บทที่ 652.2 สิบห้าปีผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กู้ช่านส่ายหน้า “แต่เล็กจนโต เขาไม่เคยมองข้าเป็นสหาย อายุห่างกันมากเกินไป ข้าเองก็เหมือนกัน ถือว่าเป็นญาติครึ่งตัวกระมัง ไม่เหมือนกันหรอก ส่วนหลิวเสี้ยนหยางเจ้าคนที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าผู้นั้น ก็เพียงแค่เพราะว่ามีเฉินผิงอัน ถึงได้ใกล้ชิดกับข้ามากหน่อย ไม่อย่างนั้นข้ากับเขาก็ไม่มีทางเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันได้ เมื่อก่อนไม่ใช่ วันหน้าก็ยิ่งไม่ใช่ แต่ก็พอจะถือว่าเป็นสหายได้อย่างถูไถ”

รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางกลับจากสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป ก็น่าจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว ปีนั้นเดิมทีก็เพราะบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนเฝ้าสุสานของสกุลเฉิน ถึงได้ถูกพาตัวไปไกลจากบ้านเกิด

มีอยู่ข้อหนึ่งของหลิวเสี้ยนหยางที่ทำให้กู้ช่านนับถือมากที่สุด เกิดมาก็เชี่ยวชาญกับการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ว่าปรับตัวเข้ากับสถานที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา

ส่วนตนนั้น หลังจากไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนกลับกลายเป็นว่าแม้แต่ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดอย่างความอดทนข่มกลั้น กลับทำหายไปจนหมดสิ้น

กู้ช่านหวนย้อนนึกถึงวันเวลาที่คล้ายจะมีหน้ามีตาบนเกาะชิงเสีย ถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ตนกำลังเดินทีละก้าวไปบนเส้นทางแห่งความตาย

อายุน้อย เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้เลย

กู้ช่านมองอาหารบนโต๊ะแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ

หลิ่วชื่อเฉิงพลันเอ่ย “วันหน้าไปถึงนครจักรพรรดิขาว ความสัมพันธ์พวกนี้ หากตัดได้ก็ตัดซะ”

กู้ช่านสีหน้าเป็นปกติ เพียงแค่กินข้าว ไม่เอ่ยอะไร

หลิ่วชื่อเฉิงเองก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนนิสัยของกู้ช่านได้ เกรงว่ายังต้องดูที่วิธีการถ่ายทอดมรรคาของศิษย์พี่มากกว่า จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้คำที่เจ้าบอกว่า ‘มีชีวิตอยู่ได้ไม่เลว’ คือไม่เลวแค่ไหน? ในเมื่อเป็นคนวัยเดียวกันที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วสิ? หรือจะเป็นผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิด”

กู้ช่านเอ่ย “ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ ภายในเวลาสิบปีมีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต คอยช่วยสกุลสวี่ดูแลการค้าเล็กๆ ส่วนหนึ่งในแคว้นหู ฝึกตนได้ไม่เร็ว แต่สามารถใช้เงินเทพเซียนผลักดันขอบเขตได้”

หลิ่วชื่อเฉิงเก็บพัดพับ เอามาเคาะหัวตัวเอง ยิ้มเอ่ยว่า “ว่าที่ศิษย์น้องเล็ก เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือไร หรือว่ากำลังพูดเรื่องตลกกันแน่?”

กู้ช่านมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ดื่มเหล้า ขยับตะเกียบเชื่องช้า ยังคงชอบที่จะเคี้ยวอย่างละเอียดอยู่เหมือนเดิม “หากฆ่าคนแล้วเผ่นหนี ชั่วชีวิตนี้จะมีสถานที่ให้พักผิงอย่างสงบได้จริงๆ หรือ?”

หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้า “เศษสวะคนหนึ่งที่ฝึกตนไม่ได้เรื่องแบบนี้ก็มีค่าให้เจ้าสังหารทิ้งแล้วเผ่นหนีด้วยหรือ? ข้าคนนี้เป็นคนพูดง่ายนักล่ะ แค่เจ้าพยักหน้า ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง ก็แค่สวี่หุนคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ห้าขอบเขตบนยังไม่ใช่ เรื่องเล็ก”

กู้ช่านย้อนถาม “แล้วถ้าเป็นหนึ่งในหมื่นล่ะ? จะต้องทำเช่นนั้นไปไย?”

