บทที่ 2132 ทหารดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

โพ่จวินมองประมุขชิง แล้วก็มองซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ไม่เห็นเกาก้วนกับอู๋ฉวี่ จะเห็นได้เลยว่าไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไปเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นความลับ มองออกเช่นกันว่าประมุขชิงจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้ได้ หนิวโหย่วเต๋อกลับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกันแล้ว กลายเป็นตะปูที่ตำตาฝ่าบาทแล้ว หลายปีมานี้เกรงว่าคงคิดหาโอกาสลงมือมาตลอด ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเติบโตยิ่งใหญ่ไปกว่านี้!

ทว่าเรื่องนี้เขาก็ทำได้เพียงสนับสนุน แม้เขาจะคิดว่าพระปีศาจหนานโปต่างหากที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ตามหลักแล้วต้องรวมพลังกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อกำจัดพระปีศาจหนานโปก่อนถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นหนึ่ง  แต่พระปีศาจหนานโปคือสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ ผ่านไปหลายพันปีแต่ก็ไม่เห็นว่าพระปีศาจจะมีความเคลื่อนไหวอะไร แต่อันตรายที่หนิวโหย่วเต๋ออาจจะนำมานั้นคือเรื่องจริงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะหยุดทำบางอย่างกะทันหันเพราะพระปีศาจ มองข้ามการเติบโตของหนิวโหย่วเต๋อต่อไป

หลังจากเงียบไปครู่เดียว โพ่จวินก็ถามอีกว่า “ฝ่าบาทอยากจะส่งกำลังพลหน่วยองครักษ์ซ้ายเข้าไปเท่าไหร่?”

“เจ้าต้องเตรียมกำลังพลสิบล้านอย่างเป็นความลับ เตรียมพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ!” ประมุขชิงกล่าว

โพ่จวินขมวดคิ้ว “กำลังพลสิบล้าน? ถ้าทหารที่เฝ้าอยู่ข้างนอกได้ข่าวแล้วเข้าไปสนับสนุน เกรงว่าคงจะยุ่งยากนิดหน่อย”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากระดมกำลังพลจำนวนมาก แต่กำลังพลสิบล้านถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว เรื่องนี้ใช่ว่าพอคนไปแล้วจะหาโอกาสลงมือได้ ถ้ากำลังพลจำนวนมากหายไปนานก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย เรื่องนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะพลาดโอกาสดี ส่วนกองทัพที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะไปสนับสนุนหรือไม่ ก็ยังต้องดูประสิทธิภาพในการลงมือของเจ้า รีบกำจัดหนิวโหย่วเต๋อโดยเร็ว ทัพใต้ที่เป็นมังกรไร้หัวจะต้องกระจัดกระจายแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งทัพใต้จะเชื่อฟังคนตายและร่วมมือกันต่อต้านกองทัพองครักษ์! ถ้าชักช้าไม่กำจัดทิ้งเสียที ต่อให้ข้าส่งกำลังพลไปมากกว่านี้ แต่ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็บุกเข้าไปช่วยหนิวโหย่วเต๋อได้อยู่ดี จากนั้นกองหนุนก็จะเข้ามาไม่จบไม่สิ้น เข้ามาแล้วดึงกำลังพลฝ่ายอื่นเข้ามาร่วมด้วย! โพ่จวิน อย่าบอกนะว่าทับเกรียงไกรสิบล้านจัดการหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้? ข้าจะส่งองครักษ์เงาไปช่วยอีกกลุ่ม!” ประมุขชิงกล่าว

คดีขององครักษ์เงาส่งให้หน่วยตรวจการขวากับกองทัพองครักษ์ร่วมมือกันสืบ แต่สุดท้ายก็จืดไม่เจอผลลัพธ์อะไร บวกกับข่าวลือในตอนหลังก็บอกอีกว่าพระปีศาจหนานโปเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องช่วยเหลือหลินอ้าวเสวี่ย ฝั่งนี้สงสัยว่ากัวเหยียนถิงถูกพระปีศาจควบคุมแล้วหรือเปล่า มีซ่างกวนชิงคอยพูดให้ท้ายอยู่ข้างกายประมุขชิง สุดท้ายก็ทำได้เพียงฝืนจบเรื่องนี้ ส่วนผลที่ตามมาก็คือ เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงไม่กล้านำงานป้องกันรักษาส่งต่อให้องครักษ์เงาทั้งหมด กองทัพองครักษ์รับหน้าที่แทนองครักษ์เงาบางส่วนแล้ว

สุดท้ายโพ่จวินก็กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”

“ดี!” ประมุขชิงคว้าข้อมือเขา แล้วกำชับโดยละเอียดว่า “ต้องให้ความร่วมมือกับฝั่งซือหม่า จำไว้ เรื่องนี้จะต้องปิดข่าวให้สนิท อย่าให้มีข่าวอะไรหลุด ห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด!”

