ตอนที่ 1975 ยอดเขาลูกที่สอง

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 1975 ยอดเขาลูกที่สอง

 

เมื่อธิดาโร๋วลืมตาขึ้น หลิงฮันก็นํานางเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพื่อให้นางซึมซับแก่นแท้แห่งเต๋า และเขา จักรพรรดินี กับฮูหนิวได้เดินลงจากเขา

 

ตั้งแต่ที่จี่อู๋หมิงจากไปนั้น ระยะเวลาเดินได้ผ่านมาแปดสิบปีแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าวาสนาบนยอดเขาลูกที่สองถูกชิงไปรึยัง

 

เมื่อกลุ่มของพวกเขาทั้งสามคนลงจากยอดเขา พวกเขาจําเป็นต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม เนื่องจากแรงโน้มถ่วงอันหนักหน่วง สามารถทําให้ร่างของพวกเขาร่วงหล่นลงไปได้ง่ายๆ

 

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พวกเขาถึงจะกลับลงมาจากยอดเขาได้

 

“จากนี้พวกเราจะไปยอดเขาที่สอง หรือไปยังส่วนลึกสุดของหุบเขาดี?” จักรพรรดินีถาม

 

“ไปยอดเขาที่สองกันก่อน” หลิงฮันครุ่นคิด “อย่างแรกเลย หุบเขาแห่งนี้นั้นกว้างใหญ่เกินไป หากไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบหา คงหาพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธนับล้านปี อย่างที่สองคือบางที่มันอาจจะอยู่บนยอดเขาอีกสองลูกก็เป็นได้”

 

“รีบไปกันเลย!” ฮูหนิวดึงแขนหลิงฮัน เพื่อกระตุ้นให้เขารีบเดิน

 

หลังจากทั้งสามเดินต่อไปได้ไม่นาน สัตว์ประหลาดหนามร่างมนุษย์ก็ปรากฏตัว

 

“ให้หนิวจัดการเอง!” ฮูหนิวกระโดดขึ้นหน้า นางเพิ่งจะฝึกฝนอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สําเร็จ จึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะลองวิชา

 

“พรึบ” ปราณพิฆาตแปรเปลี่ยนกลายเป็นคลื่นดาบ และผ่าร่างของสัตว์ประหลาดหนา มร่างมนุษย์แยกออกจากกันทันที

 

คนที่ลงมือคือจักรพรรดินี

 

“อิ่ม ช่างน่ารังเกียจนัก!” ฮูหนิวคํารามด้วยความโกรธ “ทําไมเจ้าถึงชอบแย่งหนิวอยู่เรื่อยเลย?”

 

จักรพรรดินีดึงนิ้วกลับ “สัตว์ประหลาดพวกนี้มีชื่อของเจ้าติดเอาไว้บนหัวงั้นรึ?”

 

จักรพรรดินี่ยิ้ม นางจงใจยุแหย่ฮูหนิว

 

“เอาล่ะ เลิกสร้างปัญหากันได้แล้ว ที่นี่ยังมีสัตว์ประหลาดอยู่อีกมากมาย” หลิงฮันกล่าวปลอบ

 

ฮูหนิวยุ้ยปากไม่สบอารมณ์ นางกระโดดขึ้นเกาะร่างส่วนบนของหลิงฮัน และแลบลิ้นใส่จักรพรรดินี

 

ทั้งสามคนออกเดินทางต่อ ก่อนจะพบเจอสัตว์ประหลาดอีกตัว เพียงแต่ครั้งนี้คนที่เลือกลงมือก่อนคือหลิงฮัน เขาควบแน่นอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารเป็นดาบและโจมตีออกไป ส่งผลให้ร่างของสัตว์ประหลาดตรงหน้าหายไปในพริบตา

 

“หลิงฮัน หนิวไม่เล่นกับเจ้าแล้ว!” ฮูหนิวกระโดดกัดหูหลิงฮัน

 

หลิงฮันหัวเราะและตบหลังฮูหนิว “ยังมีโอกาสให้เจ้าลงมืออยู่อีกมากมายน่า”