หลิ่วชื่อเฉิงไร้คำพูดตอบโต้

กู้ช่านวางตะเกียบลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่หากคิดจะลงมือกับศัตรูคู่อาฆาตจริงๆ ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่คนจะเก็บศพให้”

อีกอย่างก็คือ ทำให้คนนอกหาข้อตำหนิไม่ได้

ส่วนคนนอกที่ว่านี้ แบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือเฉินผิงอัน อีกหนึ่งก็คือทุกคนที่เหลือ หากจะต้องเลือกหรือสละอะไรล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจฝ่ายหลัง

สรุปก็คือชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันอย่าหวังว่าจะได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตนอย่างสิ้นเชิงเด็ดขาด

หลิ่วชื่อเฉิงคลี่ยิ้มเจิดจ้า

เจ้าเด็กนี่ ยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา

ตนทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคา ก็ไม่ต่างจากการเห็นบุตรสาวขึ้นเกี้ยวเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าตนนั้นยินยอมพร้อมใจ ทำหน้าที่นี้อย่างสบายใจยิ่ง

นี่ทำให้หลิ่วชื่อเฉิงถึงขั้นเกิดความคิดที่จะรับลูกศิษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว

กู้ช่านถาม “หากกลายเป็นศิษย์น้องของท่านจริงๆ ข้าจะได้เรียนเวทคาถาชั้นสูงสุดหรือไม่?”

หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “นครจักรพรรดิขาวมีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์ หากเจ้ากลายเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า แน่นอนว่าสามารถเรียนได้ เจ้าอยากเรียนอะไรก็เลือกได้ตามใจ เพียงแต่ว่าจะเรียนได้สำเร็จหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว”

กู้ช่านเอ่ย “ข้าอยากเรียนทั้งหมด”

หลิ่วชื่อเฉิงใช้พัดพับชี้กู้ช่าน ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าน่ะ ยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ ดั่งคนปัญญาอ่อนที่พูดจาเพ้อเจ้อ”

ไม่ใช่ไม่รู้ว่ากู้ช่านผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดจะพาอีกฝ่ายไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถือเป็นใบเบิกทางในการหวนกลับคืนสู่นครจักรพรรดิขาวอีกครั้ง แต่นครจักรพรรดิขาวที่ศิษย์พี่สร้างขึ้นไม่ใช่สถานที่ทั่วๆ ไปในโลกมนุษย์

หลิ่วชื่อเฉิงไม่พอใจศิษย์พี่อย่างล้ำลึกก็จริง แต่หากไม่พูดถึงความไม่พอใจในอดีตเหล่านั้น ศิษย์พี่ก็เป็นคนที่หลิ่วชื่อเฉิงให้ความเคารพยำเกรงมากที่สุดในชีวิตนี้จริงๆ

จากนั้นถึงจะเป็นเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ แล้วค่อยเป็นชุยฉานที่เคยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับศิษย์พี่

มีแค่สามคนนี้เท่านั้น

หลิ่วชื่อเฉิงอดไม่ไหวเอ่ยเตือนว่า “นิสัยของศิษย์พี่ข้ายากจะคาดเดา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจได้เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว หรือไม่ก็อาจกลายเป็นคนธรรมดาไปเลย หากอนาถยิ่งกว่านั้นก็คือต้องชดใช้ด้วยชีวิตอีกหลายภพหลายชาติ เจ้าอย่าคิดอะไรง่ายเกินไป เพื่อขัดเกลาตัวสำรองของลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ซ่อนตัวอยู่ ศิษย์พี่เคยจับตามองเจ้าแมลงน่าสงสารผู้นั้นนานถึงหกร้อยปีเต็ม สำหรับเจ้าแมลงน่าสงสารตัวนั้นแล้วก็เท่ากับชีวิตแปดชาติภพเต็มๆ อันที่จริงก็ล้วนเป็นการทำไปเพื่อได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของนครจักรพรรดิขาวในชาติภพสุดท้าย ผลคือพอถึงท้ายที่สุด เมื่อถึงภพที่เก้าของคนผู้นั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงยังทอดทิ้งเขาไป ศิษย์พี่เชี่ยวชาญเรื่องการแบ่งสมาธิไปทำเรื่องต่างๆ มากที่สุด ฝึกตน เล่นหมากล้อม ดูแลกิจการของนครจักรพรรดิขาว หลอมอาวุธ รับลูกศิษย์…แทบไม่มีเรื่องใดที่ศิษย์พี่ไม่เชี่ยวชาญ อีกทั้งทุกเรื่องยังทำอย่างรอบคอบรัดกุม น้ำสักหยดก็ไม่อาจไหลรอดไปได้”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าหาอาจารย์ที่ดีได้”

หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะเสียงดังไม่หยุด

กู้ช่านลุกขึ้นเตรียมจะไปคิดเงินแล้ว

หลิ่วชื่อเฉิงพลันเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ช่างเป็นแม่นางที่งดงามนัก”

กู้ช่านไม่ได้สนใจ

หลิ่วชื่อเฉิงจุ๊ปากพูด “พบเห็นได้ไม่บ่อยเลย น่าจะมีภูมิหลังไม่ธรรมดา น้ำเต้าสีเงินลูกนั้น หากข้ามองไม่ผิดก็คือหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่มีระดับขั้นสูงที่สุด”

กู้ช่านขมวดคิ้ว เดินเร็วๆ ไปที่หน้าต่าง มองหญิงสาวที่เดินจูงม้าผู้นั้น นางสวมชุดแดง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าและดาบแคบหนึ่งเล่ม

คือหลี่เป่าผิง

นางมานครลมเย็นได้อย่างไร

กู้ช่านเอ่ย “พวกเราไม่ต้องรีบร้อนจากไป รอให้นางออกไปจากนครลมเย็นก่อนค่อยว่ากัน ไม่ว่าระหว่างนี้จะมีคลื่นมรสุมอะไรหรือไม่ ก็ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจท่านครั้งหนึ่ง”

หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างสงสัย “เจ้ารู้จักสตรีผู้นี้หรือ?”

กู้ช่านเงียบงันไม่ต่อคำ

หลิ่วชื่อเฉิงนับนิ้วคำนวณ แล้วก็พลันสบถด่ามารดาหนึ่งคำ เขารีบบีบจมูก แต่ก็ยังมีเลือดสดซึมออกมาจากร่องนิ้วอยู่ดี

หลิ่วชื่อเฉิงสีหน้าเคร่งเครียด เก็บท่าทางไม่ยี่หระต่อสังคมลงไปอย่างหาได้ยาก พูดเสียงหนักว่า “อย่าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง! นี่คือคำแนะนำที่ศิษย์พี่มีต่อว่าที่ศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า!”

กู้ช่านจ้องมองเงาร่างที่จากไปไกลของสตรีชุดแดงแล้วเอ่ย “ต้องเกี่ยวสิ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ท่านช่วยนาง ข้าจะดูแลตัวเอง”

หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างเดือดดาล “เพื่ออะไร?!”

กู้ช่านหลับตาลง ในใจเริ่มคิดคำนวณถึงเรื่องวงในทุกอย่างเกี่ยวกับนครลมเย็นที่สายลับรายงานมา

หลิ่วชื่อเฉิงร้องโอ้ยขึ้นมาหนึ่งที เอนตัวพิงหน้าต่าง เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ข้านี่มันมีชะตาที่ต้องเหนื่อยยากจริงๆ”

……

ก่อนจะไปเยือนร้านตระกูลหยาง เจิ้งต้าเฟิงไปที่ร้านเหล้ามาก่อน สตรีขายเหล้าของร้านนั้นเป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดี แต่ยังอยู่ห่างจากการเป็นคนใกล้ชิดกันอยู่อีกหน่อย

สตรีมีนิสัยเผ็ดร้อน ชาวบ้านในเมืองเล็กชอบเรียกนางว่าหวงเอ้อเหนียง ชื่อจริงๆ คนลืมกันไปนานแล้ว

ในอดีตเคยมีชายเมาเหล้าไปเคาะประตูบ้านหญิงหม้ายยามค่ำคืน สตรีเปิดประตูออกมาใช้มีดหั่นผักจามแสกหน้าจนชายผู้นั้นหมดสติไป เกือบจะฟันคนตาย หลังจบเรื่องต้องชดใช้ด้วยเงินก้อนใหญ่ เพียงแต่หลังจากนั้นมาบุรุษที่ชอบไปนั่งยองบนหัวกำแพงบ้านพูดจาหยาบโลน หรือปีนกำแพงเข้าไปขโมยเสื้อผ้านางกลับไม่มีอีกแล้ว เอาชีวิตของพี่ใหญ่ไปชดใช้เพื่อน้องชาย ถึงอย่างไรก็ไม่คุ้มกัน

