ามาในกองทัพศัตรูเพียงลำพังลึกเกินไป อีกทั้งหนิงเหยาผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีคิดจะช่วยเหลืออิ่นกวานคนใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สหายรักถูกผู้ฝึกยุทธหนุ่มสังหารไปจึงเกิดใจพร้อมยอมตาย หมายจะแก้แค้นให้จงได้ ยินดีจะใช้ชีวิตของตนมาแลกเปลี่ยนด้วยอาการบาดเจ็บของคนหนุ่ม มีความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายก็มีแค่คนเดียว ทว่ากองทัพใหญ่ฝั่งของตนกลับล้อมวงเป็นขบวนรบหนาชั้น ฉวยโอกาสโยนวิชาสักอย่างหนึ่งออกไป ทุ่มวัตถุชะตาชีวิตใส่สักชิ้น ย่อมต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกเขายังมีนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ มีเผ่าปีศาจโอสถทองที่แม้ต่างคนต่างมีแผนการต่างกันไป ทว่าแต่ละคนกลับลงมืออย่างอำมหิตแม่นยำ ไม่หวังให้โจมตีตายในครั้งเดียว หวังแค่ให้เป็นมีดทื่อที่แร่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายได้ก็พอ

การเข่นฆ่าบนสนามรบนั้นมีพลังของการแพร่ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมาอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะคล้อยไปตามสถานการณ์ใหญ่ พ่ายแพ้ ก่อกบฏในฉับพลัน ฮึกเหิมลืมตาย กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ล้วนเป็นเช่นนี้

สุดท้ายบวกกับที่หนึ่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดทำให้อิ่นกวานหนุ่มบาดเจ็บ

จิตสังหารโอบล้อมอยู่รอบด้าน มืดฟ้ามัวดิน

ฟ่านต้าเช่อที่ห่างไปไกลพึมพำเบาๆ “ไม่ควรบุกทะลวงค่ายกลแบบนี้เลย อันตรายเกินไปแล้ว บนสนามรบที่เป็นเช่นนี้ มีที่ใดบ้างที่ไม่ใช่เรื่องไม่คาดฝัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธนะ”

หากไม่เป็นเพราะมีหนิงเหยาคอยคุมหลังให้ เถ้าแก่รองออกหมัดเช่นนี้ย่อมต้องเจอจุดจบที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย

หนิงเหยาเอ่ย “ก็เพราะว่ามีข้าอยู่ เขาถึงได้ออกหมัดเช่นนี้ นี่คือลำดับก่อนหลัง เหตุผลต้องพูดกันเช่นนี้”

หนิงเหยาเองก็รู้ว่าเหตุใดฟ่านต้าเช่อถึงจิตใจไม่สงบนิ่งเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินผิงอันล้วนๆ

หนิงเหยาไม่ได้พูดอย่างละเอียด ถึงอย่างไรฟ่านต้าเช่อก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ บนเส้นทางของวิถีกระบี่กับการค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกยุทธ ถามหมัดกับจุดที่สูงที่สุด มองดูเหมือนเส้นทางต่างแต่จุดหมายเดียวกัน ทว่าแท้จริงแล้วกลับต่างกันมาก

นี่ต่างหากถึงจะเป็นการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ประชันความแข็งแกร่งกับคนอื่น เพียงแต่การเรียนวรยุทธเป็นเส้นทางสายเล็ก ใช้กำลังของตัวเองคนเดียว อาศัยเพียงสองหมัด แข่งขันเอาชนะกับฟ้าดิน นั่นต่างหากจึงจะเป็นทัศนียภาพบนมหามรรคา

พื้นที่ใจกลางของวงล้อมที่ห่างไปไกล แทบจะกลายเป็นภูเขาลูกเล็กที่เคลื่อนที่ไปช้าๆ

ระหว่างที่ฟ่านต้าเช่อดึงกระบี่กลับมาก็อดไม่ไหวถามว่า “เป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”

หนิงเหยาเอ่ยตอบ “คนที่เป็นคืออีกฝ่าย”

ฟ่านต้าเช่ออึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้

เขาทำได้เพียงออกกระบี่อยู่ตรงริมขอบของสนามรบต่อไป พยายามจะแบ่งเบาแรงกดดันส่วนหนึ่งมาจากเฉินผิงอันให้ได้มากที่สุด

อันที่จริงนี่ไม่ได้มีความหมายมากนัก แต่ก็ควรต้องทำอะไรบ้าง

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ความสามารถไม่มากพอที่จะทำได้ ถ้าอย่างนั้นการพยายามทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจ ก็คือความเคยชินที่ดี