 

สัตว์ประหลาดปรากฏตัวอีกครั้ง และในที่สุดฮูหนิวก็ได้เป็นคนลงมือ

 

พลังทําลายของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารนั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ยิ่งพวกเขาได้ซึมซับแก่นแท้แห่งเต๋ด้วยแล้ว พลังของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารจึงยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก

 

“ไม่ใช่แค่พลังบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยิ่งขัดเกลาอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ให้แข็งแกร่ง ก็ทําให้พลังต่อสู้ทรงพลังขึ้นได้ด้วย”

 

ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็ได้มาถึงภูเขาลูกที่สอง

 

ภูเขาลูกนี้ก็ยังเป็นภูเขาสูง ที่มองไม่เห็นยอดเขาอีกเช่นเดิม

 

พวกเขาเริ่มไต่ขึ้นเขา แต่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเพราะว่า เมื่อพวกเขาไต่ขึ้นเขามาแล้ว เบื้องหน้าก็ได้ปรากฏเส้นทางมากมายเต็มไปหมด

 

“จะเดินไปเส้นทางไหนดี!” ฮูหนิวสับสน

 

“ลองไปดูสักทางก่อน” หลิงฮันกล่าว ในเมื่อไม่รู้ว่าเส้นทางไหนคือเส้นทางที่ถูกต้อง งั้นก็ต้องลองสุ่มเดินไปก่อน

 

ทั้งสามคนเลือกเส้นทางมาเส้นทางหนึ่ง และมุ่งหน้าเดินต่อ ไม่คาดคิดว่าเส้นทางนี้จะจะคดเคี้ยวเป็นวงกลมอย่างมาก หลังเดินไปได้สามถึงสี่วัน พวกเขาก็พบกับทางตัน เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฎหน้าผาลึกที่มองไม่เห็นกัน

 

ทั้งสามคนส่ายหัว ก่อนจะเดินกลับไปยังจุดเริ่มต้น และเลือกเส้นทางใหม่ ครั้งนี้เมื่อเวลาผ่านไปสองวัน ที่เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏทางแยกอีกสามทาง

 

“ถ้าหากเลือกทางผิดตั้งแต่แรก ไม่ว่าหลังจากนี้พวกเราจะเลือกเส้นทางไหน เส้นทางนั้นก็ยังเป็นเส้นทางที่ผิดอยู่ดี”

 

“ถ้าหากเดินไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า บางทีอาจจะไม่สามารถกลับออกมาได้เลยตลอดชั่วชีวิตนี้” 

 

“เส้นทางเหล่านี้สมควรเป็นค่ายกลอาคม”

 

หากเป็นค่ายกลอาคมล่ะก็ ต่อให้พยายามสุ่มเดินไปมามากมายไม่รู้จบก็ไม่มีประโยชน์ เพื่อที่จะข้ามผ่านไปให้ได้ สิ่งจําเป็นคือต้องทําลายค่ายกล หรือทําความเข้าใจค่ายกลให้ได้

 

พวกหลิงฮันตัดสินใจลงจากภูเขา และทําการมองวิเคราะห์จากเบื้องล่าง

 

ฮูหนิวไม่ชอบเรื่องใช้สมองเป็นอย่างมาก นางอ้าปากหาวในเวลาไม่นาน และหลับลงบนแผ่นหลังของหลิงฮัน ในขณะที่หลิงฮันกับจักรพรรดินียังคงแลกเปลี่ยนความเห็นกัน

 

พวกเขาเข้าๆ ออกๆ หอคอยทมิฬบ่อยครั้ง เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นสังสารวัฏ

 

ในอีกสามวันต่อมา ทั้งสองก็วิเคราะห์แผนเดินเส้นทางเสร็จสิ้น

 

ใต้ต้นสังสารวัฏ พวกเขาใช้เวลาไปเกือบสามร้อยปี

 