ปกติแม้โพ่จวินจะต่อต้านประมุขชิงบ่อยๆ ทว่ายามเจอกับเรื่องแบบนี้ ประมุขชิงไม่เรียกหาอู๋ฉวี่ แต่เรียกให้โพ่จวินมาจัดการ ถ้ามองจากบางมุม จะเห็นได้ว่าประมุขชิงเชื่อใจโพ่จวินมากกว่า

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” โพ่จวินพยักหน้า

ไม่รู้ว่ามนุษย์ในโลกเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วกี่ครั้ง ผ่านไปทีละพันปี ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าพันปีแล้ว

ในอุโมงค์น้ำแข็งแห่งหนึ่งของทุ่งน้ำแข็งโบราณ หมอกพลังจิตวิญญาณสลายไป แม้เหมียวอี้จะบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นสองแล้ว แต่บนสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วตอนนี้กลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าระดับสำแดงฤทธิ์ซ่อนแฝง!

พอลืมตาขึ้นมา เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา เป็นข้อความจากเหยียนซิว อายุขัยของเซี่ยโห้วท่าใกล้เข้ามาแล้ว ครั้งนี้ใกล้เข้ามาถึงแล้วจริงๆ เซี่ยโห้วท่าอยากจะพบเขา!

ว่ากันว่าหงส์ที่ตกจากฟ้ายังสู้ไก่ไม่ได้ ที่สิ่งเหมียวอี้ไม่ต้องสนใจเซี่ยโห้วท่าในตอนนี้เลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เซี่ยโห้วท่ามารบกวนการฝึกตนของตัวเอง แต่ต่อให้เป็นหงส์ที่ตกอับก็ยังแตกต่างกับไก่บ้าน เส้นสนกลในต่างกัน! อย่างน้อยหงส์ที่ตกอับก็ยังมีช่องทางให้เหมียวอี้สื่อสารได้ ยังมีโอกาสให้พบกันได้ แต่ไก่บ้านก็ต่อให้กระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ยังเป็นไก่บ้าน เหมียวอี้ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นด้วยซ้ำ นี่ก็คือความเป็นจริง

เหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้วออกจากอุโมงค์น้ำแข็ง ปล่อยตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งออกมา ขี่มันทะยานขึ้นฟ้าไป ไม่รบกวนการฝึกตนของเฮยทั่น

บินผ่านดินแดนหนาวเหน็บรกร้างที่สูงต่ำไม่เสมอกัน หลังจากออกจากรอยแยกกลางอากาศแล้วก็เหยียบลงพื้น เหมียวอี้เก็บตั๊กแตนทมิฬ แล้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกอีกครั้ง

ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้านนอก มีการระดมกำลังพลของทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือเตรียมพร้อมว่ารอบด้านมีสถานการณ์ของศัตรูที่น่าสงสัยหรือไม่ ค่ายกลใหญ่ที่มีแสงสีขาวหมุนวนปิดสนิท แสงสีขาวเคยจางหายไปตรงทางเข้าปรากฏขึ้นด้านหลังอีกครั้ง

ผ่านไปครู่เดียว เงาร่างของเหมียวอี้ก็ถลันออกมาอย่างรวดเร็ว กำลัพลทัพอารักขากลุ่มหนึ่งรออยู่ข้างนอก คุ้มครองเหมียวอี้จากไป

กำลังพลที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเริ่มรวมตัว ตอนที่เปิดใช้ค่ายกลใหญ่เพื่อปิดทางเข้าอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่ชื่อซูฮุยหวงก็รีบกวาดสายตามองโดยรอบ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครระวังตัวดีดแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง ก่อนที่แสงสีขาวจะปิดทางเข้า แหวนเก็บสมบัติกระเด็นเข้าไปในทางเข้าแล้ว

ซูฮุยหวงรีบสังเกตโดยรอบอีกครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็น ก็ถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่ง แล้วตามหลังกำลังพลของตัวเองไปยังตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความจริงยังคงหวาดระแวงกลัว เพราะถ้าถูกจับได้เรื่องนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้มีหนึ่งหมื่นหัวก็ไม่พอให้ประหาร อยู่ในทัพใหญ่ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย

แต่ก็ไม่มีทางเลือก แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไม่มีรอยแตก ถ้าถูกเพ่งเล็งเมื่อไหร่เจ้าก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีจุดอ่อนของเจ้า อีกฝ่ายก็ไม่กล้าเสี่ยงมาใช้งานเจ้าหรอก