หนิงเหยาบังคับเจี้ยนเซียนให้พุ่งทะยานไปบนสนามรบตามแต่ใจ เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจ แสงสีทองรวมตัวกันเนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน มีทั้งเส้นยาวตรงแน่วที่พุ่งสลับตวัดกัน แล้วก็มีแสงสีทองที่บิดเบี้ยวยาวหลายพันจั้ง ทุกที่ที่ผ่านล้วนทิ้งซากศพแขนขาขาดวิ่นที่ถูกกระบี่ยาวสีทองกรีดฟันเอาไว้ และเดิมทีแสงสีทองนั้นก็เป็นเหมือนค่ายกลยันต์ธรรมชาติแห่งหนึ่ง ปณิธานกระบี่สะสมไว้หนาหนัก บวกกับที่รอบด้านมีปราณกระบี่เอ่อล้นออกมา ทำให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางจำนวนไม่น้อยทรุดฮวบลงไปนอนหมอบกับพื้นเพื่อที่จะหลบเส้นยาวสีทองที่ยิ่งนานก็ยิ่งรวมตัวกันหนาแน่น

ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรและโอสถทองต่างก็เริ่มขยับออกห่างค่ายกลกระบี่สีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศนี้อย่างว่องไวแล้ว

หนิงเหยาชำเลืองตามองเส้นสีทองที่อยู่บนสนามรบ หลังจากที่เห็นว่าปราณกระบี่มารวมตัวกันได้พอสมควรแล้ว นางก็ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราแล้วปาดลงเบื้องล่างเบาๆ

ประหนึ่งฝนห่าใหญ่ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แทบจะใกล้เคียงกับบ่อน้ำขนาดมหึมาที่ลอยอยู่พ้นเหนือพื้นซึ่งจู่ๆ ก็ตกฮวบลงมาสู่พื้นดิน

พื้นดินของสนามรบจุดที่เฉินผิงอันอยู่พลันสะเทือนเลือนลั่น พายุหมัดรุนแรงประหนึ่งสายฟ้าคำราม

ร่างของเผ่าปีศาจที่อยู่ใกล้เขาแหลกกระจาย ภูเขาลูกเล็กที่เกิดจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมารวมตัวกันเหมือนถล่มยุบลงมาจากตรงกลาง

ฟ่านต้าเช่อถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็มองเห็นเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว สภาพกระเซอะกระเซิงอยู่บ้าง เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อฉีกขาดเลือดโชก ปณิธานหมัดเข้มข้นจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันไหลรินไปทั่วร่างของเฉินผิงอัน ประหนึ่งมีองค์เทพคอยปกป้องเรือนกาย

นี่ก็คงเป็นขอบเขตร่างทองของผู้ฝึกยุทธที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้ากระมัง

แม้ว่าฟ่านต้าเช่อจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แม้แต่ยามฝันก็ยังอยากจะเป็นเซียนกระบี่ แต่พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง ก็จำต้องยอมรับว่ายามที่ผู้ฝึกยุทธตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ร่างทองไม่แหลกสลาย ก็ช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก

เฉินผิงอันถูกเวทอาคมพร่างพราวสายหนึ่งกระแทกลงกลางหลัง เขาแค่เซไปข้างหน้าก้าวเดียวเท่านั้น จึงอาศัยแรงส่งนี้พุ่งทะยานตรงไปข้างหน้าสิบกว่าจั้ง ใช้หมัดเปิดทาง

ถูกผู้ฝึกตนสำนักการทหารของเผ่าปีศาจใช้ง้าวใหญ่เหวี่ยงฟาดเข้าที่ช่วงเอว กระแทกให้เฉินผิงอันลอยกระเด็นไปด้านข้างไกลหลายสิบจั้ง นี่ทำให้มีวิชาอภินิหารอีกสิบกว่าเส้น และอาวุธแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีอีกหลายสิบชิ้นพุ่งตามติดมาดั่งเงา

และเพียงแค่ชั่วพริบตา ร่างของเฉินผิงอันเพิ่งจะพลิ้วลงพื้น บนสนามรบก็มีภูเขาลูกเล็กปรากฎขึ้นอีก แล้วจึงมองไม่เห็นร่างของเฉินผิงอันอีกครั้ง

ฟ่านต้าเช่อมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น

เพียงแต่ว่าฟ่านต้าเช่อยิ่งอกสั่นขวัญแขวน ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจพวกนี้เป็นบ้ากันไปแล้วหรือไร? แต่ละคนไม่รักชีวิตขนาดนี้เชียวหรือ?!