แล้วนับประสาอะไรที่หากพูดจาสัปดนในร้านเหล้า หวงเอ้อเหนียงก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อย ทั้งยังมีการตอบโต้กลับ กลายเป็นว่าบุรุษต้องอ้อนวอนเสียเอง ยามที่นางยกอาหารยกเหล้ามาวางบนโต๊ะ พวกผีขี้เหล้าลูบคลำมือน้อยๆ ของนางก็แค่ถูกนางเตะหนึ่งที ด่าขำๆ ไม่กี่คำเท่านั้น การค้านี้คุ้มค่าแล้ว หากมีเด็กรุ่นหลังที่หน้าตาดีสักหน่อยมาดื่มเหล้า กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไป พวกที่ใจกล้าสักหน่อย แม้แต่สายตามองค้อนน้อยๆ ยังไม่ได้รับ สรุปใครได้เปรียบใครก็ยังบอกได้ยาก

กิจการร้านเหล้ารุ่งเรือง ลูกค้าแน่นเต็มร้าน ในอดีตช่างหร่วนที่เปลี่ยนจากช่างตีเหล็กไปเป็นเทพเซียนก็มักจะมาซื้อเหล้าที่นี่บ่อยๆ ไปๆ มาๆ เหล้าของร้านหวงเอ้อเหนียงจึงกลายเป็นของขึ้นชื่อของเมืองเล็ก คนต่างถิ่นหลายคนล้วนยินดีมาที่นี่เพื่อสัมผัสกลิ่นอายเซียนของอริยะหร่วนผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแห่งต้าหลี ที่นี่และขนมของร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงต่างก็ขายดีพอๆ กัน

เจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่หน้าร้าน รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย มีบุรุษสกปรกมากมายคอยจับจ้องขนาดนี้ เกรงว่าด้วยความหน้าบางของหวงเอ้อเหนียงย่อมไม่กล้าจะเอ่ยหยอกเย้าตนเป็นแน่ อีกทั้งตอนนี้ร้านใหญ่แล้ว ในร้านรับสมัครลูกจ้างมาเพิ่มสองคน เจิ้งต้าเฟิงจึงรู้สึกว่ารสชาติของสุราสู้เมื่อก่อนไม่ได้แล้ว

ไหนเลยจะเหมือนในอดีตตอนที่กิจการของร้านซบเซา ตนถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ของที่นี่ หวงเอ้อเหนียงฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน มองมาทางตนก็เหมือนมองเห็นบุรุษของตัวเองที่กลับมาบ้านอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งนางจะโยกย้ายเอวบางๆ นั่นเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ปากก็พร่ำเรียกพี่ต้าเฟิง บางครั้งก็หยิกแขนเขา ด่าเบาๆ ว่าผีทะเลใจดำ น้ำเสียงนั้นทำเอาเขาอ่อนยวบเหมือนขนมดอกท้อชิ้นหนึ่ง

และนางจะยังคอยกอดแขนของเขาพาเดินเข้าร้าน ใต้หล้ามีอาวุธลับที่หนักอึ้งขนาดนี้ด้วยหรือ? ทำร้ายคนได้เจ็บมากเลยนะ ขนาดเจิ้งต้าเฟิงยังกลัวว่าแขนจะได้รับบาดเจ็บ ทุกครั้งที่นั่งลงจะต้องนวดแขนอยู่นานกว่าจะยกมือขึ้นหยิบถ้วยเหล้าได้

โต๊ะเจ็ดแปดตัวล้วนมีคนนั่งกันเต็มแล้ว เจิ้งต้าเฟิงคิดว่าเดี๋ยวค่อยมาใหม่ตอนคนน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีโต๊ะหนึ่งที่ต่างก็เป็นบุรุษในพื้นที่ คนหนึ่งในนั้นกวักมือเรียกเขา “โอ้โห นี่ไม่ใช่พี่น้องต้าเฟิงหรอกหรือ? มานั่งตรงนี้สิ ตกลงกันไว้ก่อนว่าวันนี้เจ้าเป็นคนเลี้ยง ทุกครั้งที่มีงานมงคลล้วนเป็นเจ้าที่ได้กินสุราเปล่าๆ ไปไม่รู้กี่มากน้อย ตอนนี้ทำหน้าที่เฝ้าประตูให้เทพเซียนบนภูเขาแล้ว ก็ต้องใจกว้างสักหน่อย บุรุษอย่างเราๆ น่ะ ในกระเป๋าต้องมีเงิน เอวถึงจะยืดตรงได้จริงๆ”