ทั้งสามไต่ขึ้นเขาอีกครั้ง และเลือกเส้นทางที่จะเดินในอีกหนึ่งวันต่อมา เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏเส้นทางแยกสองเส้นทาง ซึ่งพวกเขาเลือกเดินไปยังเส้นทางซ้าย และอีกวันต่อมา เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏเส้นทางอีกสามเส้นทาง

 

ครั้งนี้พวกเขาเลือกเส้นทางตรงกลาง และเมื่อผ่านไปอีกวัน ทางแยกเบื้องหน้าพวกเขาก็กลายเป็นสี่เส้นทาง

 

เหตุการณ์เช่นนี้ดําเนินต่อไป เส้นทางแยกที่พบในแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีมากมายหลายหมื่นเส้นทาง

 

หลิงฮันและจักรพรรดินีไม่รู้สึกกังวลอะไร เนื่องจากพวกเขาวิเคราะห์เส้นทางที่ถูกต้องเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

เมื่อผ่านไปอีกสิบวัน เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่ง

 

คนผู้นี้คือเอี๋ยนเซียนลู่

 

“พี่ชายเอี๋ยน!” หลิงฮันส่งเสียงเรียก

 

“น้องหลิง!” เอี๋ยนเซียนลู่หันหลังกลับมาและกล่าว “เจ้าเองก็มาถึงแล้วงั้นรึ”

 

เขาไม่รู้ว่าพวกหลิงฮันสามคนใช้เวลา ไล่ตามเขามาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากรู้เข้าล่ะก็เขาจะต้องตกตะลึงจนหมดสติเป็น เนื่องจากกว่าเขาใช้เวลาตั้งหลายสิบปี กว่าจะหาเส้นทางที่ถูกต้องได้

 

หลิงฮันพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ไล่ตามคนที่เดินนําพวกเขายี่สิบปีก่อนได้แล้ว ตราบใดที่เส้นทางยืดยาวมากพอ พวกเขาอาจจะไล่ตาม จนขึ้นไปเป็นคนแรกที่ถึงยอดเขาได้ก็เป็นได้

 

หลังจากเดินไปได้อีกไม่นาน เส้นทางแยกเส้นทางใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งพวกหลิงฮันทําการเลือกเส้นทางที่จะเดินอย่างไม่ลังเล

 

หลิงฮันกับจักรพรรดินีวิเคราะห์เส้นทางทั้งหมดเอาไว้อย่างมั่นใจแล้ว ส่วนฮูหนิวนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย นางเพียงแค่เดินตามเท่านั้น

 

“น้องหลิง เจ้าไม่หยุดวิเคราะห์เส้นทางก่อนรึ?” เอี๋ยนเซียนลู่ชะงักชั่วขณะ ก่อนจะรีบไล่ตามมา

 

“หืม?” หลิงฮันลูบจมูก อีกฝ่ายไม่ได้วิเคราะห์เส้นทางเอาไว้ก่อนล่วงหน้างั้นรึ?

 

พอเห็นสีหน้าของหลิงฮัน เอี๋ยนเซียนลู่ก็เข้าใจและอุทานออกมาทันที “อย่าบอกนะว่าตลอดทางมานี้ เจ้าไม่ได้หยุดคิดเพื่อเลือกเส้นทางเลย เพราะเจ้ารู้เส้นทางที่ถูกต้องอยู่ก่อนแล้ว?”

 

“พี่ชายเอี๋ยนไม่ได้เป็นแบบข้างั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม

 

จิตใจของเอี๋ยนเซียนลู่หดหูลงในทันใด ในมุมมองของเขา กว่าจะลองจนรู้สึกว่าเส้นทางที่ตนเองเลือกนั้น เป็นเส้นทางที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยิ่งลองและย้อนกลับไปเส้นทางเก่ามากเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

 

กว่าจะเดินครบเส้นทางหนึ่งเส้นทาง ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวัน และกว่าจะวิเคราะห์ทางแยกกจนพบเจอเส้นที่ถูกต้อง ก็ต้องใช้เวลานานอีกครึ่งปีหรืออาจจะหนึ่งปี

 

“น้องหลิง ข้าขอติดตามเจ้าไปด้วยแล้วกัน”