ที่จริงเขาถูกบงการให้ทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเข้าออก เพียงแต่หาโอกาสลงมือไม่ได้ เพราะตอนที่เปิดใช้งานค่ายกลใหญ่ ตำแหน่งที่เขาอยู่อาจไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เขาลงมือทุกครั้ง กำลังพลที่ป้องกันก็มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตลอด จุดประสงค์ก็คือป้องกันไม่ให้ถูกคนที่คิดไม่ซื่อใช้ประโยชน์ บางครั้งจุดที่เขาอยู่ก็ได้เปรียบ แต่กลับเหมียวอี้ไม่ออกมา รอจนกระทั่งเหมียวอี้ออกมา เขาก็ถูกย้ายออกจากจุดที่ได้เปรียบนี้ไปแล้ว ครั้งนี้ในที่สุดเขาก็เจอโอกาสแล้ว

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังรอคอย ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอยู่ข้างๆ

โพ่จวินรีบร้อนเข้ามาทำความเคารพ ประมุขชิงบอกใบ้เขาว่าไม่ต้องมากพิธี ในดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ กล่าวเสียงต่ำว่า “หน่วยตรวจการซ้ายทำสำเร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องดูฝั่งเจ้าแล้ว!”

ในใจโพ่จวินรู้สึกสะท้อนใจ เพื่อที่จะรอโอกาสลงมือแบบนี้ กำลังพลนับสิบล้านซ่อนตัวอยู่เงียบๆ มาแล้วหลายพันปี นับว่าตั้งอกตั้งใจอย่างแท้จริง ถ้าลงมือพลาดขึ้นมาเกรงว่าเขาคงหนีไม่พ้นโทษ จึงต้องกล่าวอย่างระวังว่า “ฝ่าบาทแน่ใจนะว่าอีกไม่นานหนิวโหย่วเต๋อจะกลับไป?”

สำหรับเรื่องนี้ประมุขชิงก็รับประกันไม่ได้เช่นกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “รับประกันได้ยาก หนิวโหย่วเต๋อออกไปครั้งนี้แปลกนิดหน่อย ตามข่าวที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ของทัพใต้ ในอาณาเขตทัพใต้เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ตัวอะไร ไม่รู้ว่าครั้งนี้ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงออกไปกระทันหัน แต่โอกาสนี้ก็หาได้ยาก สายลับที่แทรกไว้ที่ฝั่งนั้นผลัดกันเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่มาหลายปีขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสนี้ มีหรือที่จะปล่อยให้พลาด ถ้าพลาดแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ปี ยิ่งไปกว่านั้นก็ส่งกำลังพลสิบล้านออกไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องลองดู!”

“ที่พูดก็มีเหตุผล!” ประมุขชิงพยักหน้า จ้องโพ่จวินพลางกล่าวเสียงต่ำ “บอกให้คนของเจ้าเตรียมตัวให้ดี!”

โพ่จวินเตือนอีกครั้ง “ฝ่าบาท ทำต้องคิดดูให้ดีนะ ไม่มีเรื่องไหนแน่นอน ถ้าพลาดขึ้นมา…”

ประมุขชิงพูดตัดบทว่า “ต่อให้พลาดแล้วยังไง? ด้วยศักยภาพของเขาตอนนี้ยังไม่กล้าแต่คอกับข้าหรอก ต่อให้เสียเปรียบก็ไม่กล้าประกาศ อย่างมากข้าก็เสียกำลังพลสิบล้านนั่นไป แล้วข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่ากำลังพลสิบล้านนั่นจะจัดการเขาไม่ได้ โอกาสชนะของข้ามีมากกว่าเขาตั้งเยอะ! ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เริ่มเถอะ!”

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” โพ่จวินออกแรงกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

บนทะเลทรายหินแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีแหวนเก็บสมบัติวางนอนอยู่เงียบๆ กำลังสัมผัสถึงกลิ่นอายโบราณของที่นี่

หลังจากนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จู่ๆ แหวนเก็บสมบัติที่เคยนิ่งเงียบก็สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงระเบิดพร้อมผงโลหะ เงาคนสิบเอ็ดคนออกมาท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวลนั้น

สิบเอ็ดคนสบตากันแวบหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่เป็นหัวหน้าชื่อว่าซีเหมินอู๋เหย่ เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวิน เพื่อที่จะทำภารกิจครั้งนี้ ถึงกับยอมใช้งานผู้ช่วยผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้ว จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับภารกิจครั้งนี้ขนาดไหน