เจิ้งต้าเฟิงที่หลังงองุ้มวิ่งเหยาะๆ ไปหา นั่งบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับคนผู้นั้น ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเลี้ยงอะไรกันเล่า กำลังเก็บเงินแต่งเมียอยู่นะ ไม่เหมือนเจ้าหลิวตาใหญ่หรอก ซื้อเรือนตั้งสองหลัง นอกจากจะซื้อเรือนใหญ่สองหลังที่เขตการปกครองแล้วยังซื้อร้านอีกหลายร้านในรวดเดียว รวยเพียงใดกัน ข้าเลี้ยง? นี่ไม่ใช่การตบหน้ารวยๆ ของนายท่านหลิวตาใหญ่อย่างเจ้าหรอกหรือ?”

ตาใหญ่ คือคำพื้นบ้านของชาวบ้าน ความหมายคือดวงตามองไม่เห็นใคร

บุรุษแซ่หลิวเองก็ไม่โกรธ เพราะปะทะฝีปากกับเจิ้งต้าเฟิงมาจนชินแล้ว ต่างคนต่างพูดจาทิ่มแทงกันไปมา แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น ใครโกรธคนนั้นแพ้

ช่วงหลายปีมานี้ชายฉกรรจ์ไม่ค่อยได้มาเยือนที่เมืองเล็ก บ้านบรรพบุรุษสองหลังที่อาณาบริเวณไม่เล็กล้วนขายไปนานแล้ว และเขาเองก็ไม่อาลัยอาวรณ์เรื่องเก่าๆ ในอดีต ช่วงแรกๆ ยามที่ต้องไปไหว้หลุมศพบรรพบุรุษยังผ่านทางมาบ้าง ภายหลังแม้แต่หลุมศพก็ยังคร้านจะไป อยู่ไกลเกินไป ยามถึงช่วงเทศกาลชิงหมิงแค่เผากระดาษเงินกระดาษทองข้างทางนอกบ้านหลังใหญ่ในเขตการปกครองให้มากหน่อย แค่นี้ก็ถือว่ามีใจกตัญญูแล้ว

ชายฉกรรจ์กดเสียงลงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหญิงหม้ายของตรอกหนีผิงผู้นั้น ทุกวันนี้ร้ายกาจนักล่ะ นางต่างหากที่ถึงจะเป็นคนรวยผู้สูงศักดิ์อย่างแท้จริง”

บุรุษยกนิ้วโป้ง “หากพูดถึงทรัพย์สิน ตอนนี้ก็ถือว่าหญิงหม้ายคนนั้นมีเท่านี้แล้ว”

แต่จากนั้นชายฉกรรจ์ก็พูดอย่างเสียดาย “หากรู้แต่แรกปีนั้นคงจะซื้อที่ไว้เยอะๆ ไม่อย่างนั้นป่านนี้อย่าว่าแต่บ้านและร้านค้าในเขตการปกครองพวกนั้นเลย แม้แต่ถนนสองสามสายก็ล้วนต้องใช้แซ่ตามข้าไปแล้ว!”

เจิ้งต้าเฟิงรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ไม่ใช่เหล้าที่หวงเอ้อเหนียงยกมาส่งให้ถึงปาก รสชาติก็ไม่ดีไปยังไงจริงๆ เจิ้งต้าเฟิงชูถ้วยเหล้าคารวะทุกคนบนโต๊ะก่อน แล้วกระดกดื่มจนหมด คนที่เหลือที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงในอดีตซึ่งมีอายุพอๆ กับหลิวตาใหญ่ ตอนนี้ต่างก็มีกิจการอยู่ที่เขตการปกครอง ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายซึ่งเมื่อก่อนแม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าคิด ระหว่างหญิงแก่หน้าเหี่ยวที่เข้ามาก่อนกับอนุภรรยาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่เข้ามาตามหลัง แต่ละปียุ่งวุ่นวายหมากระโดดไก่บิน บวกกับพวกสาวใช้ที่คล่องแคล่วว่องไวซึ่งมีความคิดกลอุบายเหล่านั้น วันเวลาในชีวิตประจำวันจึงครึกครื้นกว่าในอดีตมากนัก

เจิ้งต้าเฟิงดื่มสุราคารวะ นอกจากคนสนิทคนหนึ่งที่นิสัยซื่อซึ่งดื่มคารวะกลับแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่ขยับตัว แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ข้าผู้อาวุโสแค่มาขอดื่มเหล้าโดยไม่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น จะต้องการหน้าตาไปไย?

จากนั้นก็รีบรินเหล้าอีกถ้วย เจิ้งต้าเฟิงถึงได้ลูบปากยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ค่อยรู้หรอก ปีนั้นก็ไม่ได้สนิทกับสตรีสกุลกู้ เจ้าเองก็รู้นี่นา”

หลิวตาใหญ่เอ่ยสัพยอก “ข้าล่ะแปลกใจนัก เป็นหญิงหม้ายหน้าตางดงามเหมือนกัน เมียบ้านตระกูลกู้ตรอกหนีผิงนิสัยอ่อนโยนขนาดนั้น เหตุใดเจ้าไม่ไปเกี้ยวพา ทำไม ชอบแบบหวงเอ้อเหนียงนี่หรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะ

ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวอีกตัวหนึ่ง ใบหน้าแสดงถึงความเจ้าปัญญามีไหวพริบ ปีนั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว เขายิ้มถามคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ต้าเฟิง ได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าอยู่กับเจ้าเด็กของตรอกหนีผิงผู้นั้นหรือ? ดูความไม่เอาไหนของเจ้าสิ ยิ่งอยู่ยิ่งถอยหลังกลับ ในอดีตเฝ้าประตูใหญ่ จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องสนฟ้าไม่ต้องสนดิน วันนี้กลับเป็นผู้ช่วยของเด็กรุ่นหลังที่อายุห่างกันเกือบรอบ ไม่อายบ้างหรือ? อีกอย่าง ดูจากสภาพของเจ้าในทุกวันนี้ก็ไม่เหมือนว่าจะร่ำรวยไปกับเขาด้วยเลยนี่นา ไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้า เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ทางทิศตะวันออกของเมืองเล็กเจ้ายังมีเรือนโทรมๆ หลังนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ ให้ข้าช่วยเจ้าหาคนซื้อที่มีเงินจากเขตการปกครองดีไหมล่ะ?”

เจิ้งต้าเฟิงเริ่มรินเหล้าอีกครั้ง โบกมือเอ่ยว่า “อย่าเลย รังเล็กๆ ของข้านั่น ปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้นไปเถอะ พื้นที่ใหญ่เท่าก้น ข้าผู้อาวุโสหันก้นไปตดทางทิศตะวันออก กระดาษหน้าต่างทางทิศตะวันตกก็สะเทือนแล้ว ไม่มีค่าๆ”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นชำเลืองตามองหลิวตาใหญ่ ฝ่ายหลังจึงรีบเอ่ยโน้มน้าวทันที “พี่น้องต้าเฟิง ตอนนี้ที่เขตการปกครองต้องเรียกว่าเก็บเงินได้จากพื้นทั่วทุกหนแห่ง บอกตามตรงนะ ทุกวันนี้บนพื้นมีเหรียญทองแดงพวงใหญ่หล่นอยู่ ไม่ใช่ก้อนเงินก้อนทอง ข้าก็คร้านที่จะก้มตัวลงไปเก็บด้วยซ้ำ! หากเจ้าขายบ้านดินเหลืองหลังนั้น ไปหาที่อยู่ใหม่ที่เขตการปกครอง ภรรยางดงามแบบไหนจะหาไม่ได้? อีกอย่างไปที่อยู่เขตการปกครอง พี่น้องอย่างพวกเราต่างก็อยู่กันที่นั่น มีคนให้คอยช่วยเหลือกันและกัน จะไม่ดีกว่าการที่เจ้าไปคอยเฝ้าประตูให้คนอื่นหรอกหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงเริ่มทำท่าละล้าละลัง แล้วก็ไม่ปฏิเสธ แค่ถ่วงเวลาไปก็พอ คราวหน้าที่พบเจอกันจะได้ยังมีเหล้าให้ดื่มอีก