หนิงเหยายังคงมอบเส้นแนวหน้าให้เฉินผิงอันที่บาดแผลเต็มตัวจัดการคนเดียว อย่างมากสุดนางก็แค่ช่วยออกกระบี่ราวีเผ่าปีศาจที่อยู่สองฟากฝั่งของสนามรบ ใช้เจี้ยนเซียนเล่มนั้นปาดระดับความหนาด้านข้างของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจออกไป

ในฐานะอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง เจี้ยนเซียนเล่มนั้นจึงพอจะมีสติปัญญาบ้างแล้ว ประหนึ่งเด็กน้อยพูดอ้อแอ้เพิ่งหัดเรียนภาษาที่เริ่มฉลาดเฉลียว ตอนนี้จึงสบายอกสบายใจอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ยามที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน มันก็อึดอัดอยู่บ้างจริงๆ เจ้านายที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ เรียกให้มาก็มาสั่งให้ไปก็ต้องไป แค่นั้นก็ยังพอทำเนา ประเด็นสำคัญคือทุกครั้งที่เกิดศึกใหญ่ศึกตาย กี่ครั้งที่เจี้ยนเซียนเผยกายบนโลก กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะรู้สึกสาแก่ใจมากนัก

แม้หนิงเหยาจะมีสีหน้านิ่งเฉย จิตแห่งกระบี่สุขุมหนักแน่น ออกกระบี่แม่นยำได้ตลอดเวลา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่เป็นกังวลกับสภาพการณ์ของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย

อยู่บนสนามรบ หากสามารถสังหารใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ จะต้องมีคุณความชอบมากเท่าใดกัน?

หกสิบกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเคยถกเถียงกันด้วยเรื่องนี้อย่างหนักมาก่อน และสุดท้ายก็แบ่งความเห็นคร่าวๆ ออกมาได้สามแบบ

กระโจมกลุ่มหนึ่งที่มีกระโจมเกิงอิ๋นเป็นผู้นำคิดว่าสังหารอิ่นกวานเฉินผิงอัน มองคุณความชอบทางการรบเทียบเท่ากับการสังหารเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เหตุผลก็เพราะถึงแม้เฉินผิงอันจะเป็นอิ่นกวานคนใหม่ มีอำนาจสูงในกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งเขายังนั่งบัญชาการณ์สายอิ่นกวานได้อย่างมั่นคง จัดทัพวางกำลังศึกสร้างความเสียหายที่ใหญ่หลวงให้แก่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งขอบเขตของเขาก็ไม่สูงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนที่จับคู่เข่นฆ่ากันจะใช้หมัดสังหารหลีเจินได้ แต่แท้จริงแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีพลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดขั้นสูงสุด บวกกับสถานะของอิ่นกวาน มองอีกฝ่ายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบย่อมสมเหตุสมผลมากที่สุด

กระโจมทัพกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีกระโจมติงเหม่าเป็นผู้นำ บวกกับการคล้อยตามจากปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองท่านอย่างหย่างจื่อ หวงหลวน ต่างก็คิดว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามที่จริงแท้แน่นอน คือความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่มีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ สังหารเฉินผิงอันทิ้ง คุณความชอบทางการต่อสู้ต้องเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน มองอีกฝ่ายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ก็มีกระโจมเจี่ยเซินที่เป็นกระโจมเพียงแห่งเดียวที่เสนอความเห็นอันน่าตะลึงพรึงเพริดมากยิ่งกว่า ขอแค่สังหารเฉินผิงอันได้ อย่างน้อยคุณความชอบทางการสู้รบก็ควรควบอยู่ระหว่างการสังหารเซียนกระบี่สองกลุ่มอย่างต่งซานเกิง เฉินซี ฉีถิงจี้ กับลู่จือ เฒ่าหูหนวก น่าหลันเซาเหว่ยได้ จะเทียบเท่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

ถกเถียงกันไม่หยุด สุดท้ายกระโจมเจี่ยจื่อเป็นผู้สรุปรวบรวมความคิดเห็น สุดท้ายตัดสินใจว่าคุณความชอบทางการศึกน้อยใหญ่ ให้อิงเป็นการสังหารเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่ง แต่ควบอยู่ระหว่างน่าหลันเซาเหว่ยกับเยว่ชิง ไม่อาจมองเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ธรรมดาทั่วไปได้

จิตใจของฟ่านต้าเช่อสะท้านไหว

บนสนามรบที่ห่างไกล เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันที่รับหน้าที่บุกทะลวงขบวนรบถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งใช้สองหมัดต่อยให้พุ่งมาทางฟ่านต้าเช่อ

เฉินผิงอันพลิกตัวกลางอากาศ หลบการตามราวีจากเวทคาถาและสมบัติอาคมที่สำคัญบางอย่างไปได้ แต่ต้องแบกรับวิธีการอื่นๆ เอาไว้แทน พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็ไถลตัวมาด้านหลังประมาณห้าหกก้าว ยกเท้ากระทืบลงพื้นหนักๆ ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมหวนกลับมายังสนามรบ พุ่งตรงเข้าหาผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกันผู้นั้น ฝ่ายหลังไม่เพียงแต่เป็นผู้นำของกองทัพใหญ่กองหนึ่ง ยังเป็นผู้ฝึกตนและขอบเขตเดินทางไกลของผู้ฝึกยุทธ พอกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว เรือนกายก็ยิ่งแข็งแกร่งกำยำ ไม่มีอาวุธใดๆ ติดกาย มีเพียงกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่ายำเกรง

บนแนวเส้นนั้นผู้ฝึกยุทธสองคนพุ่งเข้าหากันเอง สองฝ่ายต่างก็ใช้หมัดต่อหมัด พายุหมัดพัดสะเทือนครืนครั่น เผ่าปีศาจที่อยู่รอบด้านถูกปณิธานหมัดมหาศาลที่กระแทกมาโดนซัดให้ถอยร่นออกไป

เผ่าปีศาจขอบเขตเดินทางไกลกับเฉินผิงอันต่างแลกกันคนละหมัด แล้วก็ไม่มีใครคิดจะถอยร่น แลกหมัดกันอีกครั้ง หมัดของทั้งสองฝ่ายต่างต่อยลงบนหน้าผากของฝั่งตรงข้าม ศีรษะจึงเหวี่ยงสะบัดไปด้านหลัง

เสียงดังอื้ออึงเหมือนเสียงรัวกลองทึบๆ ดังขึ้นบนสนามรบไม่ขาดสาย

เผ่าปีศาจขอบเขตเดินทางไกลผู้นั้นแผดเสียงร้องคำรามหนึ่งที ต้องการให้ผู้ฝึกตนโอสถทองและประตูมังกรที่อยู่ใกล้เคียงพากันทุ่มสมบัติอาคมและเวทคาถาเข้ามาโดยไม่ต้องสนใจว่าตนจะเป็นหรือตาย

เวลาเพียงชั่วพริบตา เฉินผิงอันก็ปล่อยสองหมัดสลับสับเปลี่ยน ต่อยหมัดออกไปติดๆ กันถึงสิบหกหมัดแล้ว

ในเมื่ออีกฝ่ายกล้ายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาก็ยิ่งไม่ทางเคลื่อนเท้าถอยหนี ไม่ว่าจะเป็นสถานะของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะอยู่กันคนละค่ายทัพหรือไม่ การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธก็ไม่มีวิธีการใดที่สะใจได้เท่าการแลกหมัดอยู่ที่เดิมอีกแล้ว

ตรงไปตรงมา เปิดเผยผึ่งผาย ขอแค่วิชาหมัดสูงมากพอ ออกหมัดได้หนักหน่วงมากพอ อีกฝ่ายก็ต้องล้มลงแต่โดยดี ราวกับการยอมรับผู้ที่มีวิชาหมัดสูงกว่าบนเส้นทางสายหมัดเป็นบรรพบุรุษ!

……

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน เติ้งเหลียงเป็นคนที่มีนิสัยสุขุมมั่นคงมากที่สุด เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ ภายหลังถูกทางสำนักรับตัวมา กลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล รู้ดีถึงรสชาติดินโคลนของโลกมนุษย์มากที่สุด และก็ถูกไอเซียนในถ้ำสถิตบนภูเขากล่อมเกลามานาน แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนใจร้อนบุ่มบ่าม

เขาแทบจะกลั่นเอาความใจเย็นของทุกคนมาทีละนิดแล้ว

แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เติ้งเหลียงถึงได้โมโหจนคว่ำโต๊ะเอกสาร

จากนั้นเติ้งเหลียงก็สงบสติอารมณ์ได้ในชั่วพริบตา เอ่ยขอโทษคำหนึ่ง นั่งเหม่อไปชั่วครู่แล้วก็ลุกขึ้นจัดเก็บโต๊ะให้เรียบร้อยเงียบๆ

เซียนกระบี่โฉวเหมียวส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าไม่ต้องพูดอะไร

โฉวเหมียวมีท่าทีเช่นนี้ ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นตามไปด้วย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นเหมือนกับเติ้งเหลียงอย่างเสวียนเซิน เฉากุ่นก็ยังเงียบงันเช่นกัน

ต่งปู้เต๋อถลึงตาใส่กวอจู๋จิ่วที่ขยิบตาให้ตนยิกๆ

อะไรกับอะไรกันเล่า เติ้งเหลียงชอบนางต่งปู้เต๋อ ก็ไม่ใช่เหตุผลให้นางต่งปู้เต๋อต้องชอบเขาเติ้งเหลียงเสียหน่อย

เติ้งเหลียงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาดื่มเงียบๆ