เมื่อสิบเอ็ดคนนี้โผล่หน้ามา ซีเหมินอู๋เหย่ก็รีบกวาดสายตามองไปโดยรอบ พอส่งสัญญาณมือ สิบคนที่อยู่ข้างกายก็รีบโบกมือปล่อยคนออกมาหนึ่งพันคน

พอหนึ่งพันคนนี้ได้รับคำสั่ง ก็วิ่งตะบึงออกไปสี่ด้านแปดทิศทันที สำรวจโดยรอบจนทั่ว

ก็ช่วยไม่ได้ พื้นที่นี้มีลักษณะพิเศษเกินไป นักพรตไม่สามารถเหาะเหิน แน่นอนว่าได้เตรียมสัตว์พาหนะที่บินได้มาด้วยแล้วเช่นกัน แต่สัตว์พาหนะที่บินได้โดยทั่วไปก็ยากจะทนต่อสภาพแวดล้อมของที่นี่ไหว ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้จะดีกว่า และถ้าบินสูงเกินไปก็จะเปิดโปงตัวเองได้ง่าย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อส่งสายลับที่ไม่กลัวปราณชั่วร้ายเอาไว้ในนี้ล่ะ?

หมอกสีเทากลุ่มหนึ่งวนเวียนเข้ามาอยู่รอบกาย เงาร่างของซีเหมินอู๋เหย่ขยับเล็กน้อย มีเสียงดังพรึ่บ ร่างกายมีเพลิงเดือดโผล่ออกมา เผาไหม้หมอกสีเทาที่รุกรานเข้ามาจนมีเสียงดังฉ่าๆ ไม่สามารถรุกล้ำเข้ามาถึงตัวเขาได้สักนิด

ผ่านไปไม่นาน สิบคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ทยอยกันปล่อยเพลิงเดือดออกมาจากตัวเช่นกัน ต่อต้านการชั่วร้ายของสถานที่นี้ แม่ทัพหลักสิบคนที่มาที่นี่เป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ จะเห็นได้ว่าใช้ความคิดมากขนาดไหนเพื่อให้สามารถลอบสังหารเหมียวอี้ที่นี่ได้อย่างราบรื่น

ไม่ใช่แค่แม่ทัพหลักสิบเอ็ดคนนี้ กำลังพลพันคนที่กระจายตัวกันไปสำรวจพื้นที่ก็ทยอยกันปล่อยเพลิงเดือดออกมาเช่นกัน

รอจนกระทั่งกวาดล้างสายลับที่อยู่โดยรอบและรายงานกลับมาแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่พบสายลับคนอื่น ซีเหมินอู๋เหย่ก็พยักหน้าให้ทั้งซ้ายและขวา “ทำตามแผนดักซุ่มที่กำหนดไว้ เริ่มเตรียมตัวเถอะ!”

สิบคนนี้รีบแยกย้ายกัน วิ่งไปยังตำแหน่งที่ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

ส่วนซีเหมินอู๋เหย่ก็ปล่อยทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมาตรงบริเวณทางเข้าออก เพียงชั่วพริบตาเดียว กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่หนาแน่นก็ครอบคลุมพื้นที่ทางออกไปหมดแล้ว

“หา!”

ไอหมอกสีชมพูกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมมาบนเกราะรบของของทหารคนหนึ่ง แล้วหดกลายเป็นเป็นลำแสงสีแดงอย่างรวดเร็ว แล้วซึมเข้าไปในรอยแยกของเกราะรบ กัดกร่อนร่างกายที่มีเลือดเนื้อเร็วมาก คนคนนี้ไม่ทันตั้งตัวและไม่เข้าใจสถานการณ์ ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับโดนจู่โจม

ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น พอทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมา ก็มีคนไม่น้อยปะทะกับหมอกสีต่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะหมอกประหลาดที่ลอยอยู่ที่นี่มีเยอะเกินไป และหมอกพวกนี้ก็เริ่มมีวิญญาณขั้นต้นบ้างแล้ว พอพบเห็นสิ่งที่มีชีวิตก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ ชั่วขณะนั้นมีคนไม่น้อยเริ่มร้องโวยวาย ทัพใหญ่เกิดความวุ่นวายเสียระเบียบ คนจำนวนมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟกันหมด

ที่สำคัญคือเพื่อรักษาความลับ ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไปปฏิบัติภารกิจอะไร ไม่รู้ด้วยว่าต้องไปที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องเข้ามาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด รอจนรู้ตัวแล้ว ก็ทยอยกันร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานไอหมอก แล้วก็พบว่าการกัดกร่อนของไอหมอกพวกนั้นน่าตกใจมาก แม้แต่เกราะอิทธิฤทธิ์ก็ยังกัดกร่อนได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปช้าเร็วก็ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์สิ้นเปลืองจนหมด ไม่มีทางอดทนได้นาน